webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · 奇幻言情
分數不夠
107 Chs

ตอนที่ 17 ความลับที่ถูกเปิดเผย1/2

ยามอิ่ว ณ เรือนพสุธา

เวลานี้ทั่วทั้งเรือนพสุธาถูกตกแต่งประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสีสันจนสว่างไสวสวยงาม เสียงพูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนานคละเคล้ากับเสียงดนตรีอันไพเราะ ชวนให้เพลิดเพลินยิ่งนัก

ภายในโถงกลางเรือนพยัคฆ์ ฉีเฟยหลงในชุดสีเหลืองทอง ปักลายสัตว์มงคลสีเงินนั่งเด่นอยู่ตรงกลาง ในมือขวาถือจอกสุราทำด้วยทองคำ กำลังสนทนากับแม่ทัพหนุ่มและชิงหยวนที่นั่งขนาบซ้ายขวาอย่างออกรส

"สมเป็นสกุลชิง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนทำได้รวดเร็ว ไร้ที่ติ" ฉีเฟยหลงกล่าวชื่นชม

"องค์รัชทายาทชมเกินไปแล้ว งานนี้สำเร็จลงได้ด้วยพระบารมีของฝ่าบาท และพระปรีชาสามารถของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ"

"กระหม่อมเห็นด้วยกับท่านลุง หากไม่ได้พระองค์ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายวันพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มในอาภรณ์ลำลองสีฟ้าน้ำทะเลปักลายเมฆาเคลื่อนคล้อย เกล้าผมสูงเก็บเรียบร้อย ใบหน้างดงามหล่อเหลายิ้มน้อยๆ ดวงตาคมทรงเสน่ห์ชำเลืองมองทางเข้าเป็นระยะๆ คล้ายรอใครอยู่

"เฮอะ! ถึงเราจะแพ้ในการตามหาอาชาสวรรค์ แต่ก็ชนะเจ้าจากการแข่งขันขี่อาชาสวรรค์กลับมาที่นี่ ดังนั้นถือว่าเสมอกัน" ฉีเฟยหลงสรุป ยกมือขึ้นโบกคราหนึ่ง มองสหายที่เป็นทั้งคู่แข่งและที่ปรึกษาคนสนิท รักกันดุจพี่น้องร่วมสายเลือด เมื่อเห็นว่ามองตนอยู่ มุมปากก็ยกขึ้นยิ้มน้อยๆ คล้ายล้อเลียน รู้สึกไม่ชอบใจและนึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

"อ้อ เหตุใดจึงไม่เห็นบุตรสาวของท่านเลย นางเป็นอันใดหรือ" ฉีเฟยหลงถามเมื่อเห็นเพียงชิงฮูหยินที่นั่งถัดจากชิงหยวนผู้เป็นสามี

"กราบทูลองค์รัชทายาท บุตรีของกระหม่อมได้รับบาดเจ็บจากการตามหาอาชาสวรรค์ จึงไม่ได้มาเข้าเฝ้า โปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนประสานมือพร้อมกับค้อมศีรษะลง หางเสียงสั่นเล็กน้อย ด้วยเกรงว่าอาจทำให้องค์รัชทายาทขัดเคืองพระทัย

"อืม เช่นนั้นก็ให้นางพักผ่อนเถิด" ฉีเฟยหลงหยิบตลับยาเล็กๆ ที่อยู่ในฉลองพระองค์ออกมายื่นให้ชิงหยวน

"นี่เป็นยาสมานแผล เห็นผลรวดเร็ว และยังช่วยรักษาแผลเป็นได้ดีเยี่ยม ช่วยมอบให้นางด้วย งานนี้สำเร็จลงได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งก็มาจากแผนที่ของนาง"

"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนคุกเข่าคำนับโขกศีรษะกับพื้น ก่อนจะยื่นมืออันสั่นเทาออกไปรับตลับยาจากองค์รัชทายาท

"ขอบพระทัยในพระกรุณาเพคะ" ชิงฮูหยินยอบกายถวายความเคารพตามแบบชาววังด้วยความปลาบปลื้มใจ เพราะยานี้ทำขึ้นเพื่อโอรสสวรรค์และเชื้อพระวงศ์เท่านั้น ใช่ว่าจะหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป

"ของเล็กน้อยเท่านั้น แล้วท่านจะทำเช่นไรต่อไป" ฉีเฟยหลงถามชิงหยวนที่กลับมานั่งที่เดิมแล้ว

"ทูลตามตรง กระหม่อมยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนตอบตามจริง

"อืม อย่างนั้นหรือ ท่านแม่ทัพ เราอยากฟังความเห็นของเจ้า" ฉีเฟยหลงหันมาถามมู่หลิ่งเหวินแทน

"ความเห็นกระหม่อม ควรนำสัตว์ทั้งสี่ไปฝากเลี้ยงยังคอกของวังองค์รัชทายาทดูจะเหมาะสมและปลอดภัยกว่า จากนั้นค่อยถวายในวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มออกความเห็น

"หือ?" ฉีเฟยหลงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

"ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อมเห็นด้วยกับแม่ทัพมู่พ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนทำท่าหยุดคิดครู่หนึ่ง จึงตอบสนับสนุนความคิดเห็นของแม่ทัพหนุ่มที่ตรงกับความคิดของตน ช่วงเวลาเกือบสี่สิบวันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็สุดรู้ คาดว่าเสนาบดีหานหนิงเฉิงคงไม่นิ่งเฉยกับเรื่องนี้เป็นแน่ แต่ถ้านำสัตว์มงคลทั้งสี่ไปไว้ที่อื่น ก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัยเช่นกัน เมื่อแม่ทัพหนุ่มเสนอให้ไปไว้ที่วังรัชทายาท ชิงหยวนจึงรีบสนับสนุนทันที จะมีที่ใดปลอดภัยกว่าวังรัชทายาทอีกเล่า

ชิงฮูหยินมองคู่หมายของบุตรีด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป รู้สึกขอบคุณและพอใจในสิ่งที่แม่ทัพหนุ่มกระทำในยามนี้ยิ่งนัก

"อืม ได้ เราอนุญาต" ฉีเฟยหลงมีท่าทีลังเล แต่พอสบเข้ากับดวงตาคมทรงเสน่ห์ที่จ้องมาก็อดใจอ่อนไม่ได้

'อาเหวิน เจ้าติดค้างเราหนึ่งครั้งแล้ว'

มู่หลิ่งเหวินพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจและขอบคุณ

"เอาละ นี่ก็ดึกแล้ว สมควรพักผ่อนเสียที" ร่างของผู้สูงศักดิ์ยืนขึ้น สองมือไพล่หลัง ก้าวเดินออกไปด้วยท่วงท่าสง่างาม ตามด้วยองครักษ์ชุดดำเต็มยศอีกสี่นาย

"ขอบใจเจ้ามากนะหลานชาย ที่ช่วยสกุลชิงไว้" ชิงหยวนเดินเข้ามาตบบ่าหนาของบุรุษตัวสูงใหญ่พร้อมรอยยิ้มที่ระบายเต็มใบหน้า

"ใช่ ขอบใจเจ้าจริงๆ" ชิงฮูหยินพยักหน้ากล่าวสนับสนุนถ้อยคำของสามี

"เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว หากท่านลุงท่านป้าจะกรุณา ข้าขอไปเยี่ยมน้องได้หรือไม่ขอรับ" แม่ทัพหนุ่มถือโอกาสนี้ขอในสิ่งที่ผู้อาวุโสทั้งสองไม่กล้าปฏิเสธทันที เหตุเพราะนับแต่กลับมาถึงเรือนพสุธาจนบัดนี้เข้ายามซวี เขายังไม่ได้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของนางเลย

"ได้สิ ลุงกำลังจะไปดูหลินเอ๋อร์อยู่พอดี" ชิงหยวนตอบแม่ทัพหนุ่ม ชิงฮูหยินถอนใจเบาๆ ออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะพยักหน้าอนุญาต

ภายในห้องนอนของชิงหลิน บุรุษสองวัยและชิงฮูหยินเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ขณะที่เสี่ยวเอินยืนหลบอยู่ด้านข้างใกล้ประตู

แม่ทัพหนุ่มมองคู่หมายที่นอนหลับตาพริ้ม ลมหายใจสม่ำเสมอ ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าจิ้มลิ้มมีเลือดฝาดมากกว่ายามเช้า ก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นสองส่วน มีพยัคฆ์น้อยนอนอยู่ข้างๆ มันขดตัวกลมเหมือนลูกแมว ส่งเสียงกรนเบาๆ พอเห็นมันแล้วแม่ทัพหนุ่มก็รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

มู่หลิ่งเหวินเหยียดยิ้มราวกับเย้ยหยันตนเองที่อิจฉาแม้กระทั่งสัตว์ตัวเล็กๆ ก่อนจะหมุนกายมาทางชิงหยวน ประสานมือพร้อมกับกล่าวขอบคุณเบาๆ จากนั้นจึงเดินออกไปด้วยท่วงท่าสง่างาม

ชิงหยวนลูบเคราตัวเอง ยิ้มบางๆ ดวงตาคมมองตามหลังแม่ทัพหนุ่มครู่หนึ่งจึงละสายตากลับมา ก็สบเข้ากับดวงตางดงามที่จ้องมองตนเขม็ง พร้อมใบหน้าบึ้งตึงของฮูหยิน จึงอดใจที่จะรวบตัวเข้ามากอดไว้แนบอกอย่างรักใคร่ไม่ไหว ก่อนจะพากันเดินออกไปจากห้อง เสี่ยวเอินได้แต่มองภาพนั้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ

ยามเฉินวันต่อมา

ชิงหลินตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า อาการตัวรุมๆ เมื่อวานหายเป็นปลิดทิ้ง มีเพียงอาการปวดบาดแผลบริเวณใต้หัวไหล่ขวา ทำให้ขยับเขยื้อนไม่ค่อยสะดวก เวลาจะเปลี่ยนชุดก็ต้องให้เสี่ยวเอินช่วย มือซ้ายก็ใช้ได้ไม่ถนัด จะกินข้าวก็ต้องให้เสี่ยวเอินป้อน สรุปจะทำอะไรเสี่ยวเอินต้องมีเอี่ยวด้วยทุกสิ่งไป และที่ทำให้ทรมานที่สุดก็คือ ยาน้ำสีดำกลิ่นชวนแหวะ ทั้งยังขมปี๋ที่ต้องกินทุกวันสามเวลา ที่ตอนนี้จ่ออยู่ที่ปากโดยความช่วยเหลือของเสี่ยวเอิน

"คุณหนู รีบดื่มตอนที่กำลังอุ่นๆ เถิดเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นหากเย็นลง..." ไม่ทันที่เสี่ยวเอินจะเกลี้ยกล่อมจบ นางก็ต้องยิ้มจนตาหยี เมื่อคุณหนูของนางยกยาขึ้นดื่มรวดเดียว ยาน้ำสีดำก็หายไปจากถ้วยกระเบื้องสีขาวปลอดทันที

"อี๋ ขมจังเลย เสี่ยวเอินขอบ๊วยหน่อย"

เสี่ยวเอินรีบหยิบบ๊วยดองส่งให้คุณหนู ที่ยามนี้ใบหน้าจิ้มลิ้มบิดเบี้ยวน้ำตาคลอ เห็นแล้วก็รู้สึกขบขันและสงสารไปพร้อมๆ กัน คุณหนูของนางช่างเกลียดกลัวการดื่มยาเสียจริง

"ฟานฟานลองกินหน่อยไหม" หญิงสาวแกล้งเอาบ๊วยดองมาจ่อจมูกเจ้าพยัคฆ์น้อยที่นั่งด้วยเท้าหลัง เท้าหน้าเหยียดตรงแหงนหน้าขึ้น เอียงหัวกลมๆ เล็กๆ มองด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู มันดมๆ เจ้าลูกเหี่ยวๆ กลมๆ กลิ่นแปลกๆ สองสามหนแล้วสะบัดหน้าหนี บอกให้รู้ว่ามันไม่ชอบเลยสักนิด ชิงหลินคาดไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ จึงหัวเราะคิกคักชอบใจที่เห็นมันย่นจมูก ทำเสียงฟืดฟาดคล้ายคนสั่งน้ำมูก

"หลินเอ๋อร์ มีเรื่องอันใดหรือ" ชิงฮูหยินเดินเข้ามา ตามด้วยบ่าวหญิงสองนาง

"ท่านแม่ ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ" นางยิ้มตอบมารดาที่เดินเข้ามานั่งข้างเตียง

"ไหนขอแม่ดูหน่อยสิ" ชิงฮูหยินเอามือแตะหน้าผาก แก้มซ้ายขวา และลำคอของบุตรี พลางถอนใจอย่างโล่งอก ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี

"ข้าทราบมาว่าสัตว์ทั้งสี่ตัวจะถูกนำไปเลี้ยงไว้ชั่วคราวที่วังขององค์รัชทายาท เรื่องนี้จริงเท็จประการใดเจ้าคะ"

"เป็นความจริง เพราะวังองค์รัชทายาทคุ้มกันแน่นหนาและปลอดภัยกว่าที่นี่มากนัก" มารดาให้เหตุผล

ชิงหลินไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าจิ้มลิ้มสลดลงเล็กน้อย หลุบตามองฟานฟานน้อยที่ขึ้นมานอนอยู่บนตัก ลูบหัวกลมๆ เล็กๆ ที่ปกคลุมด้วยขนฟูฟ่องสีขาวมีสีดำพาดผ่านตลอดลำตัวด้วยความอาลัยอาวรณ์ ใช่ ฟานฟานน้อยของนางก็เป็นหนึ่งในสัตว์ทั้งสี่ที่ต้องถวายองค์ฮ่องเต้ หากมันไม่อยู่นางคงเหงามากแน่ๆ

"เป็นอันใดไป เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ" ชิงฮูหยินยื่นมือไปลูบผมอันเงางามนุ่มลื่นที่ปล่อยสยายถึงเอวคอดกิ่วของบุตรี เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก้มหน้าลงนิ่งก็รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา

"เปล่าเจ้าค่ะ ข้าเห็นด้วย เพียงแต่...ฟานฟานน้อย..." บุตรสาวตอบเสียงเศร้า ดวงตากลมโตสั่นไหว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ปากอวบอิ่มเม้มแน่น ขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดออกมาอย่างที่ใจต้องการ

"เฮ้อ แม่เข้าใจ แม่เข้าใจดี" ชิงฮูหยินกล่าวปลอบบุตรี

ขณะที่บรรยากาศในห้องกำลังหดหู่ แต่ภายนอกกลับโกลาหล เพราะอาชาสวรรค์สองตัวที่เพิ่งมาใหม่อาละวาดอยู่

"เสียงเอะอะโวยวายอันใด เจ้าไปดูซิ" ชิงฮูหยินสั่งสาวใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ประตู

"เจ้าค่ะ" หนึ่งในสาวใช้รีบออกไปตามคำสั่งของฮูหยินทันที มิถึงหนึ่งก้านธูปสาวใช้คนเดิมก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

"เรียนฮูหยิน อาชาสวรรค์สองตัวที่ได้มาเกิดพยศขึ้นมาเจ้าค่ะ" รายงานเสียงสั่นด้วยความเหนื่อยหอบ

"พยศ?" ชิงฮูหยินทวนคำ

"เจ้าค่ะ บ่าวคนหนึ่งบอกว่าเป็นเพราะยาสะกดใจหมดฤทธิ์ลง จึงทำให้พวกมันพยศเจ้าค่ะ" นางรายงานตามที่ได้ยินมา

"ยาสะกดใจ? เป็นยาแบบไหนกันเจ้าคะ"

"เป็นยาที่สะกดให้สัตว์เชื่องและทำตามคำสั่งแต่โดยดี ฤทธิ์ยาจะอยู่ได้นานราวสิบสองชั่วยาม นี่เพิ่งผ่านไปสิบชั่วยาม เหตุใดยาจึงหมดฤทธิ์เสียแล้ว" ชิงฮูหยินตั้งข้อสังเกต

"แม่จะไปดูเสียหน่อย เจ้านอนพักเถอะ จะได้หายเร็วๆ" ชิงฮูหยินตบหลังมือบุตรีเบาๆ แล้วจึงเดินออกมา

"เสี่ยวเอิน ช่วยข้าแต่งตัว" คล้อยหลังมารดา ชิงหลินก็หันมาสั่งเสี่ยวเอิน เมื่อเห็นว่านางยังยืนนิ่งจึงเร่งเร้าเสียงเข้ม "เร็วเข้า!"

สองเค่อต่อมาชิงหลินในอาภรณ์สีขาว ชายกระโปรงปักลายดอกเหมยสีบานเย็นดอกเล็กๆ ดูบริสุทธิ์ราวดอกบัว ก็ก้าวเดินช้าๆ ทว่ามั่นคงเข้าไปหากลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าคอกสัตว์ มีเสี่ยวเอินคอยช่วยประคองอย่างระมัดระวัง

"ท่านพ่อ"

เสียงใสกังวานทำให้บุรุษทั้งสามหันไปมองเป็นตาเดียว

"หลินเอ๋อร์! เจ้ามาทำอันใดที่นี่" ชิงหยวนจ้ำอ้าวเข้ามาหาบุตรี

สายตาของฉีเฟยหลงทอดมองสตรีตรงหน้าอย่างแปลกใจ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นบุรุษที่อยู่ข้างๆ กำหมัดแน่น ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับจ้องสตรีเบื้องหน้าคล้ายไม่สบอารมณ์ จึงอดที่จะเอ่ยเย้าแหย่ไม่ได้

"อา...ช่างเป็นสตรีที่งดงามและพิเศษกว่าสตรีที่เคยพบเห็นมา" พอกล่าวออกไปก็แทบจะอดกลั้นหัวเราะไม่ได้ เมื่อเห็นใบหน้างดงามราวเทพเซียนของแม่ทัพหนุ่มบึ้งตึงขึ้นอีกหลายส่วน ดำคล้ำเหมือนท้องฟ้าเดือนหก จิตสังหารแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ จนองครักษ์ของเขาที่ยืนคุมเชิงอยู่เสียวสันหลังวาบกับคำหยอกเย้าขององค์รัชทายาท

มู่หลิ่งเหวินพยายามระงับความขุ่นเคือง เมินเฉยต่อถ้อยคำหยอกเย้าขององค์รัชทายาท คล้ายถ้อยคำชวนหงุดหงิดเหล่านั้นเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่าน ไร้ความสำคัญใดๆ ดวงตาคมทรงเสน่ห์ยังคงจับจ้องคู่หมายที่สนทนาอยู่กับบิดา โดยไม่ได้เข้าไปแทรกแซง

ครั้นฉีเฟยหลงเห็นแม่ทัพหนุ่มที่มีอาการหึงหวงคู่หมายก็พอใจยิ่งนัก ดวงตาเปล่งประกายสนุกสนาน

ฉีเฟยหลงหรือองค์ชายสาม มีพระชันษายี่สิบหกปี พระมารดาคือฮองเฮาองค์ปัจจุบัน นามว่าตู้อวี้หลัน เป็นน้องสาวของอัครเสนาบดีตู้ฮุ่ยเปียว ด้วยชาติกำเนิดที่สูงส่ง ตำแหน่งองค์รัชทายาทจึงตกเป็นของฉีเฟยหลงในทันที ไม่มีขุนนางคนใดกล้าลุกขึ้นมาคัดค้าน นำมาซึ่งความเจ็บแค้นแก่พระสนมเอกหานเฟย นามว่าหานลั่วเสียนยิ่งนัก ด้วยหมายมาดว่าบุตรของตนจะได้เป็นองค์รัชทายาท เพราะถือกำเนิดก่อนถึงห้าปี และยังเป็นโอรสองค์แรกของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

อัครเสนาบดีตู้ฮุ่ยเปียว เสนาบดีฝ่ายบู๊มู่หลิ่งฟู่ และเสนาบดีฝ่ายบุ๋นหานหนิงเฉิง เป็นศิษย์จากสำนักบัณฑิตเดียวกัน แต่เพราะมู่หลิ่งฟู่ชอบการต่อสู้ จึงหันเหไปเป็นทหาร สร้างชื่อเสียงมากมายจนได้รั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่อันเป็นตำแหน่งสูงสุดทางทหาร ขณะเดียวกันกับตู้ฮุ่ยเปียวและหานหนิงเฉิงได้สอบเข้าเป็นขุนนางตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้สำเร็จ ด้วยสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศกว่าของตู้ฮุ่ยเปียว ทำให้เขาก้าวไปถึงตำแหน่งอัครเสนาบดี อันเป็นตำแหน่งสูงสูดของขุนนางในราชสำนัก ขณะที่หานหนิงเฉิงรั้งตำแหน่งรองลงมาหนึ่งขั้น จึงรู้สึกอับอายและเจ็บใจยิ่งนักที่ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่สหายรุ่นเดียวกันถึงสองคน

"ชิงหลินถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ"

เสียงหวานดึงสติฉีเฟยหลงกลับมา มองหญิงสาวที่ยอบกายเคารพตนโดยมีสาวใช้ประคองอย่างระมัดระวัง จึงอดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้

"เจ้าบาดเจ็บ เหตุใดจึงมาที่นี่"

ชิงหลินเงยหน้ามององค์รัชทายาทแวบหนึ่งก็รีบก้มหน้าลง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง "โปรดประทานอภัย หม่อมฉันร้อนใจเรื่องอาชาสวรรค์ จึงได้มาที่นี่เพคะ"

มุมปากของฉีเฟยหลงยกขึ้นเล็กน้อย ประทับใจในความใจกล้าของสตรีผู้นี้ ด้วยตนเป็นถึงว่าที่ฮ่องเต้องค์ต่อไป ย่อมเป็นที่หวั่นเกรงแก่ขุนนางและสามัญชนทั่วไป แต่กับสตรีผู้นี้ นอกจากจะกล้าขัดรับสั่งแล้ว นางยังกล้าต่อปากต่อคำตนอีก ช่างเป็นสตรีที่กล้าหาญและอวดดียิ่งนัก

"เจ้ามาแล้วจะทำอันใดได้ เพียงเพื่อมาดูเฉยๆ หรือ" ฉีเฟยหลงถามเสียงเข้ม สองมือไพล่หลัง หน้าตึงขึ้นหนึ่งส่วน จนผู้คนรอบข้างอันประกอบด้วยองครักษ์ทั้งสี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังองค์รัชทายาท ชิงหยวนที่ยืนอยู่ข้างบุตรี และเสี่ยวเอินที่ประคองแขนนายสาว ต่างก็อกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน ยกเว้นแม่ทัพหนุ่มที่เลิกคิ้วเข้มขึ้นข้างหนึ่ง เห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ด้วยคุ้นเคยกับนิสัยชื่นชอบทำให้ผู้อื่นตกใจขององค์รัชทายาทดีกว่าผู้ใด

ข้างฝ่ายชิงหลินไม่กล้าผลีผลามตอบ จึงเงียบเพื่อเรียบเรียงถ้อยคำ มู่หลิ่งเหวินเลยก้าวออกมาข้างหน้าแล้วกล่าว

"ทูลองค์รัชทายาท เมื่อครู่พระองค์ตรัสว่าคู่หมายของกระหม่อมเป็นสตรีที่พิเศษกว่าสตรีนางใด เช่นนั้นให้นางลองดูสักครั้งดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่..."