"เธอ ๆ ขอพินหน่อยดิ"
เสียงกระซิบดังแว่วมาจากโต๊ะข้างหลังผม เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนสาวที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ กัน และไม่นานนัก เด็กสาวก็เอามือล้วงกระเป๋า ควานหาอะไรบางอย่างแล้วซุกไปที่ใต้โต๊ะทันที คุณครูที่สอนอยู่หน้าห้องกำลังเล่าเรื่องราวอัศจรรย์ของพระอภัยมณีอยู่จึงไม่ทันสังเกตเห็น
ปี๊ด
ทุกคนในห้องนั้นหันไปหายังต้นเสียงพร้อมกัน ที่ว่าทุกคนนั้นรวมถึงครูด้วย ดูท่าแล้วจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลืมปิดเสียงแจ้งเตือน
"เสียงอะไร" ทั้งคู่เอามือกอดท้องของตัวเองไว้แน่น โดยยังกุมวัตถุต้องห้ามอยู่ แต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะคุณครูหูดีท่านนั้นได้เดินเข้ามาหาพร้อมกระชากวัตถุนั้นออกมา "รู้ใช่ไหมว่าห้ามเอาของแบบนี้ขึ้นมาเล่นระหว่างเรียน แล้วไหนสมุดจดวิชานี้"
"อาจารย์คะ คือหนูยังไม่ได้ซื้อ…"
"ไม่ต้องมาเถียง หลังเลิกเรียนค่อยมารับคืน"
…โทรศัพท์มือถือ คือสิ่งต้องห้ามในห้องเรียน….
นั่นคือคำแนะนำข้อที่สามของครูพี่เลี้ยงผม
พี่เคนแนะนำผมเกี่ยวกับบทบาทและการวางตัวเวลาอยู่ในห้อง ผมอาจจะไม่ต้องทำตัวขรึมเท่าพี่เคน แต่อย่างน้อยต้องให้นักเรียนเกรงกลัวเราให้ได้
"คาบแรกน่ะสำคัญนะ ถ้าเราอ่อนข้อตั้งแต่แรก ภาพลักษณ์เราก็จะเป็นแบบนั้นไปตลอด เด็กมันจะเล่นหัวเอา เพราะงั้นคาบแรกพยายามทำตัวตึง ๆ ไว้หน่อยนะ ต่อไปจะได้คุมชั้นเรียนได้"
"ค…ครับ แบบไหนคือตึงครับ"
"อ่า ก็อย่างที่เราเห็นในคาบโฮมรูมเมื่อกี้ พี่ไม่ได้บอกชื่อเล่นตัวเองด้วยซ้ำ มันคือการเว้นระยะห่าง ให้รู้ว่าเราคือครู พวกเด็กเป็นนักเรียน"
ข้อที่หนึ่ง เว้นระยะห่างจากนักเรียน
"พี่เคนครับ แล้วผมต้องให้นักเรียนมีสมุดด้วยไหมครับ" ผมพูดพลางชี้ไปที่กองสมุดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ พี่เคนไปสอนคาบแรกมา แล้วกลับมาพร้อมนักเรียนสองคนที่ช่วยกันขนกองสมุดมาด้วย ดูท่าแล้วน่าจะเริ่มสอนตั้งแต่คาบแรกเลย
"อื้ม ต้องมีสิ" เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว "ต้องสั่งให้นักเรียนไปซื้อนะ เอาปกอ่อนก็ได้ วิชาเราน่าจะไม่ได้จดอะไรเยอะ นอกจากน้องบีจะให้งานเยอะน่ะนะ"
พอได้ยินอีกฝ่ายเรียกผมว่าน้องบีแล้วผมก็จั๊กจี้ในใจแปลก ๆ
ไม่ ไม่ กลับมาก่อนสติ
ข้อที่สอง สมุดจด is a must
"แต่…" ผมเว้นช่วงไว้ ไม่รู้จะพูดความคิดเห็นของตัวเองออกไปดีไหม แต่ก็อดไม่ได้ "ถ้าผมให้นักเรียนใช้มือถือจดแทนได้ไหมครับ จะได้ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อสมุด"
"อืม…" อีกฝ่ายเว้นช่วงเช่นกัน "คงยากนะ จริง ๆ แล้วต้องริบโทรศัพท์นะ"
"ครับ?" ไม่ใช่ว่าผมฟังไม่ได้ยินหรอก แต่ยากที่จะเชื่อว่าได้ยินอะไรไป
"เราจะต้องเก็บโทรศัพท์นักเรียนตอนต้นคาบนะ วิธีการก็แล้วแต่เราเลย อาจจะให้ลุกมาวางที่โต๊ะหน้าห้อง หรือจะหากล่องหรือถุงแล้วเดินเก็บเอาก็ได้"
ผมไม่อยากสรุปเป็นข้อนี้เลย แต่…
ข้อที่สาม โทรศัพท์คือสิ่งต้อห้าม
"อะไรอีกนะ ที่น้องบีควรรู้" เขาพึมพำกับตัวเอง "อ่อ…"
พี่เคนอธิบายต่อ ส่วนผมก็ยังฟังและจับใจความอยู่ ถึงจะไม่เห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม
ข้อที่สี่ ให้นักเรียนบอกทำความเคารพตอนเริ่มและเลิกคาบทุกครั้ง
ข้อที่ห้า นักเรียนที่เข้าสายเกินสิบห้านาทีจะถูกกทำโทษ
ข้อที่หก และเราที่เป็นครูก็พยายามเข้าตรงเวลาด้วยเช่นกัน (ข้อนี้ผมเห็นด้วย)
ข้อที่เจ็ด ของกิน ขนม และน้ำดื่มเป็นสิ่งต้องห้าม
"เอาตามตรงพี่ก็กังวลหน่อย ๆ นะ" กังวล? กังวลผมเหรอ "ดูทรงเราแล้วน่าจะจัดการนักเรียนยาก ถ้าวันนี้ยังไม่พร้อม ให้พี่ไปเข้าแทนก่อนไหม"
ข้อเสนอนั้นไม่ได้แฝงความดูหมิ่นหรือความไม่วางใจเลยสักนิด กลับกันมันทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของคนตรงหน้า แต่ถึงอย่างนั้น คำถามนี้มันสะกิดความน่าสมเพชในตัวผมเอง ผมอาจจะหนีแล้วให้พี่เคนไปสอนแทนก็ได้ แต่จะหนีไปถึงเมื่อไหร่กันล่ะ
"ผม…" ก็ไม่มั่นใจนักหรอก แต่ "…จะลองดูครับ"
สีหน้าและน้ำเสียงของผมคงดูมั่นใจผิดแผกไปจากเดิม เลยส่งให้ชายหนุ่มในชุดสีกากียิ้มภูมิใจมาที่ผม
…เป็นยิ้มที่อ่อนโยนจัง…
"งั้นเดี๋ยววันหลังพี่ไปหาไม้เรียวมาให้นะ" ห๊ะ!
"ม…ไม้เรียว ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่คิดจะตีเด็ก" จะว่าก็ว่าเถอะ การตีมันผิดกฎหมายไปแล้วนี่นา
"ไม่ต้องห่วง พี่เองก็ไม่เคยตี" โล่งอก ผมนึกภาพคนอ่อนโยนอย่างพี่เคนง้างไม้ฟาดนักเรียนไม่ออก แต่เดี๋ยว ตอนคาบโฮมรูมยังฟาดใส่กระดานยู่เลย "ไม้ของพี่น่ะ เอาไว้กันหมา"
"กันหมา…หมายถึงนักเรียนเหรอครับ" ผมเผลอขมวดคิ้วใส่ ไม่ดีเลยนะที่เปรียบนักเรียนเป็นหมาน่ะ
"แค่สำนวนน่ะ เอาไว้ขู่เด็กไม่ให้เหิมเกริมได้ดีเลย"
"ขนาดนั้นเลยเหรอครับ"
"อื้ม เราไม่ต้องใช้ไม้เลยก็ได้ แค่พกติดตัวไว้เฉย ๆ ก็พอช่วยได้แล้ว"
ข้อที่แปด ไม้เรียวคืออาวุธ
"อะ!! จะคาบสามแล้ว พี่ไปสอนก่อนนะ" ว่าแล้วก็รีบหอบข้าวของไปสอนทันที คงไม่ดีแน่ หากจะไม่ทำตามสิ่งที่ตัวเองเพิ่งแนะนำไป
ผมมีสอนอีกทีคาบสี่ ซึ่งก็คือคาบถัดจากนี้ แต่ถึงอย่างนั้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะให้เด็กทำอะไรดี ก่อนหน้านี้พี่เคนแนะนำผมไว้ว่า หากยังไม่รู้จะเริ่มยังไง สอนตามหนังสือไปก่อนก็ได้ ให้ท่องศัพท์ อธิบายไวยากรณ์ พาอ่านบทความ หรือจะเอาสื่องของพี่เคนไปสอนก่อนก็ได้ ซึ่งผมปฎิเสธไปอย่างสุภาพ
ใบงานและสื่อการสอนของพี่เคนถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว เนื้อหาครบ น่าสนใจ สีสันสดใส ถ้าผมเป็นนักเรียน ผมคงตั้งใจเรียนน่าดู
แต่ผมอยากลองทำสื่อของตัวเองดู การสอนอาจจะราบรื่นขึ้นถ้าเราใช้สื่อตามแบบของเราเอง
ตามแบบขอเราเองเหรอ ผมนึกไปถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของบอล มันเองก็บอกประมานว่า 'เป็นตัวของตัวเอง' แล้วตัวของผมคืออะไรกันนะ แค่แนะนำตัวหน้าชั้นผมยังไม่กล้าเลย…
แนะนำตัว…ใช่แล้ว แนะนำตัวเองไง
เมื่อหลอดไฟนีออนในหัวผมสองสว่าง ผมจึงเริ่มเตรียมการสอนของผม
ผมเอื้อมมือไปคว้างปากกาเคมีในแก้วเก็บเครื่องเขียนบนโต๊ะพี่เคน
แม้จะมีเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แค่ด้วยสื่อนี้ ยังไงก็ทำทัน
ผมเขียนข้อความลงกระดาษ แล้วขยำมัน
น้องบีของเราเตรียมสอนพร้อมขนาดนี้ คาบเรีนแรกของน้องจะราบรื่นรึเปล่านะ เอาใจช่วยได้ในตอนต่อไปเลยนะครับผม