webnovel

1236 เข้าเรียน

ตอนที่ 1236 เข้าเรียน

สายลมตีระฆังแผ่วเบาจนดังก้องกังวานไปทั่วห้องนอน

“อา ข้ายังนอนไม่พอเลย”

หลี่ชิวอวี่หาวขณะลุกขึ้นจากเตียง สวมชุดคลุมเรียบง่ายก่อนเดินไปที่ห้องแต่งตัวและห้องเก็บชุด

นางพลันหยุดนิ่ง

“หือ รสชาติจะเป็นยังไงนะ แต่กลิ่นหอมจังเลย!”

หลี่ชิวอวี่ออกจากห้องนอนก่อนตรงไปห้องครัว

นางเห็นชายหนุ่มร่างผอมสวมผ้ากันเปื้อนกำลังทำอาหาร

ซาลาเปาหมูถูกนึ่งจนมีไอลอยออกมา มีเครื่องเคียงเจ็ดจานอยู่ด้านข้าง ข้าวต้มขาวหนึ่งหม้อ ก๋วยเตี๋ยวรสจัดสองชามกับผลไม้ปอกเปลือกหนึ่งจาน

หลี่ชิวอวี่ยื่นสองนิ้วออกมาก่อนคว้าซาลาเปาไปกัดหนึ่งคำ

น้ำเกรวี่ไหลผ่าน

หอม!

ลองเครื่องเคียงต่อดีกว่า

กรอบ เปรี้ยว เผ็ด แต่ละจานมีรสชาติของมันเอง

ตอนนี้ นางอดที่จะอยากกินข้าวต้มไม่ได้

ทำไมข้าวต้มสีขาวถึงอร่อยได้ขนาดนี้

รู้สึกว่าจะมีอาหารทะเลอยู่ข้างใต้ด้วย มันช่างอร่อยจริงๆ!

นางหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบก๋วยเตี๋ยวก่อนดูดเข้าไป

สุดยอด รสจัดสุดๆ!

จากนั้นก็มีผลไม้หลากสีสัน เต็มไปด้วยความชุ่มชื้นและสดใหม่

หลี่ชิวอวี่วางตะเกียบลงก่อนนิ่งอยู่หลายอึดใจ

ทันใดนั้น นางยื่นมือออกไปสัมผัสศีรษะของกู่ฉิงซานแล้วกล่าวว่า “หลี่ซานหลาง หากเจ้าอายุเพิ่งขึ้นอีกสักสิบปี ข้าคงแต่งงานไปแล้ว”

กู่ฉิงซานแย้งว่า “ทำไมคนอย่างท่านถึงออกมากินโดยไม่สวมเสื้อผ้าเลยล่ะ ท่านไม่กลัวเวลาออกไปข้างนอกเลยหรือ”

“เจ้ากล้าเงยหน้ามองหรือ ระวังท่านหญิงอย่างข้าให้ดี ข้าจะจัดการเจ้า!” หลี่ชิวอวี่วิ่งกลับไปพร้อมรอยยิ้มเพื่อกลับไปสวมชุด

กู่ฉิงซานนิ่ง รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

ใช่แล้ว เขาไม่กล้าเงยหน้ามอง

แต่เขามีจิตเทพ…

ไม่งั้นเขาจะรู้ได้อย่างไรว่านางเพิ่งออกไป…

ผ่านไปสักพัก เมื่อหลี่ชิวอวี่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซานอีกครั้ง นางก็กลับมาเป็นสาวงามอีกครั้งแล้ว

ตอนนี้ กู่ฉิงซานวางอาหารทั้งหมดลงบนโต๊ะแล้วขณะมาอยู่ด้านข้างเพื่อชงชาหนึ่งหม้อ

ซาลาเปาหมูหนึ่งตะกร้า เครื่องเคียงเจ็ดจาน ข้าวต้มสองชามเล็ก ก๋วยเตี๋ยวรสจัดสองจานและผลไม้หนึ่งจาน

มีชาอีกหนึ่งหม้อ

หลี่ชิวอวี่กลืนน้ำลายก่อนถามด้วยความสงสัยว่า “แค่ของว่างพวกนี้ เจ้ายังเอามาเป็นอาหารเช้าอีกหรือ”

“ตอนเช้าเวลากระชั้นนัก อย่าคาดหวังให้ข้าทำอาหารชุดใหญ่ในตอนเช้าจะดีกว่า” กู่ฉิงซานเตือนอย่างเคร่งขรึม

“เอาล่ะ ปกติข้าจะออกไปร้านก๋วยเตี๋ยวเพื่อหาอะไรกิน แต่ครั้งนี้ข้าจะได้นั่งกินที่บ้านแล้ว” หลี่ชิวอวี่กล่าวอย่างมีอารมณ์

“คือว่า เอกสารที่พักของข้าจะมาถึงเมื่อไหร่หรือ พวกเราเป็นชายโสดหญิงม่ายที่อยู่สองต่อสอง การใช้ชีวิตด้วยกันมันดูไม่งามเท่าไหร่” กู่ฉิงซานเตือน

“จุ๊ๆๆ เจ้าหนู ข้ามั่นใจว่าแม้แต่ผู้หญิงก็ไม่เคยจูบ แล้วเจ้ายังกล้ามาพูดเรื่องชายโสดหญิงม่ายต่อหน้าท่านหญิงผู้นี้ได้ยังไง” ดวงตาของหลี่ชิวอวี่เบิกกว้างขณะชำเลืองมองอย่างเหยียดหยัน

จูบหรือ

พูดออกมาได้ง่ายๆ แบบนั้นเลยหรือ

กู่ฉิงซานยืดอกแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ท่านอย่าดูถูกคนอื่นจะได้หรือเปล่า ข้าแค่มีงานให้ทำอยู่ตลอดจนไม่มีเวลาว่างก็เท่านั้นเอง”

“ใช่ มีงานให้ทำอยู่ตลอดสินะ ไอ้น้องชาย เจ้าเคยตกหลุมรักหรือเปล่า ข้าได้ยินมาว่าในประเทศของเจ้า การพูดเรื่องลูกสะใภ้นั้นนับว่าเร็วเกินไป เจ้ารู้สึกยังไงบ้างที่ยังเป็นคนดีศรีสังคม” หลี่ชิวอวี่จิบข้าวต้มเข้าไป ไม่พูดอะไรอีก

กู่ฉิงซานแข็งทื่อ

ผู้หญิงคนนี้น่าเบื่อจริงๆ

“ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้กับท่านแล้ว ข้าแค่จะอยู่ที่นี่ชั่วคราวเพียงสองวัน ทันทีที่ได้รับอนุมัติเรื่องถ้ำส่วนตัวแล้ว ข้าจะย้ายออกเอง” เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม

หลี่ชิวอวี่ชำเลืองมองเขาขณะยุ่งอยู่กับการกินซาลาเปาหมูโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ

ต้องการถ้ำส่วนตัวหรือ

เจ้าไม่มีหวังซะหรอก

ใครขอให้เจ้าใช้หมัดพลังจิตที่น่าสะพรึงขนาดนั้นกันล่ะ หมัดนั่นแทบจะทำให้คนเบื้องบนเกือบทั้งหมดกลัวตายกันได้

หัวใจสำคัญในการป้องกันสำนักคือจ้าวสำนัก ส่วนคนอื่นต่างหวาดกลัวหมัดของเขา

หากไม่หาคนมาคอยจับตาดูให้ดี คิดหรือว่าผู้คนจะนอนหลับเต็มอิ่มกันได้

เมื่อคิดถึงไปอีกทาง สักวันอาจจะต้องทักษะหมัดพลังจิตติดต่อกันอีก ในกรณีที่ทำให้วันสิ้นโลกที่ถูกผนึกเหล่านั้นหรือสำนักอื่นๆ ตื่นตัวขึ้นมา คิดหรือว่าเด็กอย่างเขาจะสามารถต่อกรได้

ท่านหญิงจึงเป็นคนอาสามาดูแลเขา แบบนี้เขาจะมีโอกาสได้ฝึกฝนตลอดชั่วชีวิตที่เหลือหรือเปล่า!

หลี่ชิวอวี่ดูดก๋วยเตี๋ยวรสจัดเข้าไปอย่างมีความสุข คำพูดถูกกลืนลงท้องจนสิ้น

นางหยิบผลไม้สองสามชิ้นขึ้นมาแล้วเริ่มกินอย่างกระตือรือร้น

หลังจากนั้น

“นี่ หลี่ซานหลาง เจ้าทำเยอะขนาดนี้ ข้าจะไม่อ้วนเอาหรือ” นางถามด้วยความลังเล

กู่ฉิงซานดื่มชาขณะประมวลผลจากอาหารเช้าเงียบๆ เขาเงยคางขึ้นเมื่อได้ยินคำถามดังกล่าวแล้วตอบว่า “พวกมันล้วนเป็นวัตถุดิบสำหรับลดน้ำหนัก ข้าศึกษามาเป็นอย่างดีแล้ว กินอย่างสบายใจได้เลย”

“นี่เจ้าต้องศึกษาเรื่องนี้ด้วยหรือ” หลี่ชิวอวี่ตกตะลึง

“อืม บางคนชอบกิน แต่พวกเขาก็กลัวที่จะอ้วน ข้าจึงศึกษาวิธีทำอาหารเพื่อการนี้” กู่ฉิงซานตอบ

เมื่อกล่าวจบ เขาเทชาให้หลี่ชิวอวี่

“หลังจากกินดื่มแล้ว ของพวกนี้จะทำให้ผิวพรรณดีและเปล่งปลั่ง ชาแบบนี้มีแค่ข้าเท่านั้นที่ชงได้” เขาพึมพำ

หลี่ชิวอวี่รับชามาก่อนสูดดมแล้วจิบเล็กน้อย นางนิ่งไปสักพักก่อนดื่มเข้าไปรวดเดียว

นางมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้สึกเพียงแค่ว่าเด็กคนนี้ช่างไม่ธรรมดา

หลังจากถอนหายใจ หลี่ชิวอวี่พึมพำว่า “หลี่ซานหลาง ข้าขอพูดประโยคเดิม หากเจ้าอายุเพิ่งขึ้นอีกสักสิบปี ข้าคงแต่งงานไปแล้ว”

นางเห็นว่าชายหนุ่มคาดไม่ถึง สีหน้าของเขาพลันแข็งทื่อ เขาโบกมือซ้ำไปมา

“ไม่! ไม่ดีกว่า!”

หลี่ชิวอวี่ประหลาดใจ

การตอบสนองแบบนี้มันอะไรกัน

ข้าดูไม่ดีหรือ

ไม่สิ มีคนจากสำนักใหญ่ที่ไล่ตามข้าในแปดถ้ำของโลกเชียวนะ

นางพลันคิดบางอย่างได้ก่อนยิ้มออกมา

“เจ้าคิดว่าตัวเองสถานะต่ำกว่าจึงไม่คู่ควรกับข้าหรือ”

นางเห็นชายหนุ่มส่ายหน้าซ้ำไปมาแล้วตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ ข้าแค่อยากแนะนำท่านว่าให้กำจัดความคิดนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้หญิงเช่นท่านมากเกินไปสำหรับข้า ออกจะเป็นปัญหาเสียด้วยซ้ำ ต่อให้แก่ขึ้นอีกสักสิบปี ข้าก็ไม่อยากคิดถึงท่านจริงๆ ”

ห้องเงียบสงัด

“หลี่ซานหลาง! เจ้ามันช่างอวดดีนัก!”

“นี่! ท่านมาหยิกคนอื่นได้ยังไง!”

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

ห้องเรียน

หลี่ชิวอวี่ผลักเขาเข้าห้องเรียน นางพ่นลมออกจมูกก่อนหันหลังแล้วจากไป

กู่ฉิงซานไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่หน้าห้องเรียนแล้วกล่าวกับกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ที่อายุไล่เลี่ยกันว่า “สวัสดีทุกท่าน ข้าคือหลี่ซานหลางจากถ้ำร้างทิศตะวันออก งานอดิเรกของข้าคือการเรียนรู้”

เกิดความเงียบสงัด

พวกนักเรียนจ้องเขา

ทุกคนถูกดึงดูดด้วยจมูกคล้ำกับใบหน้าบวมเป่ง

เด็กคนนี้ดูอนาถเล็กน้อย

เดินชนต้นไม้ โดนปล้น หรือไปเจอกับวันสิ้นโลกมา

กู่ฉิงซานยักไหล่ก่อนพบที่นั่งแถวหลังก่อนนั่งลง

“เจ้าหนู เจ้าชื่อหลี่ซานหลางสินะ” ผู้ชายหน้าบึ้งถาม

“อา ใช่” กู่ฉิงซานตอบอย่างสุภาพ

“เมื่อครู่นั่นใช่ท่านหลี่ชิวอวี่หรือเปล่า” ผู้ชายที่มีรอยสักบนร่างกายอีกคนถาม

“ใช่ นางนั่นแหละ” กู่ฉิงซานตอบ

ผู้ชายเหล่านั้นกระซิบกระซาบ

ผ่านไปสักพัก ชายชราผมหงอกเดินเข้าห้องเรียนก่อนยืนบนโพเดียม

“เอาล่ะ เดิมเช้านี้จะเป็นบทเรียนการต่อสู้ แต่อาจารย์ของพวกเจ้าติดภารกิจชั่วคราว ดังนั้นพวกเราจะเรียนกันเรื่องประวัติศาสตร์”

“โฮ่”

นักเรียนทุกคนถอนหายใจด้วยความผิดหวังราวกับเกิดความท้อแท้ขึ้นมา

พวกเขาบางคนออกไปทันที บางคนฟุบกับโต๊ะ บางคนเร่มขุดหนังสือแล้วแจกจ่ายรอบข้าง เพียงสั้นๆ เหลือเพียงไม่มีกี่คนที่อยู่ในห้องเรียนนี้

กู่ฉิงซานผิดหวังเล็กน้อยเช่นกัน

เขาได้ยินมาว่าวันนี้จะได้เรียนการต่อสู้พื้นฐานจากสามยอดฝีมือรุ่นใหญ่ แต่สุดท้ายกลายเป็นเรียนประวัติศาสตร์เสียอย่างนั้น

โดยไม่คำนึกถึงการตอบสนองใดๆ ชายชรากระแอมลำคอก่อนเปิดอ่านหนังสือ

“คราวที่แล้วพวกเราพูดถึงเรื่องสาขาและโครงสร้างของสำนัก”

“สองพันเจ็ดร้อยปีก่อน จ้าวสำนักซานไห่แบ่งสำนักออกเป็นหลายส่วนตามอำนาจที่มี”

“สดับสายลม เชี่ยวชาญ ‘เรื่องราวผิดปก’ และ ‘ความลับ’ เดินทางไปทั่วโลก ในยามสงคราม พวกเขาเทียบเท่ากับหน่วยสอดแนม ยามค้นคว้าวันสิ้นโลก พวกเขาสามารถเข้าร่วมทีมเพื่อไปสุสานได้”

“นักค้นคว้าโบราณ ศึกษาสิ่งแปลกประหลาดทั้งหมดที่กระจายในสุสาน เดินทางไปทั่วโลก คอยดูแลหนังสือและความลับโบราณให้กับสำนัก เป็นผู้ได้รับการคุ้มครองในยามสงคราม ยามค้นคว้าวันสิ้นโลก มีเพียงผู้ที่มีความสามารถไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้เข้าร่วมทีม”

“นักฆ่า ขอไม่พูดในส่วนนี้แล้วกัน พวกเจ้าล้วนอยากเป็นนักฆ่าเพื่อต่อสู้กับวันสิ้นโลกอยู่แล้ว”

“ส่วนอาศรม ที่นี่มีไว้สอนความรู้ การฝึกฝนและความลับพื้นฐานต่างๆ”

กู่ฉิงซานตั้งใจฟัง รู้สึกสนใจเล็กน้อย เขาครุ่นคิดทันที นี่ไม่ใช่ชิ้นส่วนความรู้ ไม่ช้าก็เร็ว เขาสามารถรู้ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ฟังอีก

เขานั่งอยู่กับที่ขณะถูรอยฟกช้ำตามร่างกายอย่างแผ่วเบา

เขาก็แค่พูดต่อหน้าเฉยๆ นางต้องตื่นเต้นขนาดนี้เชียวหรือ

ไม่อยากคิดเลยว่าการที่เขายังเป็นเด็กอยู่มันจะโหดร้ายปานนี้

เมื่อคิดดีๆ ตอนนั้นเขาหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะงั้นจึงไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน

ตอนเข้าสำนักร้อยบุปผาในอดีต อาจารย์เคยบอกว่าเขาไม่สามารถไปทำให้สาวงามที่มีพละกำลังแก่กล้าขุ่นเคืองได้ ทำไมเขาถึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ

ขณะเขาลอบเสียใจกับเรื่องนี้ ทันใดนั้น ผู้ชายหน้าบึ้งก่อนหน้านี้กล่าวเสียงดังว่า “ดูเหมือนจะพูดมาสองรอบแล้ว เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นไม่ได้หรือ”

พวกนักเรียนส่งเสียงโห่

ชายชรายิ้มก่อนพลิกหน้าหนังสือสองสามครั้งแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ารู้เรื่องกันหมดแล้ว งั้นชั้นเรียนนี้มาพูดเรื่องการหลอมรวมของถ้ำหมื่นอสูรกันดีกว่า”

“เก้าพันปีก่อน พวกเราถ้ำหมื่นอสูรหลอมรวมเข้ากับเศษเสี้ยวหมื่นอสูรได้เก้าสิบเก้าส่วน นับตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะเป็นโลกวิญญาณชั่วร้ายหรือยุคสงครามอสุรานิรันดร์ก็ไม่มีใครกล้ารังแกพวกเราอีก มีใครบอกได้ไหมว่าทำไม”

นักเรียนทุกคนกระสับกระส่าย เกียจคร้านเกินกว่าจะตอบ

หลังจากนั้นชายร่างอ้วนเล็กน้อยถูกขานชื่อ เขาลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจก่อนเอานิ้วชี้หัวตัวเองแล้วกล่าวว่า “เป็นเพราะพวกเราหลอมรวมเข้ากับสุสานขนาดใหญ่ยังไงล่ะ ท่านผู้เฒ่า เรื่องนี้พูดมาก็หลายรอบแล้ว พูดเรื่องสิ่งที่ปรมาจารย์ร้อยล้านหัตถ์ศักดิ์สิทธิ์ทำเมื่อเร็วๆ นี้หรือผลงานของจ้าวดาบอมตะแทนจะได้หรือเปล่า”

นักเรียนทุกคนส่งเสียงโห่อีกครั้ง

“เป็นคำตอบที่ดี พวกเราไปเรื่อง…”

ชายชราไม่ยินดีที่จะเปลี่ยนเรื่องในตอนนี้ เขาก้มมองหนังสือแล้วยังคงอ่านต่อไป

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นก่อนหยุดนิ่ง

เดี๋ยวนะ

เมื่อกี้พูดเรื่องอะไร

เขาพลันนั่งตัวตรงเพื่อตั้งใจซึมซับให้เต็มที่

……………………………………………