"เพียงแต่อันใดหรือ"
"ขอให้ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" พอแม่ทัพหนุ่มพูดจบ สายตาหลายคู่ต่างก็มองเขาอย่างโง่งม ยกเว้นชิงหยวนที่รู้อยู่ก่อนแล้ว
"ได้ เรารับปาก" ฉีเฟยหลงรับคำหนักแน่น แต่ยังมิวายสงสัยในตัวสตรีผู้นี้ นางจะปราบพยศอาชาสองตัวนี้ที่กำลังพยศจนไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้อย่างไรกัน
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินประสานมือทำความเคารพ ก่อนจะหันมาทางคู่หมายที่ยืนถัดไปจากบิดา
"เป็นพระกรุณายิ่งแล้วเพคะ" ชิงหลินจึงยอบกายทำความเคารพอีกครั้ง แล้วหันมายิ้มขอบคุณเขาที่ช่วยพูดให้ จึงได้เห็นสายตาเชื่อมั่นแกมห่วงใยจากดวงตาคมทรงเสน่ห์ที่มองอยู่ก่อน แล้วก็อดใจเต้นไม่ได้
"เสี่ยวเอินพาข้าไปที่รั้วนั่นที" นางกระซิบสั่งสาวใช้ ดวงตากลมโตมองรั้วกั้นรูปวงกลม พื้นที่ด้านในคงสักประมาณสี่ห้าไร่ ทำจากไม้เนื้อแข็งสูงเกือบสองเมตรเพื่อป้องกันการหลบหนีของอาชาที่จับมาได้ ด้านในรั้วมีคอกม้าหลายสิบคอก มีหลังคามุงด้วยใบอะไรสักอย่างคล้ายใบจากเพื่อกันแดดกันฝน
ฉีเฟยหลง มู่หลิ่งเหวิน ชิงหยวน องครักษ์ทั้งสี่นาย ต่างมายืนเกาะรั้วไม้ คล้ายรอชมละครฉากใหญ่ ส่วนพวกบ่าวไพร่ที่ตามมาก็ถูกกันออกไปจนหมด
ด้านในรั้วไม้ อาชาสวรรค์สีดำกับสีน้ำตาลกำลังวิ่งหลบหลีกคนงานหลายสิบชีวิตที่ไล่ต้อนมันอย่างเอาเป็นเอาตาย บางทีก็ยกเท้าหน้าตะกุยอากาศ ข่มขวัญคนงานที่เข้ามาดักข้างหน้าจนต้องหลบหนีกันจ้าละหวั่น
ชิงหลินมองพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่แปลกใจเลยที่มันจะอาละวาดหนักขนาดนี้ ม้าเป็นสัตว์ที่เฉลียวฉลาด จับมันมาได้เพราะยาสะกดใจ พอยาหมดฤทธิ์ พวกมันจึงโกรธมากที่โดนหลอก เพราะเสียรู้ให้แก่มนุษย์ที่มันมิใคร่ชอบ ความโกรธจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
"ไปพาอาชาสวรรค์สีทองมาที่นี่" ชิงหลินสั่งเสี่ยวเอิน นางรีบทำตามทันทีโดยหันไปบอกคนงานที่อยู่ใกล้ๆ
รอไม่นานอาชาสวรรค์สีทองก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าชิงหลิน มันเดินตรงดิ่งเข้ามาหาโดยไม่สนใจใคร แม้แต่องค์รัชทายาทยังตะลึง
"เจ้าเรียกข้ามาเพราะเจ้าสองคนนั่นหรือ" อาชาสวรรค์สีทองถามมนุษย์ร่างเล็กๆ ที่ส่งยิ้มให้มัน
"ถูกต้อง ท่านจะช่วยข้าหรือไม่" หญิงสาวตอบทั้งยืดหลังตรง สองมือประสานกันอยู่ด้านหน้า
"ให้ข้าเข้าไปหยั่งเชิงหรือ" ชิงหลินพยักหน้าชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของมัน
"ได้ ข้าจะเป็นหนังหน้าไฟให้เจ้า แต่หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมพวกมันได้หรือไม่" น้ำเสียงกึ่งรำคาญกับท่าทางเย่อหยิ่งอวดดีของอาชาสวรรค์ ทำให้นางนึกหมั่นไส้นิดๆ และเป็นอีกครั้งที่สายตานับสิบคู่จ้องมองมายังบุตรีสกุลชิงอย่างโง่งม
ฉีเฟยหลงตะลึงเป็นคำรบที่สอง ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง เสียงร้องเล็กๆ คล้ายอาชาที่นางร้องออกมา หากอาชาไม่ตอบโต้ ผู้ใดพบเห็นย่อมคาดเดาว่าสติของนางฟั่นเฟือนเป็นแน่ แต่นี่...อาชาสวรรค์สีทองตัวนั้นกลับร้องตอบนาง อย่างกับมันกำลังคุยกับนางอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ฉีเฟยหลงหันไปทางแม่ทัพหนุ่ม เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งยิ้มพลางพยักหน้าให้เป็นเชิงว่าสิ่งที่ตนคิดถูกต้องแล้ว ดวงตาดุจพญาเหยี่ยวก็พลันเบิกกว้าง หันขวับไปทางสตรีที่ยืนเกาะรั้ว แต่สายตามองตรงไปที่อาชาสวรรค์สีทองที่เยื้องย่างเข้าไปในรั้ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นควบเต็มฝีเท้าตรงเข้าไปขวางหน้าพวกม้าสองตัวที่กำลังควบมาทางนี้ทันที จนพวกมันชะงักหยุดฝีเท้าที่ควบมาเต็มที่แทบไม่ทัน
ภาพอาชาสวรรค์สีทองยกเท้าหน้าตะกุยอากาศ ส่งเสียงร้องดังลั่นใส่อาชาสวรรค์อีกสองตัวที่บัดนี้ยืนนิ่ง หอบหายใจพรืดๆ โดยปกติทั่วไปแล้วอาชาสวรรค์จะวิ่งได้นานโดยไม่ต้องหยุดพัก แต่เพราะเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน มันวิ่งด้วยความโกรธ ครั้นพอได้สติอาชาสวรรค์ทั้งสองจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ราวหนึ่งเค่ออาชาสวรรค์สีดำกับสีน้ำตาลไหม้ก็เดินตามอาชาสวรรค์สีทองมาหาชิงหลินที่ยืนเกาะรั้วอยู่ อาชาสวรรค์ทั้งสองเชิดหัวเรียวยาวของมัน พ่นเสียงพรืดๆ ออกมาใส่นางเหมือนคนที่กำลังโกรธและอับอายที่ถูกหลอก ส่วนอาชาสวรรค์สีทองที่ยืนถัดมาพยักพเยิดให้นางคล้ายจะบอกว่าไหนลองแสดงฝีมือให้ข้าดูหน่อย
"พี่ใหญ่บอกว่าเจ้าพูดภาษาข้าได้จริงหรือ" อาชาสวรรค์สีดำร้องถาม
"พี่ใหญ่?" ชิงหลินทวนคำ หันไปมองอาชาสวรรค์สีทอง เห็นมันยืนนิ่งเชิดหัวขึ้นอย่างโอ้อวดก็อดยิ้มไม่ได้ อ้อ อย่างนี้นี่เอง
"เห็นแก่พี่ใหญ่ ข้ากับที่รักของข้าตกลงใจจะอยู่ที่นี่" อาชาสวรรค์สีดำพูดต่อ
"ที่รัก? ท่านหมายถึง...นาง" ชิงหลินชี้ไปที่อาชาสวรรค์สีน้ำตาลไหม้
"ฮึ! ใช่ เจ้ามีปัญหาหรือ" อาชาสวรรค์สีน้ำตาลไหม้เพศเมียเชิดหัวขึ้น จ้องมองนางอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"เปล่า ข้าเพียงแปลกใจเท่านั้น ขออภัยหากทำให้พวกท่านไม่พอใจ" ชิงหลินค้อมศีรษะลงเล็กน้อยยามกล่าว ทำให้อาชาสวรรค์พอใจยิ่งนักที่เห็นนางให้เกียรติพวกมัน ซึ่งผิดกับมนุษย์คนอื่น
"ข้ายกโทษให้ ว่าแต่...เจ้าสองคนนั้นใช่หรือไม่ที่บังอาจขี่ข้ากับที่รักของข้ามาที่นี่ ทั้งที่พวกข้าไม่เต็มใจ" อาชาสวรรค์สีดำหันหัวไปทางฉีเฟยหลงที่ยืนห่างไปเพียงสามก้าวและแม่ทัพหนุ่มที่ยืนถัดออกไป
ฉีเฟยหลงและแม่ทัพหนุ่มคล้ายจะรู้ว่ากำลังถูกพาดพิงอยู่จากหนึ่งคนกับอีกสามตัว จึงขยับตัวและส่งสายตาถามสตรีที่มองมาทางพวกตนทันที ชิงหลินได้แต่ส่งยิ้มเฝื่อนๆ ให้ ไม่ได้พูดอะไร ทำให้บุรุษต่างสถานะทั้งสองออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อย
"ทูลองค์รัชทายาท อาชาสวรรค์ทั้งสามยินยอมไปกับพระองค์แล้วเพคะ" ชิงหลินหันมากราบทูล
"อืม เจ้าพูดคุยกับมันได้จริงหรือ" ฉีเฟยหลงถามเพื่อความแน่ใจ ดวงตาทอประกายเจิดจ้า ความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจ เป็นความรู้สึกที่หากแม่ทัพหนุ่มรู้คงกินไม่ได้นอนไม่หลับจนกว่าจะได้นางมาครอบครอง เมื่อนั้นจึงพอจะวางใจได้ มีเพียงสองคำที่คิด นั่นคือ 'อยากได้'
"หม่อมฉันพูดได้เล็กน้อยเท่านั้นเพคะ"
"แล้วพูดกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ได้หรือไม่" ฉีเฟยหลงถามต่อ แต่ชิงหลินยังไม่ทันได้ตอบ มู่หลิ่งเหวินก็รีบตัดบท เมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มขาวเนียนเริ่มซีดและมีเหงื่อผุดออกมาตามไรผม คาดว่ายาที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดคงหมดฤทธิ์แล้ว
"ทูลองค์รัชทายาท ไว้นางหายดีแล้วค่อยซักถามเรื่องนี้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"ตกลง พานางไปพักผ่อนเถิด" แม้ยังมีเรื่องอยากถามอีกมาก แต่พอเห็นใบหน้าซีดขาวและมีเหงื่อซึมของนาง จึงรู้ว่าสิ่งที่แม่ทัพหนุ่มบอกเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ความขุ่นมัวในใจเมื่อครู่เลยหายไปทันที
"หม่อมฉันทูลลาเพคะ" หญิงสาวยอบกายทำความเคารพปิดท้าย จากนั้นก็ปล่อยให้เสี่ยวเอินพากลับห้องของตน เพราะรู้สึกปวดแผลจนแทบทนไม่ไหว แต่ก่อนจากยังไม่วายหันมาขอร้องบิดาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
"ท่านพ่อ โปรดให้อิสระแก่พวกเขา เช่นที่พวกเขาอยู่ในป่าด้วยนะเจ้าคะ เพราะพวกเขาไม่ค่อยชอบมนุษย์สักเท่าไรเจ้าค่ะ"
"พ่อรู้แล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด" ชิงหยวนรับปากด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 'ดูเอาเถิด นางเจ็บขนาดนี้ยังมีแก่ใจเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น หลินเอ๋อร์นะหลินเอ๋อร์ พ่อจะทำอย่างไรกับเจ้าดี หลังจากจบเรื่องนี้จะเกิดอะไรกับเจ้าบ้าง พ่อคาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ'
มู่หลิ่งเหวินมองตามหลังคู่หมายด้วยความห่วงใยเจือกังวล ว่ากันตามจริงแม่ทัพหนุ่มอยากจะอุ้มนางกลับห้องด้วยตนเอง แต่เกรงคำครหา ด้วยตนยังไม่ได้ตบแต่งนาง แม้แต่การหมั้นหมายก็ยังดูห่างไกล เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าหล่อเหลางดงามดุจเทพเซียนก็ดำคล้ำลงทันที สาวเท้าตามฉีเฟยหลงกลับไปยังโถงกลางของเรือนพสุธา เพื่อปรึกษาหารือถึงกำหนดวันที่แน่นอนเรื่องสัตว์มงคลทั้งสี่ด้วยใจที่หนักอึ้ง
ส่วนชิงหยวนหันมากำชับบ่าวไพร่ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดให้ปิดปากให้สนิท หากผู้ใดแพร่งพรายจะถูกโบยหนึ่งร้อยไม้และขายออกไปทันที หลังจากสั่งเสร็จก็หมุนกายมุ่งหน้าไปที่ห้องโถงอย่างรีบร้อน
เมื่อชิงหลินกลับมาถึงห้อง พอเปิดประตูออก นางก็ถึงกับตะลึงตาค้าง ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นสภาพภายในห้องที่ถูกปกคลุมด้วยขนเป็ดจำนวนมาก บางส่วนยังปลิวว่อนเพราะแรงกระชากของเจ้าฟานฟานน้อยตัวดี ที่ตอนนี้กำลังกัดกระชากหมอนข้างใบโปรดของนางอยู่บนพื้นอย่างเมามัน มันชะงักแล้วมองมาแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปกัดกระชากหมอนข้างต่อ โดยไม่สนใจนางอีก
"โกรธหรือ ข้าขอโทษ" ชิงหลินกล่าวพร้อมกับค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้ามัน มือซ้ายจับตรงบริเวณบาดแผล เพราะเมื่อครู่เผลอตัวหัวเราะเสียจนเจ็บแผลขึ้นมา
"ทิ้ง...ใจร้าย" ฟานฟานน้อยแหงนหน้ามองพลางต่อว่าด้วยความน้อยใจ ดวงตากลมเล็กสีเทามีน้ำตาคลอ ปากน้อยๆ เต็มไปด้วยขนเป็ด
คนถูกต่อว่าถึงกับพูดไม่ออก ลำคอตีบตันจนรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก เอื้อมมือคว้าตัวมันมากอดไว้แนบอก ไม่สนใจขนเป็ดที่ติดตามตัวมัน แนบใบหน้ากับหัวกลมๆ เล็กๆ ที่พาดอยู่บนไหล่
มันส่งเสียงอู้อี้ต่อว่า "ทิ้ง...ใจร้าย ทิ้ง...ใจร้าย" ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
จู่ๆ น้ำตาของนางก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ จนหยดลงบนขนนุ่มๆ ของมัน เมื่อคิดถึงเวลาที่ต้องแยกจากกัน ซึ่งก็คงอีกไม่นาน
"คุณหนู! เป็นอย่างไรเจ้าคะ เจ็บแผลหรือเจ้าคะ" เสี่ยวเอินเห็นใบหน้างดงามของคุณหนูเต็มไปด้วยน้ำตาก็ตกใจร้องถามเสียงหลง
ชิงหลินส่ายศีรษะแทนคำตอบ ร้องไห้ออกมาเงียบๆ จนฟานฟานน้อยที่กำลังน้อยใจชะงัก หยุดตัดพ้อทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงความเศร้าเสียใจจากนาง มันพยายามใช้หัวดันใบหน้าของนางออกอยู่หลายครั้งกว่าจะสำเร็จ
"ร้องไห้? เสียใจ...เสียใจ" ฟานฟานน้อยเงยหัวเอียงคอถามหลินหลินของมัน ตั้งใจจะถามว่าร้องไห้เพราะเสียใจที่ทิ้งมันไว้หรือ
"อืม" นางพยายามฝืนยิ้มทั้งที่ใบหน้าจิ้มลิ้มยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
เมื่อฟานฟานน้อยได้สบตากับนาง พลันสัญชาตญาณอย่างหนึ่งก็เตือนมันว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในไม่ช้านี้เป็นแน่ เพราะมันเคยเห็นสายตาแบบนี้จากมารดาของมัน
"อย่าไป...อย่าไป อยู่ด้วยกัน...อยู่ด้วยกัน" ฟานฟานน้อยซบหน้าลงกับลำคอขาวระหงของนาง เท้าหน้าข้างหนึ่งโอบลำคอนางไว้ พร่ำร้อง "อย่าไป...อย่าไป อยู่ด้วยกัน...อยู่ด้วยกัน"
"โฮๆๆ" คราวนี้ชิงหลินถึงกับปล่อยโฮออกมา เล่นเอาเสี่ยวเอินตกใจ ผลุนผลันออกไปแจ้งให้ชิงฮูหยินทราบทันที
ราวหนึ่งเค่อ ชิงฮูหยิน ตามด้วยเสี่ยวเอิน และปิดท้ายด้วยสองสาวใช้ประจำเรือนพสุธาก็มาถึงห้องของชิงหลิน ซึ่งมีหน่วยคุ้มกันร่างใหญ่ยักษ์สองคนคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูที่ยืนกระสับกระส่าย สีหน้าไม่สู้ดี ซ้ำยังมีเสียงร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจดังออกมาอีก นี่บุตรีของนางยังไม่หยุดร้องไห้อีกหรือ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ด้วยรู้จากเสี่ยวเอินว่าจู่ๆ นางก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงรู้สึกกังวลใจจนต้องมาดูด้วยตนเอง
ชิงฮูหยินชะงักเท้าที่หน้าธรณีประตู ดวงตาคู่งามกะพริบถี่ๆ เมื่อเห็นสภาพภายในห้อง ก่อนจะหลุบตามองบุตรีที่นั่งทับขาตนเองซบหน้าลงกับร่างของพยัคฆ์น้อย ตัวโยนขึ้นลงตามแรงสะอื้น ไม่สนใจสิ่งใด
"หลินเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใด เจ็บแผลหรือ" ชิงฮูหยินนั่งลงข้างๆ ลูบศีรษะของบุตรสาว พลางถามน้ำเสียงอ่อนโยน
"ท่านแม่...ฮึกๆ" ชิงหลินเงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา เอนร่างซบลงกับไหล่ของมารดาแล้วสะอื้นต่อ
"หือ? มีเรื่องอันใดหรือ เล่าให้แม่ฟังได้หรือไม่" ชิงฮูหยินพยุงบุตรีที่อุ้มพยัคฆ์น้อยอยู่มานั่งที่เตียง เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบุตรีหยุดร้องไห้แล้ว
"ขออภัยที่ทำให้ท่านแม่เป็นห่วง ลูกเพียงเสียใจที่ต้องแยกกับ..." นางหลุบตามองฟานฟานน้อยที่แหงนหน้ามองอยู่ครู่หนึ่ง
"เจ้าตัวน้อย...ตัวนี้เจ้าค่ะ" ชิงหลินไม่กล้าเรียกชื่อมันออกมาต่อหน้า เพราะฟานฟานน้อยฉลาดเฉลียวผิดจากเสือโคร่งขาวทั่วไป
"แค่นั้นหรือ" ชิงฮูหยินเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
"เจ้าค่ะ" นางยิ้มบางๆ ให้มารดา
"แทนที่จะมาร้องไห้คร่ำครวญ ไม่สู้คิดหาหนทางให้มันอยู่กับลูกนานขึ้นอีกหน่อยล่ะ" ชิงฮูหยินชี้ทางสว่างให้บุตรสาว
ชิงหลินนิ่งคิดตามคำพูดของมารดา 'อยู่ให้นานขึ้น? จะทำอย่างไรให้มันอยู่ที่นี่ได้นานขึ้น กว่าจะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ก็อีกเกือบสี่สิบวัน แต่ดูเหมือนต้องรีบนำสัตว์ทั้งสี่ตัวไปไว้ในที่ปลอดภัย คิดว่าไม่น่าจะเกินสามวันนี้แน่ๆ แล้วหากข้าขอ…'
"ท่านแม่ ขอบคุณเจ้าค่ะ" หญิงสาวยิ้มกว้างให้มารดาด้วยความดีใจ ดวงตากลมโตกลับมาสดใสอีกครั้ง
ยามอิ่ว ณ โถงกลางเรือนพสุธา
ภายหลังมื้ออาหารที่ฉีเฟยหลงให้เกียรติร่วมโต๊ะด้วยเป็นกรณีพิเศษกับมู่หลิ่งเหวิน ชิงหยวน ชิงฮูหยิน และบุตรีผ่านไป
"เราจะออกเดินทางพร้อมสัตว์ทั้งสี่ยามเฉินพรุ่งนี้ตามที่ได้ตกลงไว้"
"กระหม่อมจะเตรียมการให้พร้อมพ่ะย่ะค่ะ" ชิงหยวนประสานมือรับคำสั่ง
"ขอบใจ ท่านแม่ทัพจะกลับพร้อมเราหรือไม่" ฉีเฟยหลงถามแม่ทัพหนุ่มที่เอาแต่ชำเลืองมองคู่หมาย
"เป็นหน้าที่ของกระหม่อมที่ต้องคอยคุ้มกันความปลอดภัยของพระองค์อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ" เขาตอบเสียงหนักแน่น
"แต่ดูเหมือนเจ้าอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ" ผู้เป็นองค์รัชทายาทเอ่ยเย้าแม่ทัพหนุ่ม แต่ดวงตาจับจ้องสตรีที่นั่งอยู่ข้างมารดาไม่วางตา ซึ่งอาการนิ่งเงียบของแม่ทัพหนุ่มทำให้ชิงหยวนกับฮูหยินมองหน้ากันพลางคิดในใจว่า 'เห็นจะเป็นจริงดังที่องค์รัชทายาทตรัส'
ส่วนคนที่ถูกกล่าวถึงกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดเรื่องฟานฟานน้อย จึงไม่รู้ว่าตัวเองตกเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ ทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นนางเอาแต่นั่งใจลอย มองเมินสายตาที่ตนพยายามส่งไปให้
"หลินเอ๋อร์!" ชิงฮูหยินเรียกบุตรสาวเสียงเข้ม
"เจ้าคะท่านแม่?" ชิงหลินได้สติจึงขานรับเบาๆ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาที่จ้องมาจากบุรุษทั้งสาม
"เจ้าสนใจไปเที่ยววังของเราหรือไม่"
ชิงหยวนกับแม่ทัพหนุ่มแทบสำลักน้ำชาที่ยกขึ้นจิบ เงยหน้ามององค์รัชทายาทคล้ายมิเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ชิงฮูหยินเองก็มีอาการไม่ต่างกัน
"เอ๋? เอ่อ...ขอบพระทัยที่ทรงชวนเพคะ"
"ทูลองค์รัชทายาท นางยังบาดเจ็บอยู่ ไว้ให้นางหายดีแล้วกระหม่อมจะอาสาพานางไปเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มกัดฟันตอบ สื่อว่านางเป็นคนของตน หากนางจะไปที่ใดต้องได้รับอนุญาตจากตนก่อน
"อ้อ เพราะนางเป็นคู่หมายเจ้านี่นะ" ฉีเฟยหลงกล่าว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
'อาเหวินนะอาเหวิน รู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้ากำลังกินน้ำส้มไหใหญ่อยู่'
เป็นอีกครั้งที่แม่ทัพหนุ่มใช้ความเงียบแทนคำตอบ ดวงตาคมทรงเสน่ห์เหลือบมองปฏิกิริยาของคู่หมาย เห็นนางกะพริบตาปริบๆ มองตน ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อย มุมปากแม่ทัพหนุ่มก็ยกขึ้นยิ้มทันที เหตุเพราะยามที่นางเขินอายนอกจากใบหน้าจะแดงก่ำแล้ว นางมักจะทำเยี่ยงนี้ทุกครั้งไป
"เอาเถิด ตามใจเจ้า" ฉีเฟยหลงโบกมือแล้วหันไปถามนาง "เมื่อครู่เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ"
"เอ่อ...ทูลองค์รัชทายาท ความจริงหม่อมฉัน...มีเรื่องทูลขอเพคะ" ชิงหลินตัดสินใจจะพูดตามที่คิดไว้
"ทูลขอ? ว่ามาได้" ฉีเฟยหลงอนุญาต
"เรื่องของฟาน...เอ่อ...เรื่องของพยัคฆ์น้อย ขอให้หม่อมฉันได้เป็นผู้เลี้ยงดูจนกว่าจะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้ได้หรือไม่เพคะ"
"หือ? เหตุผล?" ฉีเฟยหลงถาม
"ทูลองค์รัชทายาท หม่อมฉันอยากจะสั่งสอนให้พยัคฆ์น้อยรู้กฎระเบียบและมารยาทต่างๆ ที่ควรรู้ จะได้ไม่สร้างปัญหาให้พระองค์ในวันข้างหน้าเพคะ" ดูเหมือนเหตุผลของนางจะได้รับการยอมรับ เพราะเห็นบุรุษทั้งสามพยักหน้าให้
"ได้ เราอนุญาต แต่มีข้อแม้"
ชิงหลินที่ยิ้มดีใจในตอนแรกเปลี่ยนเป็นหุบยิ้มทันที ก่อนจะตั้งสติถามกลับ "ข้อแม้อะไรหรือเพคะ"
"เจ้าต้องตามไปสอนมารยาทให้มันที่วังของเรา!" น้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังของรัชทายาทหนุ่มทำเอาคนที่เหลือเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง