บันทึกฝึกสอน ครั้งที่ 26 วันนี้ก็น้ำตาแตกเหมือนเดิม Past simple tense ที่ผมสอนไปเมื่อวันก่อน ทั้งที่ในคาบแทบจะบอกข้อสอบอยู่แล้ว วันนี้พวกหัวขวดห้องพละก็ยังตกกันระนาว “จารย์จักร ขอซ่อมง่าย ๆ นะจารย์” ให้ตายเถอะ ทำเอาผมท้อจนเกือบจะร้องไห้แน่ะ แต่ ‘พี่เคน’ ครูพี่เลี้ยงก็ลูบหัวปลอบผม แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรน่า ไว้ค่อยปรับการสอนไป ไม่ต้องเครียด” แล้วจะไม่ให้เครียดได้ยังไงกัน ทั้งห้องมี 41 คน ผ่านอยู่คนเดียว โว๊ยยยยยย ผมเอาหน้าซุกอกพี่เคนแล้วปล่อยโฮออกมา หน้าอายชะมัด แต่มันไม่ไหวแล้วจริง ๆ ชีวิตฝึกสอนของผมคงจะทุลักทุเลกว่านี้แน่ ถ้าไม่มีแฟนคนนี้อยู่ข้าง ๆ ละก็... เดี๋ยว...ผมเผลอหลุดไปเหรอ ที่จริงแล้วแฟนของผม…พี่เคน ก็คือครูพี่เลี้ยงของผมนั่นแหละ เพราะงั้น รู้แล้วก็อย่าไปบอกใครนะ ถ้าใครรู้เรื่องความรักต้องห้ามนี้ละก็ ผมซวยแน่ บี จักรวาร
เสียงอึกทึกครึกโครมดังก้องไปทั่วสนามขนาดใหญ่ ทั้งเสียงผู้อำนวยการโรงเรียน ทั้งเสียงเจี่อยแจ้วของนักเรียนรอบตัว ต่างผสมกันเป็นความรู้สึกที่น่าอึดอัดซะเหลือเกิน ผมจับคอเสื้อนักเรียนของตัวเองแล้วกระพือลมเข้าร่างอันชุ่มเหงื่อหวังจะให้คลายความร้อนได้บ้าง แต่แดดยามเช้าเวลาแปดนาฬิกาเศษ ๆ นั้นรุนแรงเหลือเกิน ไหนจะกลิ่นเหงื่อเค็ม ๆ จากหมู่มวลชนรอบข้างอีก ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดไปกันใหญ่
ประชากรวัยมัธยมปีที่สี่รอบข้างผมก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเช่นกัน กลุ่มนึงจับกลุ่มคุยเรื่องที่ว่าปิดเทอมที่ผ่านมาไปทำอะไรมาบ้าง กลุ่มโน้นหยอกล้อเล่นกันสนุกสนาน ทุกคนดูตื่นเต้นแและพร้อมแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ ดูเหมือนการเปลี่ยนจากมัธยมต้นเป็นมัธยมปลายนั้นเป็นเหมือนการเลื่อนชั้นตากปกติ เพราะส่วนมากคงเป็นนักเรียนเก่าที่เรียนต่อมัธยมปลาย พวกเขาจึงดูสนิทกันขนาดนี้
ส่วนผมไม่ เด็กที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ในช่วงมัธยมปลายอย่างผมยังไม่ทันได้รู้จักใครเลยด้วยซ้ำ ถึงจะบอกให้เข้าหาคนอื่นก่อนก็เถอะ แต่จะเริ่มทักว่าอะไรล่ะ
"นี่มึง เด็กใหม่เหรอ ไม่คุ้นหน้าเลย ชื่อไร กู 'บอล' นะ"
ผมเงยหน้าขึ้นหาต้นเสียง บุคคลตรงหน้าเป็นเด็กชายผิวเข้ม จากที่เขายืนอยู่ข้างหน้าผม แน่นอนว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องแน่นอน เขาเอี้ยวตัวมาเพียงครึ่งนึงเท่านั้น ทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัดนัก เห็นเป็นเพียงใบหน้าที่เต็มไปด้วยสิวอุดตัน
"อ่า….เรา เอ่อ ผมชื่อ…จักรวาร ค ครับ" ให้ตายเถอะ ใครเขาใช้คำสุภาพกับเพื่อนกัน แล้วไหนจะบอกชื่อจริงไปอีก ไม่บอกชื่อพ่อชื่อแม่ให้เขาล้อไปด้วยเลยล่ะ กูชื่อบี กูชื่อบี แค่นี้ทำไมพูดไม่ได้
"เห้ย ไม่ต้องสุภาพก็ได้ เอาซะรู้สึกผิดเลยที่พูดกูมึงกับมึงไป" คนตรงหน้าหัวเราะในลำคอเล็ก ๆ ไม่รู้ว่าเอ็นดูหรือสมเพชผมกันแน่ "ชื่อจักวารเหรอ ชื่อโคตรเท่ห์ งั้นจะเรียกมึงว่า 'จักร' แล้วกันนะ"
จักร?…ชื่อแก่จัง
"ว่าแต่ มึงจบ ม.3 จากเอกชนแน่เลย ผิวโคตรขาว" บอลพูดพร้อมกับสอดส่องสายตาสำรวจตัวผม "แล้วงี้มายืนเข้าแถวตากแดดทุกวัน มึงไหวเหรอวะ เสียดายผิวดี ๆ มึงจัง"
ผมไม่รู้ว่าควรตอบอะไรเขาไปเลยได้แต่ยืนนิ่ง เมื่ออีกฝ่ายไม่เห็นว่าผมมีปฏิกิริยาอะไรจึงหันควับไปแนะนำผมให้เพื่อนที่อยู่ข้างหน้าเขาอีกที
จบกัน ทุกคนเข้าใจว่าผมชื่อจักรจากปากบอลกันหมดแล้ว ต้องแนะนำตัวใหม่ ต้องแนะนำตัวใหม่ 'ไม่ใช่นะเว้ยบอล กูชื่อบี' ผมได้แต่ยืนอมคำพูดนั้นไว้แล้วปล่อยให้ความกลัวเอาชนะผม
"…จักร…" บอลหันมาหาแล้วเรียกชื่อผมอีกครั้ง
"หือ??"
"ไอ้จักร ยืนเหม่ออะไรอยู่วะเนี่ย เขาจะเรียกแล้ว" เสียงกระซิบนั้นเปลี่ยนไป กลายเป็นเสียงที่ทุ้มลึกขึ้น ใบหน้าของบอลก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน ไม่ใช่ใบหน้าเด็กมัธยมปลายสิวเขรอะอีกแล้ว
มโนสำนึกของผมกลับมาสู่ปัจจุบัน นี่คือความจริง ตอนนี้เรากำลังยืนต่อแถวรอให้ผู้อำนวยการเรียกขึ้นไปแนะนำตัวที่หน้าเสาธง คงเพราะบรรยากาศของเมื่อเจ็ดปีก่อนกับตอนนี้มีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งผอ.ที่กำลังพูดอยู่คนเดียว ทั้งนักเรียนที่ส่งเสียงระดับเดซิเบลเท่าจราจรในกรุงเทพ เหมือนกันไม่มีผิด ผมจึงหลุดลอยนึกไปถึงวันปฐมนิเทศวัยมัธยม ตอนนี้ก็เป็นช่วงปฐมนิเทศหลังกิจกรรมหน้าเสาธงเช่นกัน เพียงแต่เป็นคนละโรงเรียน ผอ. คนละคน และที่สำคัญ คนละบทบาทกับตอนนั้นเลย
ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อกพลางเอามือไปกระพือคอเสื้อเชิร์ตสีขาวที่ใส่อยู่ แต่ทำไม่ได้ ผมลืมไปว่ากำลังใส่เนคไทอยู่และคอเสื้อก็ดันไปถึงลูกกระเดือกโน่น อึดอัดชะมัด
หลังจากที่บอลเรียกสติผมกลับมา ประสาทสัมผัสก็เริ่มทำงานได้ดีขึ้น ตึกตึกตึก ได้ยินถึงเสียงหัวใจของตัวเอง กึกกึกกึก กระดูกข้างในเข่าก็ไม่วายสั่นไปด้วย
ผมหันควับทันที พร้อมแล้วที่จะเดินแหวกฝูงชนไปหาที่หลบซ่อน เกือบจะทำได้แล้วถ้าไม่มีมือมาดึงแขนผมเอาไว้ก่อน
"เดี๋ยว นายจะไปไหน"
"…ไปเขียนใบลาออก…"
"เห้ย ไอ้บ้า แค่พูดหน้าเสาธง แนะนำตัวแปปเดียวเอง เอาหน่า" บอลดึงแขนแรงขึ้น ฉุดรั้งร่างเล็ก ๆ ของผมให้กลับมาที่แถวอีกครั้ง แต่คงจะดึงแรงไปหน่อยจนผมเสียสมดุลแทบล้มไปชนหน้ามัน ใบหน้านั้นผมไม่ได้สังเกตตรง ๆ มานานตั้งแต่จบ ม.6 แล้ว จากเด็กสิวเขรอะคนนั้น ตอนนี้ใบหน้าเรียบเนียนขึ้นมากแม้จะมีร่องรอยอารยธรรมบ้างก็ตาม
"….ก็อย่างที่กล่าวไป อย่าลืมเคารพครูฝึกสอนเหล่านี้เหมือนเป็นครูคนนึงด้วย และเพื่อความคุ้นเคยกันเหมือนทุกปี ขอเชิญคุณครูฝึกสอนมากล่าวแนะนำตัวข้างหน้าด้วยครับ"
หลังผอ.กล่าวจบ นักศึกษาหญิงที่อยู่หัวแถวก็ขึ้นไปบนเวทีคนแรก เธอกล่าวด้วยวาจาฉะฉานและแนะนำตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ และแน่นอนว่าหมู่มวลนักเรียนที่เคยส่งเสียงเอะอะก่อนหน้านี้นั้นได้เงียบจนเกือบสนิท จะมีก็เพียงแค่เสียงเชียร์เสียงเฮต่าง ๆ เท่านั้น ก็พอเข้าใจได้ การปรากฎตัวของนิสิตนักศึกษาฝึกสอนเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเสมอ เพราะจะได้เห็นคนหนุ่มสาวหมุนเปลี่ยนกันมาทุกปี ๆ
การออกฝึกสอนนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่สิ ต้องเรียกว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ หากคิดจะเรียนคณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์แล้ว จะต้องเรียนทั้งหมดห้าปีเต็ม ในปีที่ห้านิสิตนักศึกษาทุกคนต้องเข้ารับการฝึกสอนที่โรงเรียนหนึ่งเป็นระยะเวลาหนึ่งปีการศึกษาเต็ม ไม่มีข้อยกเว้น สิ่งเดียวที่จะหลุดพ้นจากการฝึกสอนได้นั้นคือการลาออกไปและทำเป็นว่าสี่ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่แปลกหรอกที่จะสงสัย เพราะผมเองก็สงสัยเช่นกัน ทำไมคนขาดความมั่นใจขั้นสูงอย่างผมถึงมาเลือกเรียนครูกันนะ ไม่เมคเซนส์เลยสักนิด ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมอาจไม่อยากขี้กลัวจนรีบคว้าโควตาเข้ามหาลัยก่อนโดยไม่คำนึงถึงชะตากรรมในอนาคตแบบนี้หรอก ตอนนั้นคงคิดว่าถ้าไม่รีบคว้าโอกาสนี้ไว้ การสอบแอดมิชชันคงสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นหัวใจวายเป็นแน่แท้
ใช่ว่าระหว่างเรียนมาสี่ปีจะไม่มีการพูดการนำเสนองานหรอกนะ แต่เพราะทุกอย่างนั้นอยู่เพียงในห้องเรียนเสมือน ที่มีเพื่อน ๆ ในสาขาเป็นนักเรียนจำลอง จะให้ทำอะไร จะให้ทำแบบทดสอบยังไง พวกนั้นก็ทำได้ในเวลาที่กำหนด ใครจะไปรู้ว่าถึงเวลาจริงมันจะน่ากลัวขนาดนี้ อีกอย่าง ที่โรงเรียนนี้ไม่มีเพี่อนในสาขามาด้วยเลยสักคน ถ้าไม่มีบอลมาสอนด้วย ตอนนี้ผมอาจจะหลบหนีไปอยู่ในห้องน้ำแล้วก็ได้
ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าบอลจะมาฝึกที่โรงเรียนนี้ในวันที่มายื่นเรื่องฝึกสอน ผมนั่งรถประจำทางมาค่อนชั่วโมงเพื่อมาส่งเอกสารเพียงสามนาที แล้วในตอนนั้นเองผมจึงได้เจอกับบอลที่มายื่นเรื่องด้วยพอดี เราพูดคุยกันสักพักใหญ่เพราะไม่ได้เจอกันนาน หลังจบมัธยมไปก็ไม่เจอหน้าไม่ติดต่อกันอีกเลย ต่างคนต่างคงยุ่งกับการเรียนของตัวเอง ข้อมูลล่าสุดที่รู้คือ บอลเองก็เข้าเรียนคณะครุศาสตร์เหมือนผม แต่อยู่คนละมหาลัย ไม่นึกว่าโชคชะตาจะทำให้เรามาเจอกันอีกในตอนที่เป็นครูแล้ว
"ถึงตากูแล้ว ไปละนะ"
ไม่ทันที่ผมจะเอ่ยตอบ บอลก็ก้าวขึ้นเวทีไปแล้ว เดินสวนเข้ากับคนก่อนหน้าที่กล่าวเสร็จพอดี
"สวัสดีครับ ครูชื่อครูประพันธ์ หรือจะเรียกว่า ครูบอล ก็ได้นะครับ ครูสอนวิชาพละ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับเด็ก ๆ ที่น่ารักของครู" การกล่าวแนะนำตัวของบอลนั้นนับได้ว่าเรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควรเลย คงเพราะเสียงทุ้มอันไพเราะของมัน หรืออาจเป็น 'เด็ก ๆ ที่น่ารัก' ที่เป็นจุดชนวนให้สาว ๆ วัยมัธยมปลายกรี๊ดได้
บอลเดินลงมายื่นไมค์ให้ผม ฉิบหาย ผมลืมไปเลย ถึงตาผมแล้ว จะหันหลังกลับไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ไม่มีทางเลือก ผมจึงยกขาก้าวขึ้นเวทีด้วยแรงที่มากกว่าปกติ รู้สึกได้เลยถึงลมหายใจที่ไม่ปกติของผม อันที่จริง ผมแถบจะหยุดหายใจด้วยซ้ำเมื่อขึ้นไปถึงบนเวทีได้สำเร็จ ตอนนี้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม ผมไม่ได้เว่อร์นะ แต่ทุกสายตาในโรงเรียนเลยจริง ๆ อาจจะเป็นทุกสายตาในโลกเลยด้วยซ้ำ
ผมหันหน้าไปหาบอล เพื่อนที่เพิ่งจะกลับมาสนิทเพราะฝึกสอนโรงเรียนเดียวกัน ผมกำไมค์แน่นจนมันแทบจะแตกสลายคามือพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนไป ช่วยด้วย ไม่รู้ว่าจะให้ช่วยยังไงก็เถอะ แต่ ช่วยด้วย
บอลถอนหายใจ พร้อมส่ายหน้าเล็ก ๆ สักพักมันจึงพึมพำบางอย่างออกมา รูปปากนั้นขยับเน้นคำมากกว่าปกติคงหวังจะให้ผมอ่านปากได้ง่าย
'หายใจเข้า' ไม่ผิดแน่ สิ่งที่บอลส่งมา ผมมั่นใจเพราะไม่ใช่แค่ปากของบอล แต่มันยังท่าหายใจเข้าไปด้วย
จะว่าไป… คุ้น ๆ แหะ อยู่ ๆ ความทรงจำเก่าก็ไหลย้อนมาแบบไม่รู้จักกาละเทศะ ตอนนั้น… บอลมันก็เคยบอกเราแบบนี้ แต่ตอนนั้นมีเรื่องอะไรกันนะ
ไม่สิ นี่ไม่ใช่เวลามาเหม่อ เอาละ หายใจเข้า แล้วพูดออกมา ง่ายจะตายไป
ผมหายใจเข้าจนสุดปอด ไม่รู้ว่าเสียงลมเข้าไมค์หรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมไม่สนแล้ว
"ส…สวัสดีครับ พี่ เอ่อ ครูชื่อครูบี จักรวารนะครับ สอนวิชาอังกฤษ ฝ….ฝากด้วยนะครับ"
สิ้นเสียงผม เสียงปรบมือก็เข้ามาแทรกทันที แต่ไม่ใช่แบบที่บอลมันได้รับหรอกนะ เป็นเสียงเปาะแปะเหมือนเสียงฝนหยดลงหลังคาสังกะสีนั่นแหละ
ผมลงมาพร้อมความโล่งอกพลางยื่นไมค์ส่งต่อให้คนต่อไปแล้วมุ่งไปหาบอล
"เออ!! จะทำมันก็ทำได้นี่ไอ้บ้า" มันพูดไปหัวเราะร่าไป แต่สักพักก็ทำตาลอยแล้วพูดต่อ "ถึงจะลืมบอกชื่อเล่นไปก็เถอะ"
"เห้ย บอกไปแล้วไง" ผมเถียง ผมมั่นใจว่าพูดไปแล้วนะ
ไม่เอาแล้วนะ ผมไม่อยากให้ใครเรียกชื่อแก่ ๆ นั่นอีกแล้ว แค่ตอน ม.ปลาย สามปีก็พอแล้ว อย่าให้ชีวิตฝึกสอนของผมต้องถูกหลอกหลอนด้วยชื่อนี้อีกเลย
"อ้าวเหรอ งั้นก็คงจะพูดเบาละสิ ไม่ได้ยินหรอก" ว่าแล้วก็หัวเราะร่าอีกครั้ง "ฝากตัวด้วยนะไอ้ครูจักร" ขอบคุณนะไอ้บอล ไอ้เวร
"มึงก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ไอ้จักร" มันถอนหายใจแล้วพูดต่อ "นี่มึงจะมาฝึกสอนนะ มึงต้องสอนในห้องนะ ต่อหน้านักเรียนนะเว้ย ถ้าแค่นี้มึงทำไม่ได้ มึงจะสอนได้ยังไง"
"เออ ๆ กูรู้แล้วน่า" ผมรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ถึงจะเตรียมใจก่อนมาฝึกสอนยังไงก็ไม่เคยพร้อมสักที "ว่าแต่ มึงมองภาพตัวเองตอนเป็นครูออกเหรอวะ"
"อื่อ ก็ไม่ยากเท่าไหร่หรอก ก็แค่เป็นตัวของตัวเอง ตอนเรียนกูเกลียดครูแบบไหน กูก็จะไม่เป็นครูแบบนั้น"
"โห สุดยอดครูแห่งครูเลยแหะ"
"แล้วมึงอะ จะสอนแบบไหน"
"…ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย…"
"เห้อ กูละสงสารครูพี่เลี้ยงมึงจริง ๆ คงต้องเหนื่อยมากแน่" ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ "ว่าแต่มึงเจอครูพี่เลี้ยงมึงยัง ของกูโคตรตึง เหมือนใครนะ…. เอ่อ นั่นไง เหมือนสมชายน่ะ กูว่าชีวิตฝึกสอนกูไม่ชิวแล้วว่ะ"
ครูพี่เลี้ยงเหรอ จริงสิ ผมยังไม่ได้ไปทักหรือฝากตัวครูเขาเลยแหะ สิ่งที่รู้เกี่ยวกับครูท่านนี้ก็มีเพียงชื่อเท่านั้น
"ยังเลย กูรู้แค่ชื่อเขาแหะ เหมือนครูกูจะชื่อ ครูเคน ละมั้งถ้าจำไม่ผิด"
"เชี่ย"
เชื่อเถอะ ผมไม่เคยเห็นมันทำหน้าตื่นตะลึงอะไรขนาดนั้นมาก่อน ทำเอาผมขมวดคิ้วสงสัยจินตนาการไปต่าง ๆ นานา บอลมันคงสังเกตเห็นสีหน้าผมเลยพูดต่อ แต่สิ่งที่มันพึมพำออกมากลับไม่ได้ช่วยคลายความข้องใจผมเลยสักนิด
"มึงนี่…โชคดีฉิบหายเลยนะ"
โชคดีเหรอ มันหมายความว่ายังไงกันนะ