เหมยกุ้ยเดินบนถนนอย่างไร้ความรู้สึก และไร้หนทางไปต่อ เธอคิดไม่ออกเลยว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป จะกลับบ้านก็ไม่ได้เพราะโดนยึดไปแล้ว เงินติดตัวตอนนี้ก็มีแค่หนึ่งร้อยบาท อาจจะพอหาโรงแรมได้เพียงสักคืนเท่านั้น
แต่ชีวิตหลังวันพรุ่งนี้นั้น เหมยกุ้ยคิดไม่ออกเลย
เดินเรื่อยเปื่อยอยู่บนถนนได้ไม่นาน เหมยกุ้ยก็รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองอยู่ เมื่อเงยหน้าและมองไปทางข้างๆก็พบว่ามีกลุ่มผู้ชายสี่คน กำลังมองเธออยู่
"น้องสาว สนใจไปทำงานที่บาร์ตรงนี้มั้ย เงินดีนะคนสวย"
เพราะดูหน้า เหมยกุ้ยก็รู้ว่าไม่ได้มาดีแน่ จึงรีบเดินหนี แต่สิ่งที่ได้ยินหลังเดินหนีทำให้เหมยกุ้ยรู้ว่าคงหนีไปไหนไม่ได้
"เห้ย เฮียบอกว่าคนนี้ต้องได้ไปอยู่ที่คลับ ไปพวกเรา จับให้ได้เว้ย"
ถึงแม้ว่าตอนนี้การหนีอาจจะเป็นทางเลือกที่ดี แต่ในฐานะลูกสาวคุณพ่อ ที่ถูกปลูกฝังมวยไทยมาให้จนคล่องทั้งท่าแม่ไม้และลูกไม้ เหมยกุ้ยจะไม่หนีเด็ดขาด
แต่ว่าที่จริงแล้ว เพราะมาจนถึงตอนนี้ เหมยกุ้ยไม่มีอะไรจะเสีย ถ้ารอดก็ไปหาที่นอนคืนนี้ ถ้าไม่รอด ก็ตายให้มันจบๆไป
"เอาล่ะ มาดูกันดีกว่าเหมยกุ้ยหนึ่ง ว่าเธอเป็นคนออกกำลังกายตลอดรึเปล่า"
พูดจบก็หนุมานถวายแหวนใส่คนที่พุงเข้ามาจนร้องเสียงโหยหวน เหมยกุ้ยเองก็ยกยิ้มพอใจกับเจ้าของร่างพอสมควร
"แรงเยอะใช้ได้นะเหมยกุ้ยหนึ่ง อยู่บ้านเต้นตามเบเบ้ใช่มั้ยเนี่ย
ถามตัวเองเอาพอให้ตลก ก่อนจะเอาเท้าถีบคนที่เพิ่งจะเสยคางไปเมื่อครู่จนล้ม และฟาดขาด้วยท่าจระเข้ฟาดหางไปทางคนที่วิ่งเข้ามาจากด้านหลัง
"ล้มเร็วกว่าที่คิด ไม่ค่อยออกกำลังกายล่ะสิ เอ้า อีกสองน่ะ กล้าก็เข้ามาสิวะ"
อีกคนก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามา แบบไม่คิดอะไรทั้งนั้น ก็เจอเหมยกุ้ยก้มตัวลงเอาขาขัดขาจนล้มหน้าคว่ำ ร้องดังแอ้กไปอีกคนนึง
"รู้จักมั้ย เถรกวาดลานวัดน่ะ อ้อ แล้วก็ลืมไป พ่อชั้นเป็นนักมวยเก่า คงจะยอมให้ง่ายๆไม่ได้หรอกนะ"
พูดจบก็หันไปทางคนสุดท้ายที่ยืนสั่นอยู่
"เอ้า ไอ้คนนั้นน่ะ เลือกนะว่าคืนนี้จะไปโรงหมอ หรือจะกลับบ้านดีๆ"
ได้ยินดังนั้น คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ก็ตัดสินใจที่จะรักชีวิต พุ่งตัวไปพยุงอีกสามคนขึ้นมาจากพื้น เพื่อไปรักษาตัวจากเหตุการณ์คืนนี้
"ฝากไปบอกเฮียของพวกแกด้วยนะ ว่าถ้าได้ไปอยู่ในคลับ คลับเละแน่"
เมื่อทั้งสี่คนเดินลับตาไปแล้ว เหมยกุ้ยก็ถอนหายใจอย่างแรง ก่อนจะยกมือขึ้นนวดๆแขนและไหล่ของตัวเอง เพราะตัวเธอเองไม่ได้ฝึกซ้อมมวยไทยบ่อยๆเหมือนสมัยที่พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่
แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปหาที่พักต่อในคืนนี้ เหมยกุ้ยก็ได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้นมาก่อน
"ใครมันมาปรบมือบ้าบออะไรตอนนี้"
เหมยกุ้ยพูดกับตัวเอง
"เธอเก่งนะเนี่ย"
ผู้ชายหน้าตาดูจีนๆ อายุน่าจะไล่เลี่ยกับเหมยกุ้ยเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ
"คุณเป็นใคร"
เหมยกุ้ยพูดกับผู้ชายวัยหนุ่มตรงหน้า พร้อมยกมือที่กำลังกำหมัดมาไว้ข้างหน้าตัวเอง
"เห้ยๆ ใจเย็น ไม่ได้มาแบบพวกเมื่อสักครู่"
"แปลว่าดูตลอด"
"เห็นตั้งแต่เดินมาแล้ว"
"แล้วทำไมไม่ช่วยวะ"
เหมยกุ้ยตะโกนด่าคนข้างหน้าไปทีนึง พร้อมปล่อยหมัดออกไป แต่อีกคนดันหลบทัน
"ใจเย็น เป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำไมมาขึ้นวะขึ้นโวยใส่ชาวบ้านเขา แถมยังจะมาต่อยฉันอีก"
"แล้วเดินเข้ามาทำไมตอนนี้"
"เห็นฝีมือดี ร่างกายแข็งแรง"
"เดินเข้ามาแค่ชมรึไง"
"ทำไมพูดจาแปลกๆนะเรา"
"เข้าเรื่องสักที อย่ามากความ"
"สนใจไปทำงานที่ร้านไหมเล่า"
"เอาอีกแล้ว นี่อีหรอบเดียวกับพวกเมื่อกี้เลยนะ"
"ก็บอกให้ใจเย็นๆไงเล่า ฉันชื่อเฟยเจิน จะเรียกอาเจินก็ได้ อายุเราน่าจะพอๆกัน ฉันมีกิจการค้าขายของทั่วไป มีพี่แฝดสองคน คนนึงเป็นเจ้าของคลับ"
"นั่นไง จะมาเอาตัวไปคลับจริงๆด้วย"
"บอกให้ใจเย็นๆ ไงเล่า ฟังให้จบก่อน เฮียเขามีคลับที่มีแค่เครื่องดื่ม กับฟลอร์เต้นรำแบบพวกฝาหรั่ง ส่วนพี่อีกคนทำโรงงิ้ว แนะนำตัวขนาดนี้แล้วจะเอากำปั้นลงได้หรือยังล่ะ"
เหมยกุ้ยลดมือลงตั้งแต่คำว่างิ้ว ก่อนจะถามเสียงเบาๆ
"พี่ชายนายเป็นเจ้าของโรงงิ้วหรอ"
"ใช่"
"ที่โรงงิ้วพอจะมีงานให้ทำบ้างไหม"
"นี่แม่คุณ ฉันอยากได้เธอไปทำงานที่ร้านฉัน แล้วนี่กระไรกัน มาขอทำงานที่โรงงิ้วเฮียฉันหน้าดื้อๆ"
"ก็ฉันชอบงิ้ว แล้วอีกอย่าง เป็นคนจีน ทำไมไม่แทนตัวเองว่าอั๊ว มาหลอกหรือไม่เนี่ย"
"ก็เป็นลูกหลง ครูคนที่สอนพี่สองคนที่เป็นคนจีนเขาตายไปก่อน พ่อแม่เลยให้ไปเรียนที่วัด ก็เลยติดคำพูดแบบคนสยามมา"
"ชีวิตเศร้าดีนะ"
"สรุปจะไปหรือไม่เล่า"
"งานหนักไหม"
"พูดยาก มันแล้วแต่คน"
"มีที่นอนให้บ้างไหม นอนพื้นก็ได้"
เหมยกุ้ยถาม เพราะไหนๆ ก็รอดตายจากพวกเมื่อกี้แล้ว ตอนนี้ก็ต้องหาที่นอนของคืนนี้ก่อนให้ได้เป็นอย่างน้อย
"มีที่พักของพนักงานร้านให้ จะเอาอย่างไร จะไปหรือไม่เล่า"
"เออๆ พูดมากจริง"
"หล่อนนั่นล่ะที่พูดมาก ฉันน่ะเถียงเธอไม่ทันก็เห็นๆกันอยู่"
"ถ้าหลอกไปทำงานที่คลับ แกตายแน่"
"รู้แล้วหน่า เมื่อสักครู่ ฉันก็ยืนดูเธอถีบไอ้คนพวกนั้นอยู่หมาดๆ ไม่กล้าหลอกเธอหรอก"
แล้วผู้ชายที่ชื่อเฟยเจินก็ทำอย่างที่กล่าว เขาพาเธอมาที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งแถวเยาวราชด้วยรถถีบสามล้อที่มีคนขับรถเป็นของตัวเอง
"ทำไมบ้านใหญ่จัง ไหนบอกแค่ขายของไง"
"ก็ตึกข้างๆนั่นน่ะร้านฉัน เธอคิดว่าร้านใหญ่ถึงปานนั้นแล้วฉันจะเป็นเถ้าแก่ร้านจนๆ ทำงานงกๆ บ้านหลังเล็กหรืออย่างไร"
"ไม่ได้ใช้เงินของพี่มาสร้างบ้านใช่มั้ย"
"เงินฉันหมดนั่นล่ะแม่คุณ แต่ก็ถือว่าหลังเล็กนะ ของเฮียซีซวนใหญ่กว่านี้อีก"
"ใคร"
"พี่ชายฉัน คนที่ทำคลับน่ะ"
"แล้วของคนที่ทำโรงงิ้วล่ะ"
"ของเฮียห่าวซวนอันนั้นเป็นตึกใหญ่ เพราะคนในคณะงิ้วเขาเยอะ เอาล่ะ เลิกพูดมากเสียทีเถอะ เดี๋ยวฉันพาเดินไปห้องพัก พรุ่งนี้ตื่นเช้า ไปเจอฉันที่ตึกนั่น เดี๋ยวจะบอกว่าต้องทำอะไร"
เฟยเจินชี้มือไปทางที่ตึกของร้านตั้งอยู่
ส่วนเหมยกุ้ยเองก็เดินเข้าห้องพักไป หลังจากเห็นว่ามีวี่แววของการมีคนาศัยอยู่ในห้องรอบข้างของตึกเดียวกัน พลางนึกขอบคุณเฟยเจินในใจ ที่ทำให้เธอไม่ต้องไประเห็จหาที่อยู่ หางานทำในช่วงตกต่ำที่สุดของชีวิตเช่นนี้
ถึงแม้จะนอนไม่ค่อยหลับนัก เพราะยังไม่ปล่อยวางจากเรื่องที่เหมยกุ้ยเองยอมรับความจริงที่ว่าตัวเองย้อนเวลามาไม่ได้ แต่เหมยกุ้ยก็ตื่นแต่เช้า เพื่อไปทำงานอย่างสดใส เพราะเธอมีเป้าหมายว่าจพต้องทำงานให้ดีที่สุด เพื่อที่จะขอเฟยเจินไปทำงานที่โรงงิ้วให้ได้
"เอ้า มาเช้าดีนี่"
เฟยเจินที่กำลังเอานิ้วปัดลูกคิดอยู่ที่โต๊ะพูดขึ้นเมื่อเห็นเหมยกุ้ยเดินเข้ามาในร้าน
"ก็บอกให้มาเช้า แต่ร้านใหญ่จริงนะเนี่ย"
"นี่แค่ชั้นแรก มีอีกสามชั้น"
"จะอวดทำไม"
"ไม่ได้อวด ฉันแค่แจ้งให้เธอทราบ"
"แล้วจะให้ทำอะไร"
"เธอชื่ออะไร"
เฟยเจินถาม เพราะเมื่อคืนมัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกับอีกคน จนลืมถามชื่อของอีกคนไป
ส่วนเหมยกุ้ยเองก็นิ่งไป เพราะนึกขึ้นได้ว่า ตัวเองไม่เคยบอกชื่อกับอีกคน
"เหมยกุ้ย"
"ที่แปลว่าดอดกุหลาบน่ะหรอ"
พูดจบเฟยเจินก็ขำเบาๆ
"ขำทำไม มีอะไรน่าขำ"
"เปล่า ชื่อเธอเพราะดี เหมาะกับเธอ"
"ยังไง"
เฟยเจินชะงักมือที่กำลังคำนวณลูกคิด จดยุกยิกๆบนสมุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบ
"ก็ดอกกุหลาบหนามมันแหลมมากไง เจ็บตัวง่าย"
"พูดมาก"
"นี่เธอบอกว่าฉันพูดมาก ทั้งๆที่ฉันแทบไม่ได้ปริปากอันใดอีกแล้วนะ"
"ช่างเถอะ สรุปจะให้ทำอะไร"
"เห็นกองของตรงนั้นไหม"
เฟยเจินชี้ไปทางที่มีของกองกันเป็นจำนวนมาก
"เห็น"
"นั่นล่ะ โกดังของอยู่ชั้นสี่ เธอแบกขึ้นบันไดไปเก็บหน่อย"
ฝากผลงานเรื่อง ณ ทรงวาดด้วยนะคะ
สามารถพูดคุยกับนักเขียนได้ทาง twitter:@littlelzybeez หรือ #ณทรงวาด นะคะ หรือจะพูดคุยกันทางคอมเม้นก็ได้นะคะ