webnovel

1237 พลังจิตที่สอง

ตอนที่ 1237 พลังจิตที่สอง

ในห้องเรียน พวกนักเรียนอยู่ไม่สุข เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สนใจ

โดยไม่คำนึกถึงสถานการณ์ ชายชรายังคงพูดตามบทไปเรื่อยๆ

“ตอนที่สุสานปรากฏขึ้น เลือดและกระดูกนับไม่ถ้วนกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้า”

“ในโลกใต้ดินของพวกเราถ้ำหมื่นอสูร กระดูกนับร้อยล้านปรากฏขึ้นจากอากาศบาง แผ่บรรยากาศน่าขนลุกออกมา”

“โชคยังดี พวกเราคือคนของโลกใบนี้ ด้วยอาศัยการเชื่อมโยงของพวกเรากับโลก ทำให้สามารถผ่านเขตอาคมธรรมชาติของโลกเพื่อเคลื่อนไหวอย่างอิสระในถ้ำจำนวนมากได้”

“ถ้าคนจากโลกอื่นมา พวกเขาจะต้องตายด้วยลมหายใจของกระดูกแตกหักนับไม่ถ้วน”

“เป็นเวลาหลายพันปี พวกเราศึกษาวันสิ้นโลกทีละน้อย คอยกำจัดวันสิ้นโลกที่ง่ายที่สุดและผนึกวันสิ้นโลกบางส่วนเอาไว้ แต่ยามเผชิญหน้ากับวันสิ้นโลกทรงพลังเป็นพิเศษ พวกเราก็ยังถูกฆ่าอยู่ดี”

“ดังนั้นพวกเจ้าต้องรีบเติบโตให้ไว”

“เอาล่ะ ขอข้าพูดถึงวิธีที่นักเขียนส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์บรรยายถึงวันสิ้นโลกก็แล้วกัน…”

“วันสิ้นโลกทมิฬคือวันสิ้นโลกที่ทำให้สูญเสียการมองเห็นและการรับรู้ทุกสิ่งไป มัน…”

“นั่นคือทั้งหมดของวันนี้ เลิกเรียนแล้ว เลิกเรียน”

ชายชราปิดหนังสือก่อนหันหลังแล้วจากไป

ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนได้สติราวกับตื่นจากความฝัน

“หืม จบแล้วหรือ” ใครคนหนึ่งถามด้วยสายตาง่วงงุน

“ใช่ ข้ากลับล่ะ หิวจะแย่แล้ว” อีกคนยืดเส้นยืดสาย

พวกนักเรียนออกจากห้องเรียนคนแล้วคนเล่า

กู่ฉิงซานนั่งอยู่กับที่สักพัก

เขาไม่เคยได้ยินความรู้นี้มาก่อน ต่อให้ชายชราจะพูดตามบท เขาก็ยังฟังด้วยความอิ่มเอม

ทว่า เกี่ยวกับข้อมูลโดยละเอียดของวันสิ้นโลก กระดูกนับร้อยล้านและสุสาน ชายชราเพียงบรรยายคร่าวๆ เท่านั้น เขาไม่ได้พูดเกี่ยวกับความจริงและความลับที่อยู่ข้างใน

มันยิ่งทำให้อยากรู้เข้าไปใหญ่!

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

ในถ้ำหมื่นอสูร “ความลับ” และ “ความผิดปกติ” คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด พวกเขาจะไม่มีวันบอกคนมาใหม่ในห้องห้องเรียนพื้นฐานแบบนี้อย่างแน่นอน

ดูท่าหากเขาอยากได้ข้อมูลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาต้องคิดหาทางอื่น

เขาต้องกลายเป็นสดับสายลมที่เชี่ยวชาญการตรวจสอบความลับและเรื่องราวแปลกประหลาด อาจจะต้องยอมทำงานหนักเพื่อการนี้

เขาทำสมาธิอยู่กับที่ก่อนยืนขึ้นช้าๆ เพื่อเตรียมกลับ

เกือบเที่ยงแล้ว ดังนั้นเขาต้องกลับไปพัก ยังมีชั้นเรียนในคาบบ่ายอีก

ทันที่ที่เดินพ้นประตูห้องเรียน เขาถูกกลุ่มคนขวางเอาไว้

กู่ฉิงซานมองหน้าอีกฝ่าย

ในตอนเช้า ผู้ชายหน้าบึ้งกับคนอื่นๆ ที่มีรอยสักเข้ามาล้อมกู่ฉิงซานเอาไว้

“พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ” กู่ฉิงซานถามขณะส่งยิ้มให้

เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพวกนี้อยากกลั่นแกล้งเด็กใหม่หรือ

ถ้างั้น…

กู่ฉิงซานกำหมัดอย่างแผ่วเบา

เขาเห็นกลุ่มหนุ่มสาวขมวดคิ้ว แต่พวกเขาไม่เข้ามาทันทีขณะขยิบตาให้กัน

“พี่ซานแสนดี!”

พวกเขาถึงกับตะโกนพร้อมกัน

“เออ พี่ซาน หลังจากเจ้ามา ในที่สุดพวกเราก็มีลูกพี่แล้ว” ผู้ชายหน้าบึ้งกล่าว

ผู้ชายหน้าตาดุร้ายกล่าวว่า “ใช่ อันธพาลที่ดุร้ายที่สุดในสำนักซานไห่ของพวกเราคือหลี่ชุน ส่วนหลี่ชิวอวี่ หญิงสาวพราวเสน่ห์ผู้เชี่ยวชายกระดูกล้วนเป็นที่โด่งดังทั่วโลก คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นน้องเล็กของพวกเขา!”

หนุ่มสาวทั้งหลายกล่าวพร้อมกันว่า “โปรดเป็นลูกพี่ของพวกเราด้วย พี่ซาน!”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

ไม่ได้มาทะเลาะหรอกหรือ…

“เป็นลูกพี่ของพวกเจ้า” เขาทวนซ้ำ

“ใช่ เมื่อพี่ซานมา ชื่อเสียงของพวกเราก็ยิ่งดังไกลขึ้นไปอีก วันนี้ตอนเที่ยง พวกเราทุกคนจะตามติดพี่ซานราวกับสายลม!” ผู้ชายอีกคนกล่าว

“พี่ซานยิ้มหน่อย!”

“พี่ซานยิ้มหน่อย!”

กู่ฉิงซานเกาศีรษะขณะเผยรอยยิ้มที่เหมาะสมออกมา

เขาไม่คิดมากที่จะเป็นสหายกับคนเหล่านี้ ทำแบบนั้นเขาจะได้ดูเป็นปกติมากขึ้น นั่นคือสิ่งที่เขาคิดเอาไว้

“แบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ให้ข้าจ่ายพวกเจ้าดีกว่า” เขากล่าว

ผู้ชายคนหนึ่งกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง เงินที่พวกข้าได้จากพวกชั่วเมื่อคราวที่แล้วยังเหลืออีกเยอะ พี่ซานไม่ต้องกังวลไป”

ทุกคนหัวเราะ

รอยยิ้มบนใบหน้าของกู่ฉิงซานค่อยๆ หายไป

“เงินที่พวกเจ้าได้มา ได้มายังไงนะ” เขาถาม

ผู้ชายหน้าบึ้งตอบว่า “พวกข้าปกป้องพวกเขา พวกเขาก็ให้เงินมาเพื่อแสดงคำขอบคุณกับพวกข้า”

“ยังไงเสีย พวกข้าก็เก่งกว่าพวกเขา!” ผู้ชายอีกคนกล่าว

“ใช่ คนเก่งต้องได้รับสิทธิพิเศษเป็นปกติอยู่แล้ว”

“ยกตัวอย่างเช่นคนอย่างพี่ซานสมควรพี่ใหญ่ของอาศรมพวกเรา”

หนุ่มสาวพูดจ้อไม่หยุด ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

“โทษทีนะ ถ้าพวกเจ้ามีความสามารถในการหาเงินกันแล้ว เช่นนั้นข้าอาจจะรับข้อเสนอของพวกเจ้าไว้”

“แต่ถ้าเป็นเงินที่ได้เพราะเหตุนั้น ข้าก็ไม่ขอรับไว้”

เขายื่นมือออกไปผลักสองสามคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างแผ่วเบาก่อนเดินออกไปข้างนอก

เงียบสงัด

หนุ่มสาวมองหน้ากัน

นี่มันหมายความว่าอย่างไร

ทันใดนั้น ใครบางคนกล่าวด้วยความไม่สบายใจว่า “ข้าไม่คิดเลยว่าน้องเล็กของหลี่ชุนเตาจะเป็นคนดี ดันมาดูถูกพวกเราเสียได้”

กู่ฉิงซานหยุดนิ่ง

“ข้าดูถูกพวกเจ้าหรือ”

เขามองหนุ่มสาวแล้วกล่าวจากใจจริงว่า “พลังอันแก่กล้าไม่ได้มีไว้เพื่อกลั่นแกล้งคนอ่อนแอ เพราะการกลั่นแกล้งคนอ่อนแอมันเป็นเรื่องง่าย ง่ายเกินไปจริงๆ ดังนั้นมันจึงทำให้เกิดความแข็งแกร่งจอมปลอมขึ้นมา แต่ก็มีชื่อพิเศษที่ไว้เรียกพวกอันธพาลที่ทำตัวแบบนี้อยู่ ก่อนที่พวกเจ้าจะรับฉายานี้ไว้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะคิดก่อนเลือก”

“คนที่สามารถถูกเรียกว่าคนแข็งแกร่งได้นั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการท้าทายที่แท้จริง อย่างเช่น”

“ละทิ้งของนอกกายทั้งหมด จดจ่อกับการฝึกฝนของตัวเอง เดินทางไปทั่วโลก ท้าทายผู้ที่มีพลังพิเศษเหล่านั้น อยู่ให้เหนือผู้อื่นแล้วยืนอยู่จุดสูงสุดที่แท้จริงเพื่อเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตทั้งหมด”

“หรือจะจัดการวันสิ้นโลกที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดสิ้นหวังแล้วสาบานว่าจะปกป้องคนเหล่านั้นที่คู่ควรด้วยชีวิต”

“นี่คือชีวิตของผู้แข็งแกร่งที่ควรค่ากับฉายา”

“ส่วนพวกเจ้า หวังว่าจะสามารถเชื้อเชิญข้าด้วยเงินที่ตัวเองมาได้ในอนาคต”

“ถ้าแบบนั้น ข้าอาจจะยอมฟังพวกเจ้าเรียกว่า ‘พี่ซาน’ ”

เขาโบกมือก่อนหายไปจากประตูห้องชั้นเรียน

พวกหนุ่มสาวเงียบ

“เขา… ไม่ยอมให้พวกเราเรียกว่า ‘พี่ซาน’ งั้นหรือ” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามด้วยความสับสน

ในเวลาเดียวกัน

ห้องลับแห่งหนึ่ง

คนใหญ่โตจำนวนมากกำลังดื่มชาขณะฟังคำพูดของกู่ฉิงซานเงียบๆ

“จุ๊ๆ ช่างเป็นวัยที่หุนหันพลันแล่นอะไรอย่างนี้ แต่เขาไม่กล่าวอ้างชื่อพวกเจ้าทั้งสองเลยนะ”

ชายชราผมหงอกส่งเสียงชื่นชมออกมา

“ช่างเป็นเจ้าหนูที่ดีจริงๆ ข้าล่ะซาบซึ้งเหลือเกิน ดังนั้นข้าอาจจะดึงเขามาไว้ในทีมนักฆ่า” หลี่ชุนเตากล่าว

“อย่าแม้แต่จะคิด เขาตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับสดับสายลม นี่คือเรื่องที่จ้าวสำนักวางเอาไว้แล้ว” ชายชราเครายาวชุดขาวกล่าว

หลี่ชุนเตาขยับคอก่อนวางดาบยาวบนโต๊ะเงียบๆ

ชายชุดขาวหรี่ตาแล้วถามว่า “อยากมีเรื่องหรือ ฝ่ามือของข้าไม่สามารถใช้เล่นงานพวกเดียวกันเองได้ ดังนั้นข้าจะไม่สู้กับเจ้า หากมีความสามารถพอก็ลองไปขอน้องเล็กเจ้าดูสิ นางไม่ยอมแน่ๆ ”

หลี่ชุนเตามองน้องเล็กด้วยสายตาที่พร้อมจะหาเรื่องทุกเมื่อ

คาดไม่ถึง ครั้งนี้น้องเล็กของเขาจะสงบจนน่าประหลาดขณะกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “พี่ใหญ่ หยุดสร้างปัญหาเสียที ข้าสามารถดูแลเขาได้หากอยู่กับสดับสายลม ทุกวันเจ้าก็ยุ่งอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เอาเวลาไหนไปดูแลเขาล่ะ”

หลี่ชุนเตายักคิ้วแล้วไม่กล่าวอะไรสักพัก

ไม่ช้า

เขาจิบชาแล้วถอนหายใจออกมา “ช่างเถอะ ข้ายังมีที่ที่ต้องไปจัดการอีก ขอตัวล่ะ”

เขาเก็บดาบยาวบนโต๊ะ ร่างของเขาหายไป

เสียงผู้หญิงดังขึ้น

“ตัดสินจากสถานการณ์เมื่อครู่ ข้าวางใจในตัวเด็กคนนี้นัก ขอฝากเจ้าดูแลในอนาคตด้วย ชิวอวี่ รบกวนด้วยล่ะ”

“รับทราบ จ้าวสำนัก”

กู่ฉิงซานกลับที่พักตัวเอง

ขณะผลักประตูออก เขาเห็นหลี่ชิวอวี่นั่งอยู่ที่ขอบระเบียง สายตามองออกไปนอกเมืองอย่างเหม่อลอย

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนเดินเข้าไปขอโทษ “ขอโทษนะ เมื่อเช้าข้าแค่หยอกเล่นเฉยๆ ไม่นึกว่าจะโกรธจริงๆ ”

หลี่ชิวอวี่หันศีรษะมาชำเลืองมองเขา “หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว เจ้ากลับมาตอนที่ข้าเกือบจะหิวตาย”

บรรยากาศพลันผ่อนคลาย

กู่ฉิงซานโล่งอกก่อนถกแขนเสื้อขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าวเช้าออกจะเรียบง่ายไปหน่อย แต่ข้าวเที่ยงน่าจะจัดเต็มได้อีกนิด อย่าห่วงไปเลย อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

เขาหันหลังแล้วเดินเข้าครัวไป

แน่นอนว่าทักษะการทำอาหารของกู่ฉิงซานไม่ต้องบรรยายอะไร แม้แต่ฉินเสี่ยวหลัวที่มีทักษะยอดเยี่ยมทั้งหกยังต้องตกตะลึง แล้วนับประสาอะไรกับหลี่ชิวอวี่

ผ่านไปสักพัก

หลี่ชิวอวี่ไม่พูดเรื่องแต่งงานอีก แต่หยิบกระดูกชิ้นหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“นี่คืออะไรหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสงสัย

“แหล่งกำเนิดความลับของพวกเราสำนักซานไห่สามารถช่วยให้เจ้าเปิดพลังจิตที่สองได้อย่างรวดเร็ว”

เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของกู่ฉิงซาน หลี่ชิวอวี่อธิบายอย่างอดทนว่า “พลังจิตแรกคือพลังจิตที่ได้มาจากแหล่งกำเนิดของมรดก บางครั้งเจ้าจะเผชิญกับตัวตนที่เข้าใจยากและเกินจะบรรยายจนอาจจะนำไปสู่วันสิ้นโลกเลยก็ได้ เจ้าเข้าใจหรือเปล่า”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

หลี่ชิวอวี่กล่าวต่อว่า “พลังจิตที่สองนี้ไม่อันตราย มันเป็นการกระตุ้นการรับรู้ของเจ้า ช่วยให้สื่อสารกับมรดกที่เจ้าได้รับมาจนได้รับความสามารถเพิ่มเติม”

“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว มันจะช่วยพัฒนาความสามารถมรดกได้อย่างรวดเร็วสินะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“ถูกต้องที่สุด”

หลี่ชิวอวี่ชี้ไปที่ชิ้นส่วนกระดูกแล้วกล่าวว่า “หากเจ้าสัมผัสชิ้นส่วนกระดูกพิเศษนี้ เจ้าจะสามารถฝืนเปิดใช้งานพลังจิตที่สองได้ทันทีจนได้รับวิชาต่อยมวยใหม่หรือไม่ก็เป็นความสามารถอื่น พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าจะสืบทอดอะไร ข้าก็ไม่รู้เหมือนกับว่าเจ้าจะได้อะไร”

นางหยิบพัดภาพวาดออกมา สะบัดออกไปแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “เอาเลย เจ้าสามารถวางใจให้ข้าช่วยสนับสนุนได้”

กู่ฉิงซานหยิบชิ้นส่วนกระดูกพิเศษมาถือไว้ในมือ

“ข้าว่าก็ยังเป็นการต่อยมวยนั่นแหละ”

เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม เสียงพลันขาดห้วง

ฟู่

เขาเพียงรู้สึกว่าพลังมหาศาลมาจากชิ้นส่วนกระดูก เขาผลักตัวเองเข้าสู่ใต้ดินทันที

ถ้ำจำนวนนับไม่ถ้วนในสำนักซานไห่ รวมถึงคนที่อยู่ข้างในต่างถอยออกจากทั้งสองฝั่งของเขา

เขายังคงตกลงไปเรื่อยๆ

ยังคงตกลงไป

กู่ฉิงซานเข้าใจแล้วว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงร่างวิญญาณ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางผ่านใต้ดินที่ลึกขนาดนี้ได้ในคราวเดียว

แต่พลังจิตนี้มันต้องถูกกระตุ้นจากมรดกไม่ใช่หรือ

แล้วมันจะพาไปไหนล่ะ

กู่ฉิงซานกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นก็รู้สึกตัวว่าไม่ได้ตกลงไปอีกแล้ว

เสียงร้อนรนพลันระเบิดขึ้นในหูของเขา

“ช่วยข้าด้วย! เร็วเข้า!”

………………………………………….