"นี่สรุปแค่ซาลาเปาติดคอเนี่ย ลื้อลืมหมดทุกเรื่องเลยเรอะ"
คุณลุงเจ้าของร้านพูดขึ้นเมื่อให้เหมยกุ้ยเข้ามานั่งในร้าน และด้วยเพราะเห็นว่าเด็กหญิงตรงหน้าผ่านช่วงเวลาเฉียดตายมา ก็ยกน้ำชาพร้อมซาลาเปา (ที่นึ่งแล้ว) มาให้กิน
"สงสัยจะอย่างนั้นค่ะเจ็ก แบบว่าขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ทีนี่สมองน่าจะลบความทรงจำออก"
เหมยกุ้ยแถไปอย่างนั้น เพราะจนถึงตอนนี้ เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ในร่างเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อเหมือนเธอ ซาลาเปาติดคอเหมือนเธอ เพียงแต่ใส่เสื้อแบบคนจีนเท่านั้น
"ออกซิเจน คืออะไรน่ะ"
"สรุปนี่คือปี 2455 จริงๆ หรอคะ"
"เอ้านังหนู จะเอายังไง อั๊วบอกเป็นสิบรอบลื้อก็ไม่เชื่อ"
"ขอโทษค่ะ เอาเป็นว่า ที่ติดคอหนูเมื่อกี้ คือซาลาเปาหรือคะ"
"ก็เออน่ะสิ ลื้อน่ะหาเรื่อง เอาซาลาเปายังไม่นึ่งไปกิน"
เหมยกุ้ยอดคิดในใจไม่ได้ว่าไอคนชื่อเหมยกุ้ยที่เธอมาอยู่ในร่างเขาตอนนี้ก็หาทำไม่แพ้เธอเลยทีเดียว
"ก็แค่อยากรู้ว่ารสชาติเป็นยังไงน่ะค่ะ"
"แล้วเป็นไงล่ะ รสชาติเฉียดตายน่ะ"
เหมยกุ้ยได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นชะลอมใส่ซาลาเปากองใหญ่อยู่ในร้าน จึงลองถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
"แล้วนี่วันนึงเจ็กทำซาลาเปาเยอะขนาดนี้เลยหรอคะ"
"อาเหมยกุ้ย"
พูดชื่อจบ คนเป็นเจ้าของร้านก็ถอนหายใจ เหมือนกำลังท้อใจถึงที่สุด
"มีอะไรหรือคะ"
"ลื้อสั่งอั๊วทำเองนะ"
"ตายล่ะค่ะ สั่งเยอะขนาดนั้น สั่งไปงานบวชใครคะเนี่ย"
"ไม่ใช่งานบวช แต่เป็นงานศพ"
"อ้าว งานศพใครล่ะคะ"
"นี่ลื้อลืมหมดจริงๆหรอ"
"ช่วยบอกหน่อยเถอะค่ะเจ็ก หนูไม่รู้จริงๆ"
"งานอาป๊ากับอาม๊าลื้อไง พวกอีรถชนเมื่อสามสี่วันก่อน วันนี้จะเผาแล้วนา"
พอคุณลุงพูดมาถึงตรงนี้เหมยกุ้ยถึงกับนิ่งไป เพราะเธอไม่รู้ว่าควรจะตกใจอะไรก่อน ระหว่างยิ้มแย้มแจ่มใสมาตลอดการพูดคุยเพื่อจะมาเจอเรื่องนี้ หรือตกใจเรื่องที่เหมยกุ้ยคนที่เธอมาอยู่ในร่างนี้ มีชะตากรรมชีวิตไม่ต่างจากเธอเลยสักนิดเดียว
"ลื้อเริ่มจำได้แล้วสินะอาเหมยกุ้ย"
"นิดหน่อยค่ะเจ็ก"
"ซาลาเปาพวกนี้ อั๊วให้ลื้อนะ ลื้อไม่ต้องจ่าย ถือว่าช่วยงานอาป๊ากับอาม๊าลื้อ"
"ไม่ได้หรอกเจ๊ก ของซื้อของขาย"
"เอาไปเถอะ บ้านลื้อเองก็ช่วยอั๊วมาตั้งหลายเรื่อง"
"ขอบคุณนะคะเจ็ก"
เหมยกุ้ยยกมือไหว้อีกคน
"เอ้อ ว่าแต่คำพูดคำจาลื้อแปลกๆนา ระวังไปพูดแบบนี้กับคนอื่นแล้วเขาจะหาว่าลื้อน่ะเป็นบ้า"
"ช่างเขาเถอะเจ๊ก งานอาป๊าอาม๊าจัดที่ไหนนะคะ"
"วัดสามปลื้มๆ ก็ตอนแรกที่ลื้อจะไปจัดที่เล่งเน่ยยี่แต่ศาลาเต็มไง อั้ยหยา ลืมหมดเลย นี่ลืมเรื่องที่ตัดสินใจไม่ฝังป๊าม๊าแต่เผาด้วยใช่มั้ยเนี่ย"
"ลืมหมดจริงๆค่ะ ขอบคุณนะคะเจ๊ก งั้นหนูไปก่อนนะคะ"
"เออๆ เดินระวังๆนะลื้อน่ะ วันนี้ถือว่าฟาดเคราะห์"
"ค่ะเจ๊ก เจ๊กก็เปิดร้านไปนานๆ นะคะ เอาให้ถึงหนึ่งร้อยปีเลย"
พูดอวยพรเจ้าของร้านให้เต็มที่ ไม่งั้นเดี๋ยวถ้าเขาปิดกิจการไปก่อน เหมยกุ้ยในอนาคตจะกินอะไร
โชคดีที่ตอนยังอยู่ในยุคปัจจุบัน เหมยกุ้ยไปเดินแถวทรงวาดบ่อยเพราะไปซื้อซาลาเปา เลยพอจำทิศทางได้บ้าง ถึงแม้ลักษณะถนนและบ้านเรือนรอบข้างจะไม่เหมือนที่ที่เธอจากมา แต่เพราะวัดสามปลื้มคือสถานที่ที่เปลี่ยนแปลงน้อยมาก เมื่อเทียบกับอีกร้อยกว่าปีข้างหน้า จึงทำให้มันไม่ยากเกินไปนักที่เหมยกุ้ยจะหามันเจอ
"เอาล่ะ เหมยกุ้ยหนึ่ง เหมยกุ้ยสองจะพยายามไม่โป๊ะนะ"
เหมยกุ้ยพูดกับตัวเอง ตอนนี้เหมยกุ้ยก็ยังไม่หายตกใจ แต่เธอก็เห็นใจเจ้าของร่างที่เธอมาอยู่ในตอนนี้ ดังนั้น เหมยกุ้ยจึงตัดสินใจจบเรื่องงานศพของพ่อกับแม่เหมยกุ้ยคนนี้ก่อน ก่อนที่จะหาทางกลับไปยังที่ที่เธอจากมา และตามหาว่าวิญญาณเหมยกุ้ย(หนึ่ง)มันหายไปไหน จะตามมาโผล่หาเธอในกระจกเหมือนในละครที่เคยดูรึเปล่า
แต่เพื่อป้องกันความสับสนนั่นล่ะ เหมยกุ้ยจึงตัดสินใจเรียกเจ้าของร่างว่า เหมยกุ้ยหนึ่ง และแทนตัวเองเป็นเหมยกุ้ยสอง
ก็อีกคนเกิดก่อนเธอมาตั้งเป็นร้อยปี จะให้มาเป็นอันดับสองก็กระไรอยู่
ทันทีที่เหมยกุ้ยเดินเข้าไปในวัด เหมยกุ้ยเห็นคนมากมาย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเบาๆ
"ตายล่ะ เหมยกุ้ยหนึ่ง พ่อแม่แกเป็นส.ส.รึไงวะ เอ้ย สมัยนี้ยังไม่มีส.ส.นี่ แล้วพ่อแม่เธอเป็นใครเนี่ย"
ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ก็มีคนเดินตรงเข้ามาหาเธอ
"อาเหมยกุ้ย"
"สวัสดีค่ะ"
เหมยกุ้ยยกมือขึ้นไหว้ผู้ชายที่ท่าทางดูแก่กว่าเธอ
"หนูพูดอะไรน่ะ"
ประโยคคำถามนั้นทำให้เหมยกุ้ยสงสัยว่าเธอพูดอะไรผิดไป ทันใดนั้นคำพูดของพ่อเธอที่เคยคุยเรื่องประวัติศาสตร์สมัยที่เหมยกุ้ยยังเป็นเด็ก ก็ดังขึ้นในหัว
-----
"เหมยกุ้ยรู้มั้ยว่าเมื่อก่อนคนไทยทักกัน เค้าไม่ใช้คำว่าสวัสดีนะลูก เพิ่งมาใช้เมื่อไม่กี่สิบปีก่อนเท่านั้นเอง"
"อ้าว แล้วเค้าทักกันว่าอะไรคะป๊า"
"ส่วนใหญ่เค้าก็ไหว้ แล้วก็อาจจะเข้าเรื่องที่จะคุยกันเลย ถ้ากับผู้ใหญ่ที่เคารพหน่อย ก็อาจจะบอกว่าฉันไหว้นะ อะไรแบบนี้"
เหมยกุ้ยจำได้ว่าตัวเองพยักหน้าพร้อมกับอ๋อเบาๆ ก่อนที่คนเป็นแม่จะเดินเข้ามาในวงสนทนา
"คุณคะ ที่คุณบอกนี่มันไม่ได้มีความจำเป็นกับการใช้ชีวิตของเหมยกุ้ยเลยนะ"
แม่ของเหมยกุ้ยพูดขำๆ ก่อนที่พยักเพยิดหน้าไปทางโต๊ะอาหารเป็นสัญญาณว่าข้าวเย็นพร้อมแล้ว พ่อของเธอจึงขำอย่างเห็นด้วยกับที่แม่ของเหมยกุ้ยพูด ก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินไปกินข้าวเย็นพร้อมกัน
-----
เหมยกุ้ยนึกย้อนไปในเวลาตอนนั้น นึกไปในสถานที่ที่เธอจากมา ก็ทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาดื้อๆ จนคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต้องทักซ้ำ
"อาเหมยกุ้ย เป็นอะไร"
"ไม่มีอะไรค่ะ ฉันไหว้ค่ะ มีอะไรจะคุยหรือคะ"
"คนที่จัดการเรื่องมรดกของอาป๊าอาม๊าลื้อเขาจะคุยกับลื้อ จะคุยก่อนพระท่านสวด หรือเผาเสร็จแล้วคุย"
"คุยหลังเสร็จงานแล้วกันค่ะ หนูไม่อยากเอาเรื่องอื่นมาคิดตอนนี้ แล้วนี่ โรงครัวไปทางไหนคะ ไปสั่งซาลาเปามา"
"ทางนู้นเลยๆ"
อีกคนตอบพลางชี้ไปทางที่มีกลิ่นอาหารโชยมาให้พอหิว
จนมาถึงตอนที่แขกกลับหมดนั่นล่ะ เหมยกุ้ยจึงได้มีโอกาสนั่งพัก ได้แต่คาดหวังว่าพ่อแม่ของผู้ที่เธอมาใช้ร่างเขาอยู่ตอนนี้จะยินดี ที่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากการกรวดน้ำของเธอ ไม่ใช่ของลูกสาวแท้ๆ
และคาดหวังว่าตัวเหมยกุ้ยเอง จะได้รับผลบุญครั้งนี้เช่นกัน ไม่ว่าตอนนี้เธอจะไปอยู่ที่ไหน
"อาเหมยกุ้ย มาละ"
คนที่คุยกับเหมยกุ้ยก่อนเริ่มงานฌาปนกิจ เดินเข้ามาหาพร้อมกับคนอีกสองถึงสามคน
"ฉันไหว้ค่ะคุณน้า ที่จัดการเรื่องมรดกใช่หรือไม่คะ"
การพูดเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเหมยกุ้ย เพราะภาษาที่ค่อนข้างต่างจากภาษาปัจจุบัน ทำให้เหมยกุ้ยต้องตั้งสติทุกครั้งที่พูด โชคดีที่เคยอ่าน เคยดูผ่านตามาบ้าง
"ขอรับคุณเหมยกุ้ย"
"แล้ว นี่ใครหรือคะ"
เหมยกุ้ยชี้ไปทางผู้ชายในชุดสีกากีคนหนึ่ง
"ตำรวจนครบาลน่ะขอรับคุณเหมยกุ้ย เขามีเรื่องที่จะต้องแจ้งให้คุณเหมยกุ้ยทราบ"
"เท่าที่ทราบ มิใช่ว่าตำรวจนครบาลสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุไปแล้วหรือคะ"
ยังไม่ทันที่ผู้ชายตรงหน้าจะได้ตอบ ผู้ที่เป็นตำรวจนครบาลก็ตอบขจึ้นมาเสียก่อน
"ตอนแรกเป็นเช่นนั้นจริงขอรับ แต่หลังจากที่เราได้เห็นบัญชีทรัพย์สินของทั้งสองท่าน เราจึงต้องทำงานกันใหม่อีกรอบขอรับคุณ"
"แล้วสรุปว่ายังไงหรือคะ"
"ทั้งสองท่าน ตั้งใจ ที่จะให้เกิดอุบัติเหตุขอรับ"
ชายคนนั้นเน้นคำว่า ตั้งใจ ให้เหมยกุ้ยได้ยินชัดๆ
เหมยกุ้ยตกใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมากนัก เพราะคำพูดที่อีกคนพูดมา อาจจะตีความได้หลายทาง แต่หากจะให้เหมยกุ้ยเองตีความแบบง่ายๆ ก็คงเป็น
"พวกท่านฆ่าตัวตายหรือคะ"
"กระผมคงต้องยืนยันเช่นนั้นขอรับ พวกท่านมีหนี้สินจำนวนมาก พวกกระผมจึงต้องมาแจ้งเรื่องนี้ พร้อมกับผู้จัดการเรื่องมรดกของคุณ"
เหมยกุ้ยทำได้เพียงนั่งนิ่ง ก่อนประโยคถัดมาจากผู้ที่ดูแลมรดกของเธอจะทำให้เหมยกุ้ยแทบลมจับ
"ทรัพย์สินหักหนี้ไม่พอนะขอรับคุณเหมยกุ้ย กระผมคงต้องแจ้งว่าไม่มีทรัพย์สินอันใดเลยที่คุณเหมยกุ้ยจะได้รับ เพราะต้องไปหักลบกลบหนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะขอรับ เพราะคุณเองไม่ต้องจ่ายหนี้สินแทนพ่อและแม่ของคุณ"
เอาสิ ในละครเขาย้อนเวลากันไปเป็นเจ้าหญิงบ้าง ลูกพระยานาหมื่นบ้าง เป็นฮองเฮา เป็นสนม
ไอเหมยกุ้ยคนนี้ ดันย้อนเวลามาเป็นคนหมดตัว
ฝากผลงานเรื่อง ณ ทรงวาดด้วยนะคะ
สามารถพูดคุยกับนักเขียนได้ทาง twitter:@littlelzybeez หรือ #ณทรงวาด นะคะ หรือจะพูดคุยกันทางคอมเม้นก็ได้นคะ
*วัดสามปลื้ม เป็นวัดในบริเวณถนนทรงวาด ส่วนวัดเล่งเน่ยยี่ คือวัดมังกรกมลาวาส อยู่บนถนนเจริญกรุง ใกล้กับเยาวราชนั่นเองค่ะ