...
เช้าวันใหม่ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเข้าค่าย ลูกเสือทุกคนในวันนี้จะต้องเตรียมตัวใส่ชุดลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่กันเต็มยศห้ามลืมอะไรโดยเด็ดขาด เพราะจะต้องมีการเดินสวนสนามกันทุกคนทั้งลูกเสือ เนตรนารี และยุวกาชาด
ส่วนทางยุวกาชาดก็ได้นั่งรถมาจากสถานที่ ที่พวกยุวกาชาดไปเข้าค่ายมาซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากที่โรงเรียนมากนัก มาถึงที่โรงเรียนในเวลา 07.00 น. อาจารย์ประกาศให้นักเรียนทุกคนไปรับประทานอาหารกันที่โรงอาหาร และมารวมตัวกันในเวลา 08.00 น. เพื่อเข้าแถวเคารพธงชาติและปฎิบัติภาระกิจกันในตอนเช้าให้เสร็จ แล้วจะได้มีการเดินสวนสนามกันเป็นขบวนตามที่ได้เคยฝึกไว้ โดยจะมีวงดุริยางค์เดินนำขบวนไป และจะเดินออกไปด้านนอกของโรงเรียนผ่านคนในชุมชนและตลาดและเดินผ่านทะลุซอยเพื่อจะวนและกลับมาที่โรงเรียนอีกครั้ง กว่าจะเสร็จเรื่องก็เกือบๆจะสิบโมงครึ่ง ทั้งหมดเข้าพิธีปฎิญาณตน เป็นอันเสร็จพิธี อาจารย์จึงให้ทุกคนเดินทางกลับบ้านได้
พวกเด็กๆร่ำลากัน ต่างคนก็ต่างแบกกระเป๋าและสำภาระอันหนักอึ้ง ซึ่งในตอนเดินทางมาในวันแรกยังจะดูไม่เยอะอย่างเช่นตอนขากลับเลย พวกเขาทุกคนดูพะรุงพะรังและมอมแมม แต่รอยยิ้มของทุกคนนั้นดูเบิกบานและแจ่มใส…
...….
ณ ที่บ้านของทับทิม
ทับทิมไปโรงเรียนทุกวันตอนนี้เธออยู่ชั้น ป. 1 แล้วนะ และเธอก็มีเพื่อนที่สนิทที่โรงเรียนแล้วด้วย เพื่อนของทับทิมเป็นเด็กผู้หญิง ชื่อ ด. ญ. สายชล อัศมานนท์ ( ชล ) ทับทิมกับชลสนิทกันมากเพราะเธอเรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาล 1 เรื่อยมาเลยจนถึงตอนนี้ เวลากลับบ้านก็จะขึ้นรถของทางโรงเรียนพร้อมกัน และชล ( เพื่อนหญิงของทับทิม ) เธอยังมีพี่ชายอีก 1 คนด้วย พี่ชายของชลชื่อ ชัช ( ชัชวาล อัศมานนท์ ) เขาอยู่ชั้น ป. 5 แล้ว ชัชเป็นพี่ที่ดีกับน้องและเพื่อนของน้องด้วย เขาคอยดูแลน้องของเขาและเผื่อแผ่ไปถึงทับทิมด้วย บ้านของทับทิมอยู่ใกล้กว่าเธอจึงลงรถก่อนชลและชัชเสมอ
วันนี้เป็นวันเสาร์ พ่อของทับทิมไม่กลับบ้านนานเท่าไหร่แล้วเนี้ย.. มันนานมาก นานจนสุพัทราเริ่มผิดสังเกตุ พักหลังๆมาเธอไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่นัก เพราะมัวแต่ทำงานงกๆอยู่ทุกวัน ด้วยความที่เธอเป็นคนเก่ง และขยันหาเงิน อีกทั้งยังส่งเงินกลับไปบ้านนอกส่งให้ครอบครัว ( พ่อ - แม่ ) ของเธออีกด้วย
" ทับทิมเอ้ย…. อยู่ไหนลูก ? มาหาแม่หน่อยเร็ว " สุพัทราส่งเสียงเรียกลูกสาวของเธอ
" จ๋าาา.. แม่.. หนูอยู่นี่จ่ะ " เด็กหญิงขานตอบรับแม่ของเธอ
" วันนี้เราไปหาพ่อกันไหมลูก ? "
" ดีค่ะ!! ไปค่ะแม่.. หนูคิดถึงพ่อมากเลยค่ะแม่ "
" งั้น!! เราไปแต่งตัวกันลูก "
" หนูจะใส่ชุดสวยไปนะคะ จะได้สวยๆ "
" จ้า.. แต่งชุดสวยๆน้า " สุพัทรายิ้มให้กับลูกสาวตัวน้อยของเธอ และทั้งคู่ก็ไปเตรียมแต่งตัวสวยๆกัน
...
สองแม่ลูกไปถึงหน้าปากซอยที่อานนท์ ( พ่อของทับทิม ) ทำงานอยู่ สุพัทราแวะซื้อข้าวผัดที่ร้านอาหารตามสั่งก่อน 2 กล่อง เธอคงจะซื้อข้าวผัดไปเผื่ออานนท์ด้วย ส่วนกล่องของเธอค่อยแบ่งกันกินกับทับทิมลูกสาวของเธอ เพราะทับทิมกินน้อยส่วนตัวของเธอเองนั้นก็ยังไม่ค่อยจะหิวสักเท่าไหร่นัก
สุพัทราจูงมือลูกสาวของเธอเดินไปที่บ้านหลังใหญ่ที่มีประตูเหล็กบานใหญ่ปิดกั้นอยู่ หน้าประตูไม่มีคนเลย เธอจึงพาลูกสาวตัวน้อยของเธอเดินอ้อมไปทางประตูด้านหลัง และเธอก็หยิบกุญแจที่อานนท์เคยให้ไว้มาไขประตูบานเล็กที่สำหรับคนงานเข้าออกได้ สองแม่ลูกพากันเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน สวนหลังบ้านดูรื่นรมณ์ มีทั้งดอกไม้และไม้ประดับราคาแพงๆ ทั้งยังมีชิงช้าที่น่านั่งเล่นอยู่ภายในสวนแห่งนั้น สนามหญ้าที่เขียวขจีกับต้นไม้ใหญ่น้อย ที่มีทั้งไม้ดัด และไม้พุ่ม ดูจัดวางไว้เป็นระเบียบและสวยงาม แต่ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของอานนท์อยู่ดี
" เอ… ไม่ได้อยู่ในสวนนี่.. สงสัยจะไปเข้าห้องน้ำ "
สุพัทราพาทับทิมเดินมาเรื่อยๆจนมาถึงเรือนคนใช้ ( ที่นั่นเป็นที่พักของอานนท์นั่นเอง ) เธอเห็นประตูปิดเงียบจึงใช้โทรศัพท์ที่อยู่ด้านหน้าประตู มันมีลักษณะเหมือนออดกดกริ่งเสียมากกว่าแต่ก็มีหูฟังเหมือนโทรศัพท์โบราณ เธอยกหูกดออดอยู่สักพัก กว่าอานนท์จะออกมาเปิดประตูให้
" ทำอะไรอยู่ ? นอนหลับเหรอ ? " สุพัทราทำหน้านิ่ว
แต่พออานนท์เปิดประตูออกมา ภาพที่สุพัทราเห็น อานนท์นุ่งผ้าขาวม้าไม่ได้ใส่เสื้อ และมีผู้หญิงนั่งก้มหน้าอยู่ในห้องที่นุ่งเพียงผ้าขนหนูแค่ผืนเดียว
สุพัทราอึ้งกับภาพที่เธอเห็นไปชั่วครู่.. มือของเธอมันหมดซึ่งเรี่ยวแรงและกำลัง.. พลันอารมณ์โกรธก็พุ่งโพล่งพวยพุ่งขึ้นมาในทันใด สุดที่เธอจะทานทนไหว เธอเหวี่ยงถุงที่ใส่กล่องข้าวผัดที่ซื้อมาหน้าปากซอยเมื่อกี๊.. ใส่อานนท์และผู้หญิงคนนั้นไปอย่างแรง กล่องข้าวผัดที่ยังคงร้อนอยู่กระแทกไปที่หน้าของอานนท์ แรงเหวี่ยงกระแทกทำให้ข้าวในกล่องเปิดอ้าและกระจัดกระจายเกลื่อนไปบนพื้น อานนท์รีบวิ่งออกมาและคว้ามือของสุพัทราพาเธอออกมาจากห้องนั้น เขาปิดประตูล็อคเอาไว้เพื่อกันสุพัทราเข้าไปทำร้ายคนที่อยู่ในห้อง..
เหตุการณ์นี้.. ทับทิมเห็นโดยตลอด หนูน้อยเธอไม่เข้าใจว่าทำไม ? แม่ถึงโยนข้าวผัดทิ้งทำให้เธออดกินข้าวผัด และแม่ของเธอก็โวยวายใส่พ่อของเธอ เด็กหญิงตัวน้อยยืนด้วยความงุงงงและสงสัย ก่อนจะเดินถอยหลังมาที่เก้าอี้ม้านั่งหินอ่อน และปล่อยให้แม่คุยกับพ่อไป.. น้ำเสียงของแม่ดูฉุนเฉียว แต่พักเดียวเท่านั้น.. แม่ของเธอก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย.. และเธอคงเดินมาหาทับทิมและพาหนูน้อยกลับบ้านไป..
...
ทั้งสองแม่ลูกกลับกันมาถึงที่บ้าน สุพัทราแม่ของเธอล้มตัวลงนอนบนที่นอนในห้อง หล่อนไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ ทับทิมไม่เคยเห็นแม่ของเธอเป็นแบบนั้นมาก่อนเลย หนูน้อยสงสัยแต่ไม่กล้าที่จะถามหรือแม้กระทั่งจะเอ่ยคำพูดใดใดออกไป เธอยังคงเห็นแม่ของเธอนอนนิ่งเงียบแบบไม่ไหวติงอยู่บนที่นอนนั้นอยู่
ด้วยความที่หนูน้อยทับทิมยังไม่ได้กินข้าวเธอจึงรู้สึกหิวข้าวขึ้นมา เธอคิดว่าแม่คงจะง่วงนอนและนอนหลับไปแล้วทับทิมเลยเดินออกมาเพื่อไปหาสร้อยผู้เป็นย่าของเธอ สร้อยกำลังทำพรมเช็ดเท้าอยู่ และมีน้องโอมกำลังคลานเล่นกับอาเล็กอยู่ใกล้ๆกับสร้อยย่าของเธอ ส่วนน้องออยนั้นหลับปุ๋ยอยู่ในเปล สร้อยเห็นหลานสาวเดินเข้ามา เด็กน้อยทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง เธอเลยถามหลานสาวของเธอไป
" อ้าว… ทับทิม ไม่ได้ไปหาพ่อมาหรอลูก ? "
ทับทิมพยักหน้าตอบรับย่าของเธอ ก่อนจะตอบออกไปว่า
" ไปมาแล้วค่ะ แต่…. ย่าจ๋า… หนูหิวข้าว… "
สร้อยงุนงง กับคำพูดของหลานสาว
" อ่าว.. นี่มันบ่ายสองโมงแล้วนี่!! อะไรกัน!! ทำไมยังไม่ได้กินข้าวล่ะลูก ? แล้วแม่ของหนูไปไหนกันจ๊ะ ? "
สร้อยรีบไปหาข้าวให้หลานสาวของตน เธอเปิดตู้กับข้าวดู ภายในตู้กับข้าวนั้นมีแกงส้ม กากหมูที่เธอเจียวเอาไว้เอง และน้ำปลาที่อยู่ในถ้วย
" มีแต่กากหมูที่หนูพอจะกินได้ แกงส้มมันเผ็ดกินได้ไหม ? เอ่อ.. เคยกินกากหมูรึเปล่าลูก ? " สร้อยถามทับทิม
" หนูไม่เคยกินทั้งแกงส้มและกากหมูเลยค่ะย่า " หนูน้อยตอบด้วยความสัตย์จริง
" อืม… กับข้าวที่บ้านย่าก็เป็นแบบนี้แหละลูก มา!! งั้นลองมากินดูก่อนนะ "
ทับทิมนั่งลงกินข้าวที่ย่าตักให้เธออย่างว่าง่าย เธอเอากากหมูลองจิ้มกับน้ำปลาในถ้วยแล้วเอาใส่ปากลองชิมดู หนูน้อยเคี้ยวอาหารที่แปลกใหม่สำหรับเธอ เมื่อรู้รสหนูน้อยก็ส่งยิ้มหวานให้กับสร้อยผู้เป็นย่าของเธอ
" มันอร่อยมากเลยค่ะย่า "
" จริงเหรอ ? งั้นกินข้าวไปเยอะๆเลยนะ ลองกินแกงส้มด้วยไหม ? แต่มันเผ็ดนิดหน่อยนะ "
หนูน้อยลองตักแกงส้มมะละกอที่ย่าบอกมาใส่ปาก พอเธอรู้รสชาติก็ร้องหาน้ำในทันที
" ย่าขา.. หนูขอน้ำหน่อยค่ะ มันเผ็ดจัง "
สร้อยรีบกุลีกุจอนำน้ำมาให้หลานสาวของเธอดื่ม พร้อมกับหัวเราะขบขันในตัวของเด็กหญิง
" อะไรกัน ? ย่าก็บอกว่ามันเผ็ดนะ หนูคงยังจะกินไม่ได้ แต่อาเล็กกินแกงส้มได้แล้วนะ " สร้อยหันไปชมอาเล็ก
" ใช่!! อาเล็กกินแกงส้มเป็นแล้ว.. อาเล็กเก่งกว่าทับทิม ใช่ไหมแม่ ? " อาเล็กคุยอวดและหันมาถามสร้อย
" ใช่แล้วจ้า.. ก็อาเล็กเป็นอาของทับทิมนี่ อาเล็กก็เลยเก่งกว่าน้อง แต่ว่าอีกหน่อย เดี๋ยวทับทิมก็กินเผ็ดได้แล้วล่ะนะ "
" ค่ะ.. แต่หนูว่ากากหมูอร่อยกว่าแกงส้มนะคะย่า หนูชอบกิน " ทับทิมตั้งหน้าตั้งตากินข้าวจนหมดจานแล้วเธอก็ขอข้าวกับสร้อยเพิ่มอีก
" เอาข้าวอีกค่ะย่า "
" โอโฮ.. จะกินหมดเหรอลูก งั้นเอาน้อยๆนะชามนี้ เดี๋ยวจะกินไม่หมดเอา แต่ถ้าไม่พอค่อยเติมข้าวใหม่นะลูก "
ทับทิมก้มหน้าก้มตากินจนข้าวหมดชาม สร้อยเก็บกับข้าวเข้าที่และนำชามไปล้างคว่ำไว้ ก่อนจะถามหลานสาวให้คลายความสงสัย
" แล้วไปหาพ่อกันยังไงถึงได้หิวซกมาแบบนี้ล่ะลูก ? "
" ก็.. ตอนแรกนะคะ แม่ก็ซื้อข้าวผัดไป บอกกับหนูว่าไปกินกับพ่อที่ทำงานของพ่อกัน แล้วพอไปถึง แม่ก็โยนข้าวทิ้งเลยค่ะย่า "
" ห๊า!!… โยนข้าวทิ้งเนี้ยนะ!! ทำไมแม่ของหนูถึงทำแบบนั้นล่ะ "
" หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะย่า แต่แม่เสียงดังดุพ่อใหญ่เลย หนูกลัว.. เลยไม่กล้าถามแม่.. "
" อืมๆ.. ไม่เป็นไรนะ ดีแล้วล่ะลูก ทีหลังถ้าหิวข้าวนะ ก็มากินที่บ้านย่านี่แหละ " สร้อยปลอบหลานสาวของเธอทางอ้อม เธอไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีกเพราะรู้ว่าพ่อแม่ของหนูน้อยคงจะทะเลาะกัน แต่ด้วยความผิดแปลกจึงทำให้สร้อยอยากรู้ความเป็นจริง จึงเอ่ยถามหลานสาวไปว่า
" แม่ของหนูอยู่บ้านไหมจ๊ะ "
" อยู่ค่ะ หนูเห็นแม่นอนอยู่ "
" เอ๋อ.. จ้า งั้นอยู่เล่นกับอาเล็กไปก่อนนะ อย่าเสียงดังไปล่ะ เดี๋ยวน้องออยจะตื่น เดี๋ยวย่ามา " สร้อยอุ้มโอมไปด้วย และให้ทับทิมเล่นกับอาเล็กไป แบบเงียบๆ เธอเดินมาที่ห้องของสุพัทรา ประตูห้องยังคงไม่ได้ล็อค สร้อยเปิดเข้ามา เธอเห็นลูกสะใภ้นอนคดตัวงอเหมือนกุ้ง
" หลับรึเปล่าแม่ทับทิม ? " สร้อยเรียกสุพัทราผู้เป็นลูกสะใภ้
สุพัทราหันมามอง และลุกขึ้นนั่ง ท่าทางของเธอเหมือนคนกำลังคิดอะไรอยู่
" ยังจ่ะแม่ " เธอเอามือเสยผมจัดให้เข้าทรง เพราะเธอคิดว่าผมของเธอคงกำลังยุ่งเหยิง
" เรื่องมันเป็นยังไงเหรอ ? ทำไมทับทิมถึงไม่ได้กินข้าวจนต้องมาขอข้าวที่บ้านแม่กินด้วยล่ะลูก ? ทะเลาะอะไรกันบอกแม่ได้ไหม ? "
เมื่อสุพัทราได้ยินแบบนั้น.. สมองของเธอก็ตื้อ.. หูก็อื้อขึ้นมาในบัดดล.. เธอรู้สึกเจ็บที่หัวใจจนจุกแน่นข้างในอกไปหมด เธอคงยังพูดไม่ออกและความรู้สึกของเธอก็หมดความอดทน เธอก้มหน้าพลันน้ำในตาของเธอก็เอ่อล้นจนบังคับแทบไม่ได้ มันไหลออกมาโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ สร้อยรู้สึกตกใจเมื่อเห็นลูกสะใภ้ของเธอที่เคยเป็นคนเก่งกล้าไม่เคยยอมใคร ต้องมาทำหน้าตาและร้องให้แบบนี้ สุพัทราไม่ได้สะอึกสะอื้นแต่อย่างใด เธอเพียงกลั้นน้ำตาที่เธออดทนอดกลั้นไว้อยู่ไม่ได้ น้ำตาของเธอคงไหลอยู่แต่หน้าตาของเธอนั้นเหมือนคนที่กำลังโกรธแต่ระบายออกมาไม่ได้ เธอเช็ดน้ำตาของตัวเอง และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนปรกติไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นให้แต่อย่างใด
" ขอบคุณแม่ด้วยนะที่ดูแลทับทิมให้กับหนู หนูฝากทับทิมกับแม่ไปก่อนนะ เพราะตอนนี้หนูยังคงคิดอะไรไม่ออกเลย "
" มีเรื่องอะไรกัน ? ทำไมแม่ทับทิมถึงเป็นแบบนี้ ? "
" อานนท์มีผู้หญิงอื่นค่ะ.. หนูไปเจอพวกเค้าสองคนอยู่ด้วยกันที่บ้านพักคนงานที่เขาทำงานอยู่.. พวกเค้า… " เธอหยุดพูดแล้วทำหน้าแบบฝืนใจจนพูดไม่ได้
" อะไรนะ!? อานนท์น่ะหรือ ? ทำไม.. ? " เสียงของสร้อยดูตกใจและผิดหวังในตัวลูกชายของเธอเป็นอย่างมาก และฉับพลันสร้อย เธอก็โมโหและถามสุพัทราว่า
" พวกมันอยู่กันที่ไหน ? เดี๋ยวฉันจะไปเอาเลือดหัวของพวกมันเอง " สร้อยโกรธจนลืมไปว่าตอนนี้น้องโอมยังคงนั่งอยู่ข้างๆ
" ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ เดี๋ยวอีกหน่อยพวกเขาก็มากันเองแหละ เราไม่ต้องไปตามหาเขาหรอก เพราะฉันจะไปแจ้งเจ้านายของเขาเองว่าขอเงินเดือนของสามีของฉันทั้งหมดมาให้แก่ฉัน โดยฉันจะเป็นคนรับเงินเดือนของอานนท์ทั้งหมดเอง เพราะอยู่ที่นั่นเขาคงมีกินไม่ได้อดอยากอะไร แต่เขาจะได้ไม่มีเงินพอเลี้ยงผู้หญิง ถ้าผู้หญิงมันอยากได้ผัวของฉันจริงๆก็เอาไปแต่ตัวนั่นล่ะ!!.. อย่าคิดว่าจะมีเงินไปปรนเปรอกันหรอก!?.. อย่างน้อยก็ให้อานนท์ได้รับรู้ว่าใครกันแน่ที่สมควรต้องเจ็บปวด และฉันต้องได้รับทุกอย่างตามสิทธิของฉัน ดูซิ.. ว่าเงินหมดแล้วจะอยู่กันต่อได้ไหม ? " สุพัทราพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววตาของเธอดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
" มันจะใจดีกับพวกมันเกินไปน่ะสิ!! ยังไงแม่ก็ไม่ยอมรับ!! ไอ้คนเห็นแก่ตัวแบบนี้อย่างเด็ดขาด.. " สร้อยยังคงโมโหโกรธลูกชายของเธออย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง
" แม่คะ.. ถ้าแม่ออกไปเอาเลือดหัวเขาในตอนนี้.. หนูว่าพวกเขาคงหนีแม่กันไปหมดแล้วค่ะ ไม่ทันแน่ๆเพราะพวกเขารู้ตัวกันแล้วไงคะ แต่ถ้า.. พวกเขาไม่มีเงินหรือเงินหมดเมื่อไร ? พวกเขาจะกลับมาให้แม่ตีหัวเองค่ะ แม่จะเอากี่แผลก็ได้หนูไม่ห้ามหรอก!! ยังไง.. ยังไง.. หนูก็จะไม่ยอมเสียเปรียบแต่เพียงผ่ายเดียวหรอก " ดวงตาของสุพัทราเป็นประกายไม่ได้หม่นหมองเหมือนอย่างเช่นในตอนแรกที่สร้อยเห็น สร้อยจ้องมองลูกสะใภ้ของเธอด้วยความกังวล
" ก็ดีเหมือนกัน.. สมน้ำหน้าพวกมัน!! อย่าได้มีเงินกินมีเงินใช้กันเลย.. เลวจริงๆ.. ทำไมลูกฉันถึงเป็นคนแบบนี้ มีลูกมีเมียอยู่แล้วยังไม่พอใจ ยังมักมากมักง่ายหาเศษหาเลยอะไรแบบนี้อีก ฉันผิดหวังและเสียใจจริงๆเลยแม่ทับทิม ฉันต้องขอโทษแทนลูกชายของฉันด้วยนะ แต่ฉันไม่มีทางให้อภัยพวกมันได้หรอก " สร้อยยังคงเคียดแค้นในตัวของลูกชายของเธอ หัวใจเต้นแรงจนอกแทบจะระเบิดออกมา ใจของสร้อยเต้นเร็ว.. แรง.. และคงไว้ซึ่งความถี่
' ในช่วงเวลานี้.. ใครกันนะ ?.. ที่จะสามารถทำให้ใจของสร้อยหายโกรธและคลายกังวล '