webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · Fantasy
Not enough ratings
107 Chs

ตอนที่ 16 ตามหาองค์รัชทายาท2/2

"ไอ้หยา! มันเกิดขึ้นได้อย่างไร" ชิงหยวนร้องออกมาอย่างตกใจ

"...!" คิ้วเข้มของแม่ทัพหนุ่มขมวดเข้าหากันแน่น

เฟิ่งอิงที่บัดนี้ยืนอยู่ด้านหลังชิงหยวนมององครักษ์คล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

"หลังจากที่แยกย้ายกันไปตามเส้นทางในแผนที่ องค์รัชทายาทเลือกเดินทางโดยใช้วิชาตัวเบา เมื่อใกล้ถึงที่หมายราวหนึ่งลี้ค่อยเปลี่ยนมาเดินเท้าแทน เพราะกลัวว่าความเร็วของวิชาตัวเบาอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้" องครักษ์หนุ่มหยุดจิบน้ำชาก่อนจะเล่าต่อ

"เมื่อเดินทางมาได้หนึ่งชั่วยามกว่าๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก จนพวกเราตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่หลบใต้ต้นไม้ใหญ่แถวนั้น หลังจากฝนหยุดตกพวกเราต่างเปียกปอน มีเพียงองค์รัชทายาทที่ปลายฉลองพระองค์และรองพระบาทเปียกเล็กน้อย จากนั้นก็เดินทางโดยวิชาตัวเบาต่อราวครึ่งชั่วยามก็ถึงจุดหมายตามแผนที่ซึ่งเป็นทุ่งราบกว้างๆ"

"เดี๋ยวนะ ใช่ทุ่งราบระหว่างภูเขาที่กลุ่มของข้าเข้าไปกับภูเขาลูกข้างๆ ทางทิศประจิม?" แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถาม

"น่าจะเป็นที่เดียวกันขอรับ ทำไมหรือขอรับ"

"ไม่มีอันใด เล่าต่อเถิด" แม่ทัพหนุ่มกล่าว ถ้าเป็นทุ่งราบที่เดียวกัน เหตุใดจึงไม่ได้พบกันเล่า ความจริงเฟิ่งอิงก็สงสัยแต่ก็เลือกที่จะเงียบ

"พวกเราเห็นอาชาสวรรค์สองตัวกำลังเล็มหญ้าอยู่ ตรงตามแผนที่ที่คุณหนูมอบให้องค์รัชทายาท แต่ปัญหาคือจะจับพวกมันอย่างไรโดยไร้รอยขีดข่วน ขณะที่กำลังขบคิดหาหนทาง จู่ๆ พวกมันก็วิ่งเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว องค์รัชทายาทจึงพุ่งทะยานตามไปไม่ฟังเสียงทัดทานของพวกข้า ครั้นพอตามเข้ามา ทั้งอาชาและองค์รัชทายาทก็หายตัวไปเสียแล้ว พวกข้ากระจายกำลังกันออกตามหาแต่ก็ไร้วี่แวว ข้าจึงรีบกลับมาขอกำลังเสริมจากท่านแม่ทัพขอรับ" องครักษ์เล่าอย่างละเอียด

"ข้ารู้แล้ว" แม่ทัพหนุ่มพยักหน้า ใบหน้างดงามเคร่งเครียด ด้วยภารกิจหนนี้ต้องเป็นไปอย่างลับๆ แต่การจะเคลื่อนกำลังทหารจำนวนมากไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ย่อมเป็นไปไม่ได้

"หลานชาย สกุลชิงเป็นผู้ที่ได้รับมอบภารกิจนี้ ฉะนั้นเจ้าจงใช้คนของหน่วยพยัคฆ์ดำเถิด" ชิงหยวนเสนอแผนการเมื่อเห็นความหนักใจของแม่ทัพหนุ่ม

"รบกวนท่านลุงแล้ว" มู่หลิ่งเหวินประสานมือขอบคุณ

"เฟิ่งอิง เรียกหน่วยพยัคฆ์ดำทั้งสองร้อยคนในเมืองหลวงให้มารวมกันที่นี่ รุ่งสางออกเดินทางทันที" ชิงหยวนสั่งเฟิ่งอิงเสียงเข้ม ท่ามกลางความโล่งใจของแม่ทัพหนุ่มและองครักษ์

ยามเหม่า[1] วันต่อมา

เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนจำนวนมากปลุกให้ชิงหลินตื่นขึ้น นางลุกขึ้นนั่งช้าๆ เพราะกลัวจะทำให้แผลปริได้ ความเจ็บระบมมากกว่าเมื่อวานเป็นทวีคูณจนต้องสูดปากเบาๆ แต่กระนั้นฟานฟานน้อยกลับรับรู้ มันเงยหัวกลมๆ เล็กๆ ขึ้นมองหลินหลินของมันอย่างห่วงใย พลางส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ

"บายดี?...บายดี?"

ชิงหลินยิ้มบาง ยกมือข้างที่ไม่เจ็บขึ้นลูบหัวมันอย่างรักใคร่พลางตอบ "ข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่าห่วงไปเลย"

"คุณหนู ท่านตื่นแล้ว เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" เสี่ยวเอินเดินเข้ามาพร้อมอ่างล้างหน้าที่ทำด้วยทองเหลือง แล้ววางอ่างลงบนโต๊ะกลมภายในห้อง ก่อนจะเดินเข้ามาหานายสาวที่เตียง

"ปวดแผลนิดหน่อย ข้างนอกเสียงดังอะไรกันหรือ"

"องค์รัชทายาทหายตัวไปในป่าเจ้าค่ะ" เสี่ยวเอินป้องปากกระซิบเบาๆ

"หือ? แล้วอย่างไรต่อ"

"นายท่านเรียกหน่วยพยัคฆ์ดำสองร้อยคนให้ออกตามหาองค์รัชทายาทเจ้าค่ะ และนี่ก็ใกล้จะไปกันแล้ว" เสี่ยวเอินรายงานนายสาว

"ช่วยข้าแต่งตัวเร็วเข้า! ข้าจะไปพบท่านพ่อ โอ๊ย! เจ็บ..." นางร้องครางด้วยความเจ็บปวด เหงื่อผุดออกมาเต็มใบหน้าจิ้มลิ้มที่ขาวซีด

"คุณหนู! ไม่ได้เจ้าค่ะ ฮูหยินกำชับให้ข้าดูแลคุณหนูให้ดี ได้โปรดนอนลงเถิดนะเจ้าคะ" เสี่ยวเอินพยายามพูดเกลี้ยกล่อม สองมือประคองร่างนายสาวไว้

"ไม่ได้! นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย หากเจ้าไม่ให้ข้าไปก็จงไปแจ้งแก่บิดาข้าว่า ข้ามีเรื่องสำคัญจะเรียนให้ทราบ เร็วเข้า!"

หน้าตาซีดเซียวแต่ท่าทางจริงจังทำเอาเสี่ยวเอินไม่กล้าขัดคำสั่ง รีบกระวีกระวาดออกไปทำตามอย่างรวดเร็ว

ราวครึ่งเค่อชิงหยวนในชุดสีเทาพร้อมด้วยแม่ทัพหนุ่มในชุดลำลองสีน้ำเงินเข้ม ปิดท้ายด้วยเฟิ่งอิงในชุดสีดำเช่นเคย บุรุษสองคนแรกเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะกลมกลางห้อง ส่วนเฟิ่งอิงก็ยืนรออยู่ตรงประตูทางเข้า

"มีอันใดหรือหลินเอ๋อร์" ชิงหยวนเอ่ยถามบุตรีที่นั่งพิงหัวเตียงรอตนอยู่ โดยมีพยัคฆ์น้อยนั่งอยู่บนตัก

"ขออภัยท่านพ่อ ที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลา" ชิงหลินค้อมศีรษะลงเล็กน้อย เหลือบตามองคู่หมายแวบหนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงเมื่อเห็นว่าเขามองอยู่

"เจ้ามีอันใด จงรีบว่ามาเถิด เราต้องรีบออกเดินทาง"

"การตามหาองค์รัชทายาทในครั้งนี้ ขอให้ลูกได้มีส่วนร่วมด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ"

ชิงหยวนกับแม่ทัพหนุ่มต่างมองหน้ากัน ก่อนจะหันมาทางนาง

"ส่วนร่วม?" ชิงหยวนทวนคำ

"อย่าบอกว่าเจ้าจะขอไปด้วย?" แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วถาม ใบหน้างดงามบึ้งตึงขึ้นสองส่วน เตรียมคัดค้านสุดกำลัง

"คล้ายๆ อย่างนั้นเจ้าค่ะ" หญิงสาวพูดหยอกเขาเล่นยิ้มๆ ครั้นพอเห็นเขาไม่เล่นด้วยจึงพูดต่อ "ท่านพ่อ โปรดนำเจ้าฟงกับเจ้าอวิ๋นไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ จิ้งจอกสองตัวนี้จะช่วยท่านตามหาองค์รัชทายาทได้เร็วขึ้น"

"หือ? เจ้าแน่ใจหรือ แม้พ่อจะรู้มาบ้างว่าสุนัขจิ้งจอกมีประสาทรับกลิ่นที่ดีเลิศ แต่ไม่เคยเอามาใช้ตามหาคนมาก่อน" ชิงหยวนถามเพื่อความแน่ใจ

"เจ้ามีวิธี?" แม่ทัพหนุ่มถามถึงวิธีการของคู่หมาย ด้วยเชื่อมั่นในตัวนางเต็มหัวใจว่า หากทำตามวิธีของนางจะต้องประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน

"เจ้าค่ะ ท่านพ่อช่วยให้ใครนำเจ้าฟงกับเจ้าอวิ๋นมาให้ข้าที และช่วยหาฉลองพระองค์หรืออะไรก็ได้ขององค์รัชทายาทมาให้ลูกด้วยเจ้าค่ะ"

ราวครึ่งเค่อสุนัขจิ้งจอกเพศผู้ลำตัวสีเทาดำ ท้องสีขาวขนฟูฟ่อง และเศษฉลองพระองค์ขององค์รัชทายาทก็มาอยู่ตรงหน้า

ชิงหลินหยิบเศษผ้าขึ้นมา พลางเรียกชื่อสุนัขจิ้งจอกทั้งสองตัวให้เข้ามาหา "ฟง อวิ๋น"

"นี่คือกลิ่นของคนสำคัญต่อชีวิตและครอบครัวของข้า เจ้าจะช่วยตามหาคนผู้นั้นให้ข้าได้หรือไม่" นางเอ่ยขอร้องมากกว่าจะบังคับ

"ย่อมได้อยู่แล้ว ท่านเป็นเจ้านายของพวกข้านี่" เจ้าฟงตอบ ส่วนเจ้าอวิ๋นยังตะลึงค้างนิ่งอยู่ ด้วยมันไม่รู้มาก่อนว่าเจ้านายพูดภาษามันได้

"ขอบใจ งั้นจงสูดดมและจดจำกลิ่นนี้ไว้ให้ขึ้นใจก่อน ที่เหลือข้าฝากพวกเจ้าด้วย" มือเรียวเอื้อมไปลูบหัวมันทั้งสองเบาๆ เมื่อเห็นมันทั้งสองตัวทำตามที่บอก

นี่เป็นอีกหนที่ชิงหยวนกับแม่ทัพหนุ่มต้องหันมามองหน้ากัน แม้จะเคยเห็นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังอดตะลึงไม่ได้ ส่วนเฟิ่งอิงกลับมองนางด้วยสายตาชื่นชม

"พี่เหวิน ท่านร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ"

"ใช่ มีอันใดหรือ" แม่ทัพหนุ่มรู้สึกยินดียิ่งนัก 'หรือนางจะเป็นห่วงข้า'

"ฝากท่านช่วยดูแลพวกมันแทนข้าด้วยนะเจ้าคะ"

"แค่นั้นหรือ" แม่ทัพหนุ่มกดเสียงต่ำถาม หน้าตึงขึ้นด้วยความริษยา เมื่อเห็นว่านางให้ความห่วงใยเจ้าสัตว์หน้าขนมากกว่าคู่หมายเช่นตน

"เอ๋? เจ้าค่ะ" ชิงหลินมองเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ 'เป็นอะไร เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย ตอนนี้หน้างอซะแล้ว'

"ท่านลุง ข้าคงต้องขอตัวก่อนขอรับ" แม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นเต็มความสูง ประสานมือเคารพชิงหยวนก่อนจะเดินตึงๆ ออกไป ปล่อยให้ชิงหลินมองตามอย่างงงๆ

'หึๆ ชักน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ' ชิงหยวนอมยิ้มพลางจิบชาอย่างใจเย็น

ทางฝ่ายเฟิ่งอิงไม่ได้เข้าร่วมการตามหาองค์รัชทายาท เพราะนายท่านเกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายกับคุณหนู ด้วยกำลังคุ้มกันประจำเรือนพสุธาถูกส่งออกไปช่วยภารกิจครั้งนี้มากพอควร

"เฟิ่งอิง ปลอดภัยดีใช่หรือไม่" เสียงใสถามคนที่ยืนอยู่หน้าประตูด้านนอก

"เข้ามาสิเฟิ่งอิง" ชิงหยวนจึงเรียกผู้คุ้มกันคนสนิทให้เข้ามานั่งข้างตน ซึ่งชายหนุ่มก็ทำตามแต่โดยดี

"เฟิ่งอิง เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะ" ทันทีที่นั่งลง ชิงหลินก็ยิงคำถามเดิมด้วยใบหน้างอง้ำ

"ขอบคุณคุณหนูที่ห่วงใย ข้าและหน่วยคุ้มกันทั้งสี่ปลอดภัยดีขอรับ" เฟิ่งอิงเหลือบตาขึ้นมองนาง จึงสบเข้ากับดวงตากลมโตที่มองอยู่ก่อนแล้ว เห็นนางยิ้มให้ ใจของเขาก็เต้นแรงจนต้องรีบหลุบตาลงต่ำ

"เรื่องที่ข้าได้รับบาดเจ็บ อย่าได้โทษตัวเองเด็ดขาด เจ้าไม่ได้ทำงานบกพร่อง แต่เป็นข้าแส่หาเรื่องเอง เจ้าเข้าใจหรือไม่" ชิงหลินกล่าวกับเขาเพราะคิดว่าเขาคงต้องโทษตัวเองอยู่แน่ๆ

เฟิ่งอิงเงียบก่อนจะถอนหายใจยาว เขากลัวว่าสายตาและความรู้สึกที่นางมีต่อเขาจะเปลี่ยนไป เฝ้าครุ่นคิดจนนอนไม่หลับ ถ้อยคำง่ายๆ ของนางกลับทำให้เขาดีขึ้นและผ่อนคลายจนเผลอยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ

เวลาเดียวกันภายในป่า

ฉีเฟยหลงตื่นขึ้นเพราะความหิว ดวงตาเหยี่ยวมองสำรวจถ้ำอีกหน พลางถอนใจขบขันกับความใจร้อนของตนจนพลัดหลงกับเหล่าองครักษ์ แต่ในความโชคร้ายฉีเฟยหลงกลับโชคดีที่หลงเข้ามาในถ้ำซึ่งอาชาสวรรค์ทั้งสองตัวอาศัยอยู่พอดี

เสียงบางอย่างลึกเข้าไปภายในถ้ำทำให้ฉีเฟยหลงรีบออกมานอกถ้ำ ซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบข้างๆ ปากถ้ำ ลบกลิ่นอายการฆ่าฟันออกจากตัวจนเกือบหมดและเฝ้ารออย่างใจเย็น จนกระทั่ง...

กุบกับ กุบกับ กุบกับ

เสียงฝีเท้าดังขึ้นและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ของอาชาสวรรค์ ทำให้ฉีเฟยหลงขยับตัวเล็กน้อย แม้จะตระหนักดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้

การตามหาอาชาสวรรค์ครานี้ไม่ได้เพียงเพื่อถวายฮ่องเต้เท่านั้น แต่ฉีเฟยหลงยังหมายมั่นปั้นมืออยากจะมีอาชาสวรรค์ไว้ในครอบครองสักตัวอีกด้วย เหตุเพราะชื่นชมในความสง่างาม ปราดเปรียว และฝีเท้าที่เป็นหนึ่งของมัน

เมื่อได้รับพระบัญชาให้ดูแลภารกิจนี้ ฉีเฟยหลงยินดีเป็นยิ่งนัก หากภารกิจนี้สำเร็จ นอกจากจะได้รับความดีความชอบแล้ว ยังอาจจะทำให้สิ่งที่ฉีเฟยหลงปรารถนาเป็นจริงขึ้นมาก็เป็นได้

ฮี้ๆๆ

เสียงร้องของอาชาสวรรค์ พร้อมกับร่างสูงใหญ่กำยำผิดกับอาชาทั่วไป ท่วงท่าก้าวเดินงดงาม ตัวหนึ่งสีดำสนิทแม้แต่ขนแผงคอ ผิดกับข้อเท้าทั้งสี่ที่เป็นสีขาว คล้ายกับมันสวมถุงเท้าอย่างไรอย่างนั้น ส่วนอีกตัวเป็นอาชาสีน้ำตาลไหม้ มีขนแผงคอและพวงหางสีดำ ข้อเท้าทั้งสี่เป็นสีขาวเช่นเดียวกับตัวแรก สังเกตดีๆ จึงรู้ว่าอาชาสีดำเป็นอาชาเพศผู้ และอีกตัวเป็นอาชาเพศเมีย

อาชาสวรรค์ทั้งสองไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วยามนี้ มันทั้งสองเดินออกมาจากถ้ำมุ่งตรงไปยังทุ่งราบซึ่งเป็นแหล่งอาหารชั้นเลิศที่แสนอุดมสมบูรณ์เช่นทุกวัน ทั้งยังอยู่ห่างจากที่นี่ราวๆ สามสี่ลี้เท่านั้น

ฉีเฟยหลงรอจนอาชาทั้งสองเดินห่างออกไปจึงได้ลุกขึ้นออกจากที่ซ่อน ใช้วิชาตัวเบาเหาะตามไปห่างๆ ทะยานจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว แม้จะรู้สึกหิวเพราะไม่ได้แตะอาหารมาตั้งแต่เมื่อคืน แต่ฉีเฟยหลงก็หาได้ใส่ใจไม่

ขณะเดียวกันการออกตามหาตัวองค์รัชทายาท นำโดยแม่ทัพหนุ่มมู่หลิ่งเหวิน พร้อมหน่วยพยัคฆ์ดำกว่าสองร้อยคนเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น ด้วยทุกคนเป็นวรยุทธ์ จึงใช้วิชาตัวเบาในการเดินทาง โดยนำเจ้าฟงกับเจ้าอวิ๋นมาด้วยตามคำขอของคู่หมาย สร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคนในหน่วย ต่างคิดว่าช่างเป็นเรื่องเหลวไหลและยุ่งยากต่อการเดินทาง เพราะต้องอุ้มมันยามที่ใช้วิชาตัวเบานั่นเอง

เพียงครึ่งชั่วยามกว่าๆ หน่วยพยัคฆ์ดำกว่าสองร้อยภายใต้การนำของมู่หลิ่งเหวินก็มาถึงทุ่งราบ ซึ่งเป็นจุดที่องค์รัชทายาทหายตัวไป

"ท่านแม่ทัพ!" เสียงขององครักษ์นายหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับร่างองครักษ์ทั้งสิบเอ็ดนายปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ จนหน่วยพยัคฆ์ดำหลายคนกระชับดาบที่เอวทันที

แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย สำรวจองครักษ์ทั้งสี่ของตนและขององค์รัชทายาทอย่างรวดเร็วแต่ใส่ใจ จึงได้เห็นร่องรอยความอิดโรยคล้ายคนอดนอน ผมเผ้ายุ่งเหยิง สภาพไม่ต่างจากองครักษ์ที่มาแจ้งข่าวนัก

"เรียนท่านแม่ทัพ ข้าและองครักษ์ทั้งหมดออกตามหาตัวองค์รัชทายาทไม่ได้หยุดพัก ทว่า...ภูเขาลูกนี้ช่างแปลกประหลาดนัก" องครักษ์ของมู่หลิ่งเหวินรายงาน

"แปลก?" แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วถาม

"ขอรับ มองผิวเผินก็เหมือนกับภูเขาทั่วๆ ไป แต่พอเข้าไปแล้วจึงได้รู้ถึงความน่ากลัวของภูเขาลูกนี้" องครักษ์ขององค์รัชทายาทกล่าวเสริมขึ้น

"น่ากลัว? มีสัตว์ร้ายหรือ" แม่ทัพหนุ่มคาดเดา คิดว่าคงเหมือนกับที่กลุ่มของตนประสบมา

"หากเป็นสัตว์ร้ายคงจัดการได้มิยาก แต่เพราะมันเหมือนหลงเข้าไปอยู่ในเขาวงกต จนแยกแยะไม่ออกว่าทิศใดเป็นทิศใด ต้นไม้รอบๆ หากมิทำตำหนิไว้ เห็นทีพวกข้าคงหลงติดอยู่ในนั้นอีกนานเป็นแน่ขอรับ" พอคนแรกรายงานจบ ที่เหลือต่างก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย

"อืม" แม่ทัพหนุ่มทำท่าครุ่นคิด หรี่ตามองจิ้งจอกสองตัวที่ขยับตัวไปข้างหน้า ดึงรั้งเชือกที่ถูกหน่วยพยัคฆ์ดำสองคนถือไว้ สายตาจับจ้องไปยังภูเขาที่องค์รัชทายาทหายตัวไป

"กระจายกำลังเป็นหน้ากระดานเรียงหนึ่ง เราจะดาหน้าเข้าไปในภูเขาลูกนี้ โดยให้เจ้าจิ้งจอกเป็นผู้นำทาง" เสียงที่ค่อนข้างดังและเด็ดขาดทำให้หน่วยพยัคฆ์ดำกว่าสองร้อยคนปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาทุกอย่างก็พร้อม

"ฝากเจ้าสองตัวด้วยนะ เจ้าฟง เจ้าอวิ๋น อย่าทำให้หลินเอ๋อร์ผิดหวังล่ะ" แม่ทัพหนุ่มนั่งลงชันเข่าข้างหนึ่ง ลูบหัวพวกมันเบาๆ มันเห่าตอบคล้ายเข้าใจคำพูดของแม่ทัพหนุ่ม

และแล้วการออกตามหาองค์รัชทายาทก็เริ่มขึ้น ด้วยประสาทด้านการรับกลิ่นที่เป็นเลิศของจิ้งจอก เพียงครึ่งชั่วยามก็พากลุ่มของแม่ทัพหนุ่มมาถึงถ้ำที่องค์รัชทายาทใช้พักแรม

"โฮ่งๆๆ" เสียงเห่าของพวกมันทำให้สององครักษ์ของมู่หลิ่งเหวินอาสาเดินนำเข้าไปก่อน ตามด้วยมู่หลิ่งเหวินและองครักษ์อีกสี่นาย ส่วนที่เหลือก็รออยู่หน้าปากถ้ำ

"ท่านแม่ทัพ...นี่มันรอยเท้าม้า และยังมีรอยเท้าคนด้วยขอรับ" หนึ่งในองครักษ์รายงาน

"อืม แสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว ดูจากกองมูลม้ามากมายเหล่านี้ ที่นี่คงเป็นที่อยู่ของอาชาสวรรค์ และองค์รัชทายาทคงเกรงว่าจะคลาดกันจึงคอยเฝ้าพวกมันมิยอมห่าง ช่างเป็นบุรุษที่เอาแต่ใจจริงๆ" ถ้อยคำที่มิกลัวตายของแม่ทัพหนุ่มทำให้องครักษ์ที่เข้ามาด้วยลอบกลืนน้ำลายเพราะเสียวสันหลังแทน

"โฮ่งๆๆ" เจ้าฟงกับเจ้าอวิ๋นเห่า ทำท่าจะออกวิ่ง แต่ถูกเชือกดึงรั้งไว้เสียก่อน เจ้าฟงจึงหันมาเห่าใส่แม่ทัพหนุ่มคล้ายเรียกร้องความสนใจ

"ตามพวกมันไปเร็ว แสดงว่าองค์รัชทายาทคงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก" แม่ทัพหนุ่มสั่งการเสียงเข้ม

เมื่อเจ้าฟงกับเจ้าอวิ๋นออกมาจากถ้ำ มันก็ดมกลิ่นบนพื้นและเงยหน้าสูดดมกลิ่นที่มากับสายลมอ่อนๆ จนพาบุรุษทั้งหมดออกจากป่ามาถึงทุ่งราบที่เดิมอีกครั้ง

"นี่มันเรื่องอันใดกัน" หน่วยพยัคฆ์ดำคนหนึ่งอุทานออกมา

'เจ้าสุนัขจิ้งจอกมันเล่นตลกอันใดอยู่ มันอยากตายใช่หรือไม่ ถึงได้ปั่นหัวพวกข้าเล่นเช่นนี้ มันน่าตายนัก ฮึ่ม!'

ขณะที่หลายคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เจ้าจิ้งจอก พร้อมใจกันส่งสายตาพิฆาตใส่พวกมันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั่นเอง

"ดูนั่น! นั่นมัน...อาชาสวรรค์ ใช่จริงๆ ด้วย อาชาสวรรค์สีดำกับสีน้ำตาลไหม้" หน่วยพยัคฆ์ดำคนหนึ่งตะโกนบอกคนอื่น

"กระจายกำลัง! ล้อมจับมันไว้ให้ได้" ทันทีที่คำสั่งสิ้นสุด หน่วยพยัคฆ์ดำในชุดอำพรางสีดำกว่าสองร้อยคนก็หายวับไปจากบริเวณนั้น เหลือเพียงมู่หลิ่งเหวินพร้อมด้วยองครักษ์ของตนสี่นาย และเจ้าฟงกับเจ้าอวิ๋นที่ยืนหอบหายใจลิ้นห้อยอยู่ข้างๆ

"เฮ้ย! นั่นมันอาชาของเรานะ" เสียงคุ้นหูพร้อมกับร่างสูงในอาภรณ์สีเทาดำที่ค่อยๆ เหาะลงมาบนพื้นอย่างนุ่มนวล สองมือไพล่หลัง แม้จะขะมุกขะมอมไปบ้าง แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม ดวงตาพญาเหยี่ยวมีแววขี้เล่น มุมปากยกขึ้นยิ้มเล็กน้อยดูเจ้าเล่ห์ ช่างเป็นบุรุษที่ควรหลีกเลี่ยงด้วยประการทั้งปวง

"องค์รัชทายาท!" เสียงขององครักษ์ทั้งสี่ร้องเรียกออกมาพร้อมเพรียงราวกับนัดหมายกันไว้

"โปรดประทานอภัยที่กระหม่อมมาช้า" แม่ทัพหนุ่มคุกเข่าข้างหนึ่ง ประสานมือทำความเคารพฉีเฟยหลง รวมถึงองครักษ์ที่ทำตามแม่ทัพของตน

"ลุกขึ้นเถิด อยู่ท่ามกลางป่าเขาจะมากพิธีไปไย" ฉีเฟยหลงเดินเข้ามาตบบ่าแม่ทัพหนุ่มเบาๆ

"จริงสิ เจ้าจะจับมันกลับไปอย่างไร" ฉีเฟยหลงถามแม่ทัพหนุ่มที่ยืนเยื้องตน ทั้งที่ดวงตาจ้องไปที่อาชาทั้งสองที่ถูกล้อมไว้เป็นวงกลมไร้ทางหนี

"ใช้ยาสะกดใจพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มรายงาน

"หือ? ยาสะกดใจ? ของสกุลชิง?" ฉีเฟยหลงหันมาทางแม่ทัพหนุ่ม เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

"พ่ะย่ะค่ะ เป็นยาที่ทำขึ้นเพื่อใช้สะกดให้สัตว์เชื่อฟังและทำตามอย่างไม่อาจขัดขืนได้ แต่ไร้ผลเมื่อนำมาใช้กับมนุษย์" แม่ทัพหนุ่มอธิบาย

"มิน่าล่ะ สกุลชิงจึงได้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แล้วเหตุใดไม่นำมาใช้ก่อนหน้านี้" ฉีเฟยหลงถาม

"พึ่งปรุงเสร็จเมื่อตอนปลายยามอิ่วพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินตอบ

"อ้อ! แล้วอาชาสวรรค์อีกตัวอยู่ที่ใด" ฉีเฟยหลงพยักหน้าแล้วถามหยั่งเชิง

"อยู่ที่เรือนพสุธาแล้วพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มยกมุมปากยิ้ม ด้วยเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย

"พวกเจ้าจับมันได้แล้ว? เมื่อไร" ฉีเฟยหลงถามเสียงต่ำ น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก

"ยามอุ้ยเมื่อวานพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มตอบเสียงเรียบ นึกขันในความชอบเอาชนะคล้ายเด็กน้อยขององค์รัชทายาท

"แค่ตัวเดียว ไหนเลยจะสู้สองตัวได้ เจ้าว่าจริงหรือไม่" ฉีเฟยหลงข่มอีกฝ่าย

"พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็คิดเช่นนั้น" แม่ทัพหนุ่มแกล้งเออออ แต่มุมปากยกขึ้นยิ้มมากกว่าเดิม

"ในเมื่อจับได้แล้วก็กลับเถิด" ฉีเฟยหลงโบกมือ หน้าตึงขึ้นเล็กน้อย ก้าวเท้าตรงไปยังอาชาสวรรค์ที่บัดนี้ยืนนิ่ง อาการพยศเมื่อครู่หายไปจนหมดสิ้นด้วยฤทธิ์ยาสะกดใจ มันถูกใส่บังเหียนและอานเตรียมพร้อมออกเดินทาง

ฉีเฟยหลงขึ้นนั่งบนหลังอาชาสวรรค์สีดำ ส่วนมู่หลิ่งเหวินนั่งอยู่บนหลังอาชาสวรรค์สีน้ำตาลไหม้ และแล้วการแข่งขันก็เริ่มขึ้น โดยมีเรือนพสุธาเป็นเส้นชัยของการแข่งขันในครั้งนี้

[1] ยามเหม่า คือช่วงเวลาตั้งแต่ 05.00 น. - 06.59 น.