webnovel

ระบบตกหนอนหนังสือไปเปิดไฟท์ที่ต่างโลก

ตอนที่ 4

อีกสิบวันถึงวันรวมตัวเดินทางไปลานประลองซึ่งศิษย์ที่จะเข้าร่วมประลองทดสอบไม่จำกัดจำนวน ต่างเตรียมตัวกันอย่างคึกคัก ทั้งที่ยุ่งมากยังมีบางคนเจียดเวลาอันล้ำค่ามาถากถางคนขี้ริ้วถึงที่

"ไงล่ะขยันฝึกแทบตายสุดท้ายสวะก็ยังเป็นสวะอยู่ดี ชาตินี้เจ้าเลิกหวังสร้างชื่อดีกว่าไหมผานเฉียงเต้า" เสอทุ่ยกับอีกสี่คนต่างมาเยาะเย้ยด้วยการติดของวิเศษเต็มตัวมาแบบกะอวดราวเด็กๆ

"ช่างน่าสงสารท่านอาวุโสกังจวี้เหลือเกิน ศิษย์เช่นนี้ทำชื่อเสียงด่างพร้อยหมด"

"เจ้าสวะอย่าได้โผล่หน้าไปให้ใครเห็นเลยนะเว้ยพวกข้าอายแทน"

คำพูดถากถางเหน็บแนมมากมายไม่ได้สะเทือนคนขี้ริ้วสักนิด เจ้าตัวยังคงฟาดกระบี่ไม้ใส่อากาศต่อไป

ไอ้บทดูถูกคนอื่นนี่มันต้องมีในทุกเรื่องเลยใช่ไหม แต่ก็นะเพิ่มสีสันให้เห็นว่าตัวประกอบแบบนี้ใช้แล้วทิ้งของจริง แต่ทำไมตัวประกอบต้องมากระแนะกระแหนใส่ตัวประกอบใช้แล้วทิ้งด้วยกันฟะ ควรเอาบทแบบนี้ไปใส่กับตัวเอกทั้งหลายไม่ใช่หรือ อ้อ ลืมไป เนื้อเรื่องตอนนี้ไม่เกี่ยวกับต้นฉบับจริงฉะนั้นมีอะไรไม่ตามเส้นเดิมก็ปกติแหละนะ

"เชอะทำเมินหรือ" ในเมื่อผานเฉียงเต้าทำเป็นไม่สนใจ เสอทุ่ยจึงซัดพลังใส่ข้อพับเข่าทำคนขี้ริ้วหงายหลังกระแทกพื้นโครมใหญ่ อีกสี่คนที่มาด้วยหัวเราะกันครืน

จินตกชอยากเอากระบี่ไม้ในมือฟาดให้เสียคนละที แต่รู้ตัวดีว่ายามนี้เปล่าประโยชน์ลุกขึ้นจากพื้นยังต้องเอากระบี่ยันพื้น วิ่งไล่ตีเจ้าพวกนั้นฝันเอาเถอะ

"ข้าไม่เข้าใจแฮะว่าทำไมพวกเจ้าถึงมาเสียเวลาแกล้งข้าอยู่อีก ไม่ใช่ว่าตอนนี้เขาเรียกรวมพลเพราะมีแขกสำคัญมาเยือนหรือไง ไปช้านี่อยากโดนลงโทษหรืออยากเป็นจุดสนใจล่ะ"

เสียงคล้ายกระดิ่งทองเหลืองถูกตีดังกังวานมาครู่หนึ่งแล้วแต่เจ้าห้าคนนี้ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น ครั้นพอจินตกชพูดแบบนั้นต่างมีสีหน้าเหลอหลาวูบหนึ่งก่อนกลายเป็นตื่นตระหนก

"บ้าเอ๊ย! เสียงมันดังตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!"

"ทำไมไม่ได้ยินแต่แรกเนี่ย!"

ทั้งห้าคนทิ้งความสนใจคนขี้ริ้วต่างวิ่งหน้าตั้งกลับไปยังโถงหน้า ซึ่งจินตกชมั่นใจว่าไม่ทันแน่นอนต่อให้ท่องกระบี่ก็ตามในเมื่อลานฝึกนี้อยู่ห่างจากโถงใหญ่รับแขกข้ามเขาสองลูกนี่นา ภูเขาแต่ละลูกมีสะพานทอดไล่ระดับลงไปถึงยี่สิบตัวแต่ละตัวยาวหนึ่งลี้

ขนาดฉันเปิดใช้ทักษะเต็มอัตรายังไม่มั่นใจว่าจะทันเลย แต่...

"ทำไมเจ้ายังอยู่แถวนี้?" บุรุษหล่อเหลาเกินผู้เกินคนนั่งหลบมุมสายตาคนอื่นอ่านคัมภีร์อะไรไม่รู้ท่าทางตั้งใจเสียเต็มประดายังไม่มีทีท่าขยับก้นจากที่นั่ง "หรืออยากลองโดนท่านเจ้าสำนักลงโทษดูบ้างล่ะนั่น" เดี๋ยวนี้จินตกชชินแล้วกับการมีพระเอกมานั่งเล่นอยู่ในลานฝึกเล็กแห่งนี้ แรกๆ ว่าประหลาดเหมือนพระเอกวางแผนใดไว้หรือเปล่าครั้นมาทุกวันไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากอ่านคัมภีร์ที่ถือติดมาบ้างนั่งสมาธิเฉยๆ บ้างนั่งโง่ๆ มองท้องฟ้าไม่มีรบกวนการฝึกฝนของเขาสักนิดเลยช่างเขาเถอะ

"แค่โถงหน้าข้าบินไปไม่ถึงหนึ่งจิบชาก็ถึงแล้ว" ลู่เยวี่ยสือยังไม่ละสายตาจากคัมภีร์ในมือ

ครับพ่อคุณ พ่อเทพมาเอง แต่ทำไมชอบมาอยู่แถวนี้ตลอดเลยฟะ ตั้งแต่อาจารย์ปิดด่านไปพระเอกก็โผล่มาสิงลานนี้แทนเสียอย่างนั้น ให้บอกว่ามาจับตาดูฉันก็ไม่น่าใช่ ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น

"เจ้าตอบไม่ตรงที่ข้าถาม" จินตกชจงใจใส่แรงกดดันในเสียงทว่าพ่อคุณแค่เหลือบตามามองแวบหนึ่งแล้วปิดคัมภีร์

"แค่หาที่เงียบๆ อ่านหนังสือ"ตอบพลางเรียกกระบี่วิเศษประจำตัวออกมา "ดังที่เจ้าพวกนั้นพูดนั่นแหละ ตั้งใจจะเป็นสวะอีกนานแค่ไหน ทั้งที่ตุ้มถ่วงแค่นั้นเจ้าใช้มันฟาดคนพวกนั้นยังได้"

คนขี้ริ้วยักไหล่ "ท่านอาจารย์ให้ข้าเลิกเป็นสวะเมื่อไหร่ข้าก็เลิกเมื่อนั้นแหละ"

ลู่เยวี่ยสือส่ายหน้าและกระโดดขึ้นกระบี่บินออกไปอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เวลาอยู่ในที่มีคนขี้ริ้วอยู่เขาจะรับรู้ได้ถึงความสงบของจิตรอบๆ ราวมีกำแพงบางอย่างแผ่ออกไปปิดกั้นอารมณ์มากมายของผู้คนไม่ให้เข้ามากระทบได้อย่างไร้ที่ติ แม้แต่เข้าไปปิดด่านเลื่อนขั้นยังหาความสงบระดับนั้นไม่ได้

'เจ้ามีพลังใดกันแน่ ผานเฉียงเต้า'

พระเอกเผ่นหายลับตาไปแล้วจินตกชถึงวางกระบี่ไม้ลงแล้วยกมือเปล่าข้างหนึ่งขึ้นเหนือหัว "ลองใช้สักหน่อยละกัน" รวบรวมพลังไว้ที่มือข้างนั้นแล้วตวัดออกไป "สะบั้นสุญญากาศ!" ผลการฝึกมาสองปียามนี้ยังติดตุ้มถ่วงทว่าฟาดฟันออกไปได้สิบกว่าเมตรแล้ว จากที่แต่ก่อนสองเมตรก็กระอักลงไปชักกระแด่วๆ "แบบนี้ค่อยใจชื้นหน่อย ถ้าปลดตุ้มถ่วงออกคงได้สองร้อยสามร้อยเมตรแน่"

สองมือขยับแบบอยากบีบคอใครสักคน และใครที่ว่าไม่พ้นพระเอกนั่นแหละ

"ทำอย่างไรดี จนตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะส่งพระเอกเข้าไปปิดด่านเทินดาร์กได้ยังไง อินจัน"

'ระบบพร้อมให้บริการทุกเวลา แต่โฮสต์ไม่ใช่อินจันสิ'

"ภารกิจมีกำหนดเวลาไหม ฉันรู้สึกว่าเสียเวลาไปมากยังไม่รู้จะทำให้สำเร็จได้ไงเลยเนี่ย" หรือฉันเทินดาร์กเสียเองดีฟะ

'ภารกิจไม่มีกำหนดเวลา อย่างไรในโลกเทพเซียนการเรียนรู้ต่างๆ ย่อมใช้เวลาหลายสิบปี ความสัมพันธ์ต่างๆ ก็เช่นกัน โฮสต์เคยอ่านนี่นาไม่มีเทพเซียนเรื่องไหนใช้เวลาสั้นในการดำเนินเรื่องสักเรื่องเผลอๆ อาจหลายร้อยปี แต่สำหรับผู้เดินเล่นมันก็แค่ครู่เดียวอยู่ดี'

"ก็จริง ว่าแต่ในเรื่องนี้มีผู้เดินเล่นคนอื่นนอกจากฉันหรือเปล่า ถ้ามีจะได้ระวังไว้" จินตกชไม่อยากเจอคนแบบโรซสักเท่าไหร่

'มีหรือไม่โฮสต์เห็นก็รู้ได้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลนี่นา หรือคุณกลัวคนอื่นมาแย่งทำภารกิจ ซึ่งเรื่องนั้นไม่ต้องกังวล ผู้เข้ามาเดินเล่นจะได้รับภารกิจต่างกัน'

"นั่นแหละน่ากังวล ถ้าภารกิจเดียวกันคงหาแนวร่วมมาช่วยกันได้บ้าง แบบนี้ฉันก็ลำบากอยู่คนเดียวสิ" จินตกชหยิบกระบี่ไม้ขึ้นมาฟาดอากาศต่อ "แต่แบบนี้แสดงว่ามีคนที่เข้ามาเดินเล่นคนอื่นแน่นอน คนเดิมหรือคนใหม่?"

'ระบบไม่ได้รับรายละเอียดตรงนี้ ฉะนั้นจะรู้ก็เมื่อเจอผู้เดินเล่นคนอื่นที่ว่านั่นพร้อมโฮสต์"

"ช่างเถอะ ว่าแต่มีคำแนะนำอะไรบ้างไหม วิธีเตะโด่งพระเอกไปปิดด่านเทินดาร์กเนี่ย... อย่าเงียบสิ เฮ่ ระบบ อินจัน... ให้คำปรึกษาหน่อยก็ไม่ได้" ต่อให้อยากโวยอีกแต่ไม่มีใครอยู่ฟังแล้ว เจ้าตัวเลยฝึกฟาดฟันกระบี่คนเดียวต่ออีกครู่หนึ่งก่อนหยุดพักแล้วเลื่อนมือหยิบหยกพกรูปดอกกล้วยไม้ขนาดเล็กจิ๋วออกมาดู

เอาไว้เผื่อฉุกเฉินงั้นหรือ...

หยกชิ้นนี้กังจวี้ให้ไว้นั่นเอง ส่วนจินตกชจะใช้มันหรือไม่ยามนี้ยังไม่รู้ แต่เจ้าตัวขอไม่ต้องใช้จนภารกิจสำเร็จคงดีที่สุด จินตกชไม่ชอบการเจ็บตัวเลยสักนิดกลับตัวตอนนี้น่าจะไม่ทันแล้วแน่ๆ ฉะนั้นหาเรื่องเจ็บตัวให้น้อยที่สุดแทนละกัน

โถงหน้าของสำนักใช้รับรองแขกผู้มาเยือนยามนี้เต็มไปด้วยแถวศิษย์ในสำนักยืนอย่างเป็นระเบียบเป็นการอวดศักดาของฮู่ซานต่อสายตาผู้มาเยือน

"สำนักท่านยังคงยิ่งใหญ่ไม่มีถดถอยเหมือนบางที่จริงๆ" ผู้มาเยือนมีร่างสูงใหญ่ท่าทางองอาจประดุจนักรบ สร้างความยำเกรงให้ผู้พบเห็นได้แบบไม่ต้องแสดงอะไรก็ทำแต่ละคนไม่กล้ามองหน้าตรงๆ แล้ว

"ท่านกล่าวหนักไปแล้ว สำนักฮู่ซานสองสามปีนี้หาศิษย์ยอดเยี่ยมไม่ได้สักคน" เจ้าสำนักฮู่ซานเป็นบุรุษร่างสูงผอมท่าทางเจ้าเล่ห์ไม่น่าคบหาสักนิด ทว่ากลับมีทั้งฝีมือและพลังล้ำเลิศอย่างหาผู้เทียบเทียมยาก ฉะนั้นไม่น่าคบเพียงใดเมื่อมีผลประโยชน์ย่อมมองข้ามได้ทั้งนั้น "ข้านึกว่าพวกท่านจะไปรอที่สนามทดสอบเลยเสียอีก แวะมาที่นี่ก่อนมีธุระใดเช่นนั้นหรือ? ท่านเจียงเจินกู" เจ้าสำนักถามตรงประเด็น

เจียงเจินกูหัวเราะเสียงดัง "แค่อยากเห็นผู้สืบทอดของท่านก่อนผู้ใดเท่านั้นเอง ได้ข่าวว่ารูปงามยิ่งแล้วยังฝีมือล้ำเลิศ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นท่านว่าจริงไหม" กล่าวแล้วกวาดตาไปทั่วแน่นอนว่าเป้าหมายยังไม่โผล่มา เพราะยามนี้ยังท่องกระบี่จากลานด้านหลังกลับมาอยู่

สายลมวูบใหญ่พัดมาพร้อมกลิ่นหอมเย็นของเครื่องหอมชั้นสูงซึ่งไม่รู้ว่าปรุงมาจากสิ่งใดบ้างนั้นทำให้กลุ่มผู้มาเยือนซึ่งมีจำนวนเกือบร้อยคนหันไปมองทางที่ลมพัดมาอย่างพร้อมเพรียง แล้วต้องตาค้าง

บุรุษสูงสง่าในชุดสีขาวบนกระบี่ไร้ที่ติทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งบุคลิกแล้วยังพลังทิพย์ที่รับรู้ได้ว่าโดดเด่นเกินใครเทียม

"ศิษย์ลู่เยวี่ยสือคารวะท่านอาจารย์เจ้าสำนัก ขออภัยที่มาช้าขอรับ" เจ้าตัวค้อมหัวลงอย่างนอบน้อมกล่าวอย่างสุภาพ

"เจ้าออกตรวจตราความเรียบร้อยทั่วฮู่ซานตั้งแต่เช้ากลับมาในเวลานี้ได้ถือว่าเร็วมากแล้ว เจ้าอย่าได้รู้สึกผิดเลย"

"นี่เองหรือศิษย์รักของท่าน เอียนฮุยจง" เจียงเจินกูกวาดตามองชายหนุ่มชุดขาวหัวจรดเท้าพลางทึ่งออกทางสีหน้า "ช่างน่าเสียดายนักที่สำนักข้าไร้คนดองกับสำนักท่านได้ อ๊ะ จะว่าไปลูกสาวคนเล็กของข้าก็พอใช้ได้นา"

คำพูดของเจียงเจินกูทำคนของเขาร้อยกว่าคนชักสีหน้าไม่พอใจต่อลู่เยวี่ยสือทว่ายังพอรู้ว่าอีกฝ่ายเหนือกว่าจริงดังว่า คนไหนก็เทียบไม่ได้

"ลูกสาวคนเล็กท่านพามาด้วยหรือ?" เอียนฮุยจงปรายตาไปทางคนของเจียงเจินกู

"ถูกแล้วนางรบเร้าให้ข้าพาไปดูการทดสอบครั้งนี้ให้ได้ เอี๋ยนเอ๋อ มาคารวะท่านอาเอียนฮุยจงสิลูก" หันไปยิ้มกว้างทางกลุ่มคนของตน "เอี๋ยนเอ๋อล่ะ?" เจ้าของชื่อไม่เดินออกมาให้เห็นสักที

"ท่านเจ้าสำนัก... คุณหนูเล็กหายไปไหนไม่ทราบขอรับ ตอนเดินเข้ามายังอยู่เลยขอรับ" คนรายงานตัวสั่นเหงื่อแตกซิก

"ว่าไงนะ ลูกข้าหายไปไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พวกเจ้าดูแลคุณหนูกันยังไง!" ไอพลังน่ากลัวระเบิดออกมาชั่วแวบแค่นั้นก็ทำให้ศิษย์ของทั้งสองสำนักล้มคะมำไม่เป็นท่าตามกันไป มีแค่ไม่กี่คนยืนอยู่ได้แน่นอนว่าพระเอกคือหนึ่งในคนกลุ่มนั้น

"อาวุโสเจียงใจเย็นก่อนขอรับ หากบุตรตรีของท่านหายไปในเขตฮู่ซานข้าจะให้ศิษย์ทั้งหมดช่วยตามหาเอง" เอียนฮุยจงพยักหน้าให้ลู่เยวี่ยสือ เขาคงให้คนอื่นมาวิ่งไปทั่วในบ้านตนเองไม่ได้

"ขอรับท่านอาจารย์" ลู่เยวี่ยสือรีบสั่งการให้ศิษย์ทั้งหมดออกไปตามหาคุณหนูเจียงอวี้เอี๋ยนทันที ความกว้างของสำนักฮู่ซานต้องใช้เวลาพักหนึ่ง เอียนฮุยจงให้ศิษย์ส่วนหนึ่งรับรองคนของเจียงเจินกู ตนก็นั่งรออยู่ในโถงรับรองพลางชวนคุยสัพเพเหระไปเรื่อย

"แย่จริงหลงทางเสียแล้ว" มือเรียวสวยยกขึ้นป้องตาขณะกวาดมองจากบนยอดไม้สูงไปทั่วบริเวณแล้วขมวดคิ้วมุ่น "เพราะอากาศดีวิวสวย แค่เผลอเดินเล่นหน่อยเดียว ใครจะคิดว่ากว้างขนาดนี้ซ้ำแถวนี้ไม่มีใครให้ถามทางได้เลยด้วย ทำอย่างไรดี" บ่นไปหันมองไปทั่วและไปสะดุดเข้าที่ร่างหนึ่งไกลลิบ "ตรงนั้นมีคน" รีบทิ้งดิ่งลงพื้นแล้วทะยานไปยังทิศที่มองเห็นคนทันที

แค่อึดใจเดียวก็มายืนในลานเล็กที่มองเห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่เมื่อครู่ "พี่ชาย ข้าหลงทางท่านพอบอกหน่อยได้ไหมว่าตรงนี้คือที่ไหน?"

[คุณเจอผู้เข้ามาเดินเล่น อิลิเลีย]

อีกแล้วหรือ!?

คนขี้ริ้วสะดุ้งเฮือกหันไปทางต้นเสียงอย่างอัตโนมัติ นั่นทำเอาคนทักชะงักอึ้งราววิญญาณเผ่นออกจากร่าง

สาวน้อยวัยสิบสี่สิบห้าก้มหน้าลงถามเสียงตะกุกตะกะ "ทะ ท่านพอจะบอกข้าสักหน่อยได้ไหมเจ้าคะ ว่าตรงนี้คือที่ไหน?"

คราวนี้ไม่เปลี่ยนเพศแล้วนี่ หน้าตาจัดว่าดีเชียวแหละแต่แบบนี้ไม่น่าใช่โฉมงามอ่อนแอนี่นา

"ทางนั้น ข้ามเขาไปสองลูกก็ถึงโถงใหญ่รับรองแขกแล้ว" จินตกชตอบเสียงห้วนแล้วหันกลับไปฝึกกระบี่ต่อ

"ท่านทราบได้อย่างไรว่าข้าจะไปโถงรับรองแขก?" สาวน้อยเงยมองซึ่งยามนี้เขาหันหลังให้อยู่

"ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ไม่มีการรับศิษย์ใหม่และวันนี้มีแขกมาเยือน ถ้าคนแปลกหน้าไม่ใช่แขกก็คือผู้บุกรุกนั่นแหละ แต่เจ้าไม่มีจิตสังหารฉะนั้นตัวเลือกเหลือแค่แขกที่หลงทางมา" ปากตอบไปมือตวัดกระบี่ออกท่าฟาดฟันเรื่อยไป

"พี่ชายน่าทึ่งมาก มีเหตุผลช่างสังเกต ข้าชื่อเจียงอวี้เอี๋ยน ขอทราบนามท่านได้ไหม?" รอยยิ้มเป็นมิตรราวลูกหมาตัวน้อยจับจ้องคนขี้ริ้วที่เริ่มเลิ่กลั่ก

"บอกทางให้แล้วรีบไปเสีย มันเกะกะการฝึกซ้อมของข้า" จินตกชตอบไม่ตรงแถมไล่ส่งอีกต่างหาก

สาวน้อยหน้าหงอยลงฉับพลัน "ขอโทษเจ้าค่ะ" แล้วถอยหลังเดินช้าๆ พอดีมีกระแสลมกรุ่นกลิ่นหอมบางเบาพัดมาให้เงยหน้ามอง

"เจ้าใช่คุณหนูเจียงอวี้เอี๋ยนหรือไม่?" บุรุษร่างสูงโปร่งบนกระบี่วิเศษถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มทรงอำนาจ

"ว้าย นี่มันคืออะไรคะ ร่างกายสัดส่วนทองคำ ดูแข็งแกร่งประดุจทวยเทพบนแดนสวรรค์ ดวงตาประกายระยิบระยับยิ่งกว่าแสงจากดวงดาว ผิวขาวราวกระเบื้องเคลือบชั้นดีตีราคาไม่ได้ น้ำเสียงทรงอำนาจเสมือนเสียงมังกรไพเราะยิ่งกว่าเครื่องดนตรีในมือเทพดวงอาทิตย์ นายแบบชิดซ้าย ดาราชิดขวาช่างเจิดจ้าบาดนัยน์ตาอะไรแบบนี้!!"

เพ้อเจ้อเวลาเจอพระเอกสามสี่บรรทัดนั้นนิสัยเฉพาะของเจ้าหล่อนหรือเปล่า

จินตกชรู้สึกเหมือนเห็นภาพการ์ตูนตาหวานสมัยก่อนที่กำลังยกมือป้องตากันแสงเจิดจรัสจากการปรากฏตัวของพระเอกของสาวน้อยอิลิเลีย

"พระเอกนี่นาเจิดจรัสขนาดนั้นมันปกติเฟ้ย" จินตกชบ่นเบาๆ กับตนเองแล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อสาวน้อยกับหนุ่มหล่อเทพหันมามองเจ้าตัวเป็นตาเดียวกัน

"ว่าไงนะคะ? เมื่อกี้บอกว่าพระเอก" สาวเจ้าไม่แค่จ้องเดินเข้ามาหาคนขี้ริ้วทันที

"พระเอก... มันคืออะไร?" นี่กระโดดลงมาจากกระบี่จับจ้องมาอย่างต้องการคำตอบสวยๆ หากไม่สวยคนต้องตอบอาจได้สวยแทน

หูผีเกินไปไหม ฉันพูดเบากว่ากระซิบอีกนะ เจ้าพวกไม่ใช่คน

แค่ช่วงที่บ่นในใจแวบเดียวสาวน้อยก็มาเดินวนรอบตัวคนขี้ริ้ว ดวงตากลมโตจากสาวเจ้าหรี่ลงขณะกวาดตาช้าๆท่าทางพิจารณาอย่างละเอียด

"คงไม่ใช่หรอกน่า มันสามารถบังเอิญได้ง่ายแบบนั้นเลยหรือไง แต่หน้าตาขี้ริ้วขนาดนี้จะมีใครเลือกอีกล่ะนอกจาก..." จ้องจนแทบทะลุแล้วยังมีพลังทิพย์แผ่ออกมาอย่างน่ากลัวแบบคนที่เจอในโลกก่อนเทียบไม่ติด

[ผู้เดินเล่น อิลิเลีย บทบาทลูกสาวคนสุดท้องของเจียงเจินกู เจ้าสำนักหมานไป่ หนึ่งในผู้มีพลังทิพย์ล้ำเลิศแห่งยุค ทักษะพัดกวาดวงกว้างขั้นต้น ทักษะนักรบขั้นกลาง ทักษะทนทานขั้นกลาง ทักษะจับความรู้สึกขั้นต้น]

เว้ย! ทักษะเยอะอะไรอย่างนั้น ไม่ได้เจอแวบเดียวแม่คุณอัพสกิลไวไปไหม แต่เดี๋ยว มีจับความรู้สึกด้วย!! แม่จ๋าเทพไป

"พี่จินต์..."

ปิดกั้นการคุกคาม!

จินตกชมองเธอนิ่งๆ ครู่หนึ่ง "เจ้าเรียกใคร?" แน่นอนว่าน้ำเสียงกระด้างแบบให้รู้โดยไม่ต้องแก้ตัวว่าเจ้ากล้าเอาชื่อใครมาเรียกเขา ถ้าตอนนี้จินตกชเห็นหูเล็กกับหางจิ๋วตกลู่ของลูกหมาสักตัวตรงหน้าก็ไม่ผิดสักเท่าไหร่

"ขอโทษเจ้าค่ะ... ข้าคงหวังเกินไป เสียมารยาทแล้ว" สีหน้าเจ้าหล่อนราวคนถูกรังแกอย่างร้ายแรงนั่นทำลู่เยวี่ยสือตาขุ่นแผ่จิตเข้มๆ ออกมาทันที

เดี๋ยวสิพ่อคุณ ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอเลยนะ

คนขี้ริ้วผงะเฮือก "เฮ้ย เจ้าเขม่นข้าแบบนี้ทำไม ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย"

"ยัง... งั้นต่อไปจะทำใช่ไหม"

"นั่นคือสิ่งที่คาใจเหรอ ไม่สิ มาตามหานางไม่ใช่เหรอ เอาไปเร็วๆ เลยเกะกะการฝึกของข้า!" จินตกชเอากระบี่ไม้จิ้มไล่เจ้าหล่อน ให้บังเอิญมีศิษย์คนอื่นโผล่มาเห็นพอดี

"เฮ้ยนั่นเจ้าทำอะไร!? เจ้าสวะนี่กล้าทำร้ายคุณหนูเจียงเชียวหรือ" คนของสำนักฮู่ซานหนึ่งสองสามสี่ตะโกนโวยวายชี้มือใส่คนขี้ริ้ว

ฉากเข้าใจผิดโง่ๆ แบบนี้มันเอาไว้เล่นฆ่าเวลากับพวกตัวสำคัญนะ ตัวประกอบกระจอกไม่ต้องก็ได้เสียเปล่าไม่ใช่หรือไงแต่เล่นด้วยก็ได้ฟะ

"เออ อย่างที่พวกเจ้าเห่านั่นแหละ ข้าอยากรังแกมีไรเปล่า"

แหมการพูดอย่างตัวประกอบเกรดต่ำเต็มขั้นนี่มันรู้สึกดีไม่หยอกเลยแฮะ

"ไอ้เจ้าสวะ เจ้าอยากให้ฮู่ซานโดนเพ่งเล็งหรือไง!" หลายคนช่วยกันโวยวาย

"เข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ ข้ามาเกะกะพี่ชายท่านนี้เองจะถูกดุก็... เป็นเรื่องธรรมดา ฮึก" สาวน้อยน้ำตาคลอน้ำเสียงสั่นราวคนเพิ่งถูกรังแกอย่างหนักมาจริงๆ "ขะ... ข้า ผิดเองเจ้าค่ะ" น้ำตาแม่นางน้อยร่วงผล็อยๆ แบบเรียกหารอยบาทามาประดับคนขี้ริ้วแบบไม่ต้องขอร้องจากใคร

ศิษย์สำนักเดียวกันกับคนขี้ริ้วย่างสามขุมเข้ามา ท่าทางเช่นนี้รับรองได้ว่าเละ ไม่ว่าฝ่ายไหนเละย่อมไม่ดีทั้งนั้น คนขี้ริ้วสบถออกสื่อไม่ได้ในใจร้อยคำแถมอาฆาตข้ามเรื่องใส่ยายเด็กนั่นอีกต่างหาก

"ข้าว่าพวกเจ้าไม่มีเวลามาเอาเรื่องข้าอยู่กระมัง ไม่รีบพายายนั่นกลับไปเดี๋ยวเจียงเจินกูก็ทุบโถงหลักทิ้งให้หรอก" พูดพลางถอยออกไปตั้งหลังห่างๆ ทว่าไม่รู้เมื่อไหร่ที่มือน้อยจับชายเสื้อเขาไว้แน่นทำให้ขยับห่างออกมาได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น "เฮ้ย ยายนี่ปล่อยนะเว้ย" กระตุกสุดแรงเสียงผ้าขาดแควกใหญ่ ไม่รู้เรี่ยวแรงเจ้าหล่อนมากขนาดไหนถึงดึงขาดได้เหมือนดึงกระดาษราคาถูก

"กรี๊ด!" เสียงแหลมเล็กของสาวน้อยดังลั่น

ฉันต่างหากที่ต้องกรี๊ด หล่อนมาดึงเสื้อชาวบ้านขาดจนฉันเกือบโชว์ท่อนบนแล้วมากรี๊ดทำบ้าอะไร!

จินตกชรีบดึงเศษเสื้อที่เหลือขึ้นมาปิดเนื้อตัวอย่างไว ต่อให้นี่เป็นร่างผู้ชายแต่ขอโทษเถอะ ข้างในไม่ใช่เว้ย

"ฉันต่างหากที่เสียหาย ยายนี่เดี๋ยวพ่อก็ส่งไปคุยกับรากมะม่วงให้หรอก!" เตรียมฝังให้จริงตามพูด

ผ้าเนื้อบางเบาสีหวานไม่รู้หล่อนเอามาจากไหนสะบัดเข้าคลุมร่างคนขี้ริ้ว พร้อมตรงเข้ามากระซิบข้างหู "พี่จินต์จริงด้วยสินะ" เจ้าหล่อนผละห่างออกไปเล็กน้อยแล้วยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์

ถูกจู่โจมอย่างตั้งตัวไม่ทันทำคนขี้ริ้วยืนนิ่งไปชั่วขณะ "เจ้าพูดถึงใครกัน...!" แล้วต้องหลบแวบ

"ใช่หรือไม่พิสูจน์ได้ค่ะ" ไม่ต้องพูดมากใดอีก เจียงอวี้เอี๋ยนลงมือฟาดพลังทิพย์ใส่แบบถล่มทลาย แล้วยังตามไปซ้ำด้วยกระบี่วิเศษประจำกายแบบเอาถึงตาย ลู่เยวี่ยวสือกระโจนเข้าไปห้ามทว่านางพลิ้วตัวหลบได้รื่นไหลราวสายน้ำ แล้วตามติดจู่โจมใส่คนขิ้ริ้วที่ดูอย่างไรก็เสียเปรียบเห็นๆ ทว่าหลบหลีกพลังร้ายแรงที่ฟาดเข้าใส่ได้ราวกำลังหยอกล้อ

"เป็นบ้าอะไรเนี่ยแม่คุณ เป็นวันนั้นของเดือนหรือไง!" ยิ่งตกใจยิ่งหลุดคำพูดที่ไม่ใช่ของโลกนี้มากขึ้น

"พิสูจน์ไงคะ ถ้าใช่พี่จินต์ฝีมือเท่านั้นไม่ละคายได้แน่นอน" สีหน้ายิ้มแย้มจนน่าหมั่นไส้ของสาวน้อยทำจินตกชเท้ากระตุกจนได้

พริบตาแค่ช่องว่างเท่าแมลงปอบินผ่านได้เท่านั้น ทว่าจินตกชกลับพุ่งผ่านมาถึงตัวเจียงอวี้เอี๋ยนแล้วส่งมะเหงกใส่หัวเจ้าหล่อนไปโป๊กใหญ่ มะกรูดลูกสวยปูดขึ้นมาจับจองที่บนหัวเจ้าหล่อนหนึ่งลูกทันที

"ใครไม่ระคายฟะ โดนเข้าไปนี่เดี้ยงไปอีกหลายวันเลยนะเว้ย" โวยแล้วต้องสปริงตัวห่างออกมาพร้อมโยกตัวหลบสายพลังคมกริบที่ตามกระหน่ำแบบไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

"เจ้าทั้งสองคนหยุดเดี๋ยวนี้!" ลู่เยวี่ยสือตะโกนแทรกเข้ามา

"ให้เจ้าหล่อนหยุดก่อนสิ" จินตกชยังคงหลบหลีกแบบหืดขึ้นคอ ตุ้มถ่วงน้ำหนักทำเจ้าตัวแทบหายใจไม่ทันแล้ว

"เดี๋ยวก็เลิกแล้วเจ้าค่ะ ขอเวลาอีกถ้วยชาเดียว" สองมือเต็มไปด้วยพลังน่ากลัว ยิ่งไล่อีกฝ่ายยิ่งหลบได้รื่นไหลเร็วขึ้นเรื่อยๆ จับยากราวกำลังไล่กวดสายลมเลยก็ว่าได้

[อิลิเลียเปิดใช้ทักษะพัดกวาดวงกว้าง]

เดี๋ยว!! ถึงขนาดเอาทักษะมาใช้เลยเหรอ แค้นฉันมาแต่ชาติปางไหนแม่คุณ

มันไม่ใช่พลังทิพย์แต่เป็นพลังจิตเฉพาะผู้เข้ามาเดินเล่นเท่านั้น จึงต่างจากพลังธรรมชาติที่นี่ ตูมเดียวเล่นเอาทั้งลานพินาศย่อยยับพัดศิษย์ฮู่ซานคนอื่นกระเด็นไปไกลลิบ ส่วนพระเอกยืนต้านอยู่ได้แต่ก็ได้ไปหลายแผล ส่วนจินตกชหลังติดผนังหินสองมือยกยอมแพ้มีสาวเจ้าใช้เข่ากดหน้าอกมือหนึ่งจ่อคอ อีกมือค้ำผนัง

ช่างเป็นท่าทางที่น่าผวาเหลือจะกล่าวแล้วครับ

"ประหลาดจังเลยค่ะ ไม่คิดว่าพลังแค่นี้พี่จินต์รับมือไม่ไหวได้อย่างไร มีปัญหาที่ร่างกายหรือเปล่าคะ?" เลื่อนสายตาจากหน้าตาขี้ริ้วแบบเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวลงล่างไปเรื่อยๆ

"พอเลยนอกจากลวนลามฉันทางกายแล้วยังต่อด้วยสายตาหรือไงยายนี่" จินตกชสับเข้ากลางหน้าผากให้ครั้งหนึ่งก่อนผลักเข้าหล่อนออกไปแล้วลุกขึ้นนั่งหอบหายใจตัวโยน บอกให้รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ร่างกายจริงๆ

"พี่จินต์มีปัญหาที่ร่างกายจริงๆ หรือคะ?" สองมือตะปรบเข้าไปลูบคลำทั่วตัวอย่างว่องไวอีกครั้ง

"เฮ้ย คราวก่อนมือปลาหมึกคราวนี้มือปลาไหลหรือไง!" ตีมือเข้าไปเพี๊ยะหนึ่งแล้วขยับห่างออกมา "ไม่เจอพักเดียวฝีมือพัฒนาอย่างน่ากลัวเลยเชียว"

"พักเดียวอะไรคะ ฉันไปเดินเล่นสะสมมาอีกสิบสองเรื่องเลยนะคะกว่าจะได้เจอพี่น่ะ"