webnovel

ระบบตกหนอนหนังสือไปเปิดไฟท์ที่ต่างโลก

ตอนที่ 3

นั่งม้าพร้อมลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักทั้งคืน วิ่งรอบอาณาบริเวณสำนักฮู่ซานสิบรอบซึ่งมันกินเนื้อที่ของภูเขาสิบลูก แบกถังน้ำใส่หินเต็มวิ่งขึ้นลงบันไดพันขั้นสิบเที่ยว จากนั้นต่อยลมหมื่นครั้ง ซ้อมฟาดฟันกระบี่อีกหมื่นครั้ง ทำทั้งหมดครบในแต่ละวันถึงพักกินข้าว ถ้าเหลือเวลาให้นั่งสมาธิ แต่เวลาที่เหลือครั้งใดไม่ได้นั่งหรอกสมาธิ นอนตาย เอ๊ย นอนสมาธิเสียมากกว่า จากนั้นก็จะโดนท่านอาจารย์เตะโด่งร่วงไปตีนเขา แล้วก็ต้องวิ่งหน้าตาตื่นกลับขึ้นมาให้ทันเวลาหนึ่งถ้วยชา ถ้าช้าได้ฝึกท่านั่งม้าพร้อมตุ้มถ่วงน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก ทำแบบนี้ซ้ำทุกวันเวลาถึงผ่านไปราวติดปีกโดยจินตกชไม่มีทั้งโอกาสและเวลาเข้าใกล้ลู่เยวี่ยสือเลย มีเวลาแค่พักหายใจก็ถือว่ามหัศจรรย์แล้ว

สองปีแล้วที่จินตกชโดนฝึกโหดแบบนั้นทว่าจนวันนี้เขาก็ยังมีสภาพราวซากแห้งหาทางกลับหลุมไม่ถูกทุกวันหลังฝึกเสร็จ คลานมาตามพื้นแบบไม่เหลืออะไรให้อายทั้งนั้นเพื่อมาขอข้าวสักชามที่โรงครัว แค่ฝึกทุกวันจินตกชก็ไม่มีเวลาไปทักทายสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษประกอบกับสภาพไม่ต่างจากเศษขยะทุกวันไม่เปลี่ยนขนาดฝึกมาสองปี ทำศิษย์คนอื่นต่างเลิกสนใจ จากเกรงใจถึงเกรงกลัวที่ผานเฉียงเต้ากลายเป็นศิษย์ของท่านกังจวี้ กลัวว่าวันหน้าเก่งกาจขึ้นมาจะกลับมาคิดบัญชีพวกตน เอาเข้าจริงฝึกเท่าไรก็ไม่พัฒนาทำให้ทุกคนมองอย่างสมเพชมากขึ้นไปอีก

"แม้ท่านอาจารย์เป็นเซียนผู้ยิ่งใหญ่แต่สวะก็ยังเป็นสวะอยู่วันยังค่ำ มันไม่กลายเป็นหยกไปได้หรอก" เสอทุ่ยเทน้ำชาจืดชืดลงชามข้าวในมือคนขี้ริ้วจนล้นไหลนองพื้น พลางแค่นยิ้มใส่อย่างเย้ยหยัน "ท่านผู้อาวุโสช่างมีความอดทนสูงเหลือเกินที่ยังพยายามสั่งสอนสวะอย่างเจ้า ดูสิสองปีเจ้าทำสิ่งใดให้ท่านภูมิใจบ้าง เฉียงเต้าเอ๋ย เจียมเงาหัวของเจ้าบ้างเถอะ"

ศิษย์คนอื่นในโรงอาหารต่างแสยะยิ้มอย่างสาแก่ใจที่มีคนพูดแทนให้แล้ว

จินตกชยกชามข้าวขึ้นมาพลุ้ยใส่ปาก ตั้งหน้าตั้งตากินไม่สนคำเย้ยหยันเหล่านั้น ตอนนี้เขาต้องการอาหารลงท้องมากกว่าสิ่งใดทั้งนั้น ซ้ำข้าวน้ำชาก็รสดีมากเสียด้วย อยากได้อีกสักชามแต่ขออย่างไรคนครัวก็ไม่เคยให้เพิ่ม คนอื่นขอได้ แต่เขาไม่ได้ ฮือ ช่างลำเอียงเหลือเกิน

"นี่เจ้าเมินข้างั้นหรือ"

ผลัวะ! ชามข้าวในมือจินตกชกระเด็นจากแรงเตะของเสอทุ่ยไปตกไกลลิบแล้วแตกเป็นหลายเสี่ยง ข้าวอีกครึ่งชามกระจายเกลื่อน "ถ้าอยากกินนักก็ไปเลียเอาที่พื้นละกัน" พอได้รังแกคนขี้ริ้วแล้วคนเหล่านั้นต่างหัวเราะชอบใจกันยกใหญ่ หลายคนยุให้คลานไปกินข้าวชามนั้น บางคนทนดูไม่ไหวลุกเดินออกจากโรงอาหารไปไม่สนใจช่วยเหลือใดทั้งนั้น เป็นแบบนี้มาสองปีจนจินตกชชินแล้ว ทว่าวันนี้ต่างออกไป

"เสอทุ่ย การกลั่นแกล้งศิษย์สำนักเดียวกันเจ้าคิดว่าผิดบ้างหรือไม่" ความเย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมทั้งโรงอาหารก่อนเจ้าของเสียงเดินมาถึงเสียอีก

"ท่านรองเจ้าสำนัก" เสอทุ่ยปากคอสั่น แทบยืนไม่อยู่

"ไม่นึกว่าแค่วันแรกของเดือนนี้ข้ามาเดินตรวจความเรียบร้อยที่โรงอาหารก็ได้เห็นเรื่องเช่นนี้" ลู่เยวี่ยสือกดสายตาเย็นเฉียบใส่พวกส่งเสียงยุเมื่อครู่ แต่ละคนก้มหน้างุดต่างจากคนขี้ริ้วใช้โอกาสนี้คว้าถ้วยชามใส่ข้าวใส่กับข้าวของใครไม่รู้ใกล้มือมาพลุ้ยใส่ปาก ไม่สนใจสักนิดว่าบรรยากาศตอนนี้เป็นอย่างไร "เจ้ายังนั่งกินได้หน้าตาเฉยอีกหรือ" มุมปากพ่อคุณกระตุกส่งสัญญาณอันตราย ทว่าผู้รับสัญญาณไม่เห็นอะไรในสายตาทั้งนั้นนอกจากอาหารประทังชีพตรงหน้า

"แน่นอน ในเมื่อข้ายังต้องกินอยู่นี่นา" จากหนอนหนังสือกลายเป็นหนูพันธุ์เล็กชนิดหนึ่งกักตุนอาหารไว้เต็มแก้มสองข้าง กระนั้นยังคงกอบโกยใส่ปากไม่หยุด ทั้งสร้างความอ่อนใจแปลกๆให้ลู่เยวี่ยสือแบบเจ้าตัวนึกอยากตบสองแก้มนั่นให้คว่ำพิกล

"อย่างไรก็ตามกฎที่ว่าห้ามศิษย์สำนักเดียวกันทะเลาะกันนอกจากการประลองฝีมือแล้ว เสอทุ่ยถือว่าครั้งนี้เจ้าผิด ข้าจะลงโทษเจ้าสถานเบาก่อน ถ้ามีให้เห็นอีกครั้งเจ้าจะได้รับโทษเป็นสองเท่า" ดวงตาสีดำวาวคมเหมือนมีศัสตราล้ำอำนาจแฝงอยู่กวาดมองไปทั่วโรงอาหารซึ่งไม่กว้างนักเสียครั้ง ก่อนให้ศิษย์ติดตามพาเสอทุ่ยตามไปรับโทษ

"ว่าแต่เจ้า เอ่อ ท่านรองเจ้าสำนักไม่กินอะไรบ้างหรือ?" จินตกชถามหลังจากกวาดอาหารทุกชามใกล้มือลงท้องหมดแล้ว

"ข้าเลยขั้นอิ่มทิพย์มาหกปีแล้ว เจ้าลืมหรือไง"

"ลืมจริงด้วยแฮะ" สองมือตบแปะ จินตกชลืมไปเลยว่าพระเอกไม่ต้องกินดื่ม ไม่ต้องนอนมาหลายปีแล้วต่างจากผานเฉียงเต้าและศิษย์ใหม่คนอื่น อ้อศิษย์เก่าส่วนใหญ่ก็ยังกินดื่มอยู่ เนื่องจากเลื่อนขั้นไม่ขึ้นแต่ก็ยังดีกว่าคนขี้ริ้วทุกคน

"เจ้านี่มัน!" สีหน้าคนขี้ริ้วยามพูดจากวนบาทาเขาชวนมือเท้าขยับอย่างมุ่งร้ายดีแท้ ดีที่เขาห้ามตนเองได้ไม่งั้นเขาคงได้เตะโด่งเจ้านี่ออกไปนอกโรงอาหารด้วยตนเองไปแล้ว

"เสี่ยวผาน เจ้าคิดว่ามีเวลานั่งเล่นเหลืออยู่อีกหรือไร"

น้ำเสียงเขย่าประสาทดังมาจากไหนไม่รู้ มันดังก้องในโรงอาหารให้ผานเฉียงเต้าสปริงตัวขึ้นจากพื้นหน้าตาตื่น

"ท่านไม่ให้ข้ามีเวลาชาร์ตแบตบ้างเลยไม่ได้นะท่านอาจารย์ ทางนี้ยังต้องกินดื่มอยู่นะ!" เผ่นออกไปจากโรงอาหารแบบบินออกไปเลย แล้ววิ่งหน้าตั้งทว่าเซซ้ายขวาไปตลอดทางแล้วหายลับไปหลังแนวต้นสนหลังเขา

ลานฝึกขนาดเล็กหลังเขาล้อมรอบด้วยต้นสนหนาทึบคือสถานที่ฝึกประจำของจินตกช ซึ่งไม่มีใครเข้ามาใช้ลานนี้ได้ถ้ากังจวี้ไม่อนุญาต

"นับแต่วันนี้อาจารย์จะปิดด่านเลื่อนขั้นระหว่างนี้เจ้าอย่าได้ขี้เกียจเด็ดขาด หากแอบอู้แม้เพียงนิดเจ้าจะได้รู้ว่าอยู่ไม่สู้ตายเป็นอย่างไร" กังจวี้กำชับเจ้าลูกศิษย์

"โห ท่านอาจารย์ มีที่ไหนกันจะทำให้ศิษย์ของตนอยู่ไม่สู้ตาย เขามีแต่ส่งเสริมจนเสียคน ให้ท้ายไม่ลืมหูลืมตาทั้งนั้นท่านอย่าแหวกแนวนักสิขอรับ โอ๊ย!" พูดจบมือเหี่ยวย่นพุ่งมาดึงหูเจ้าขี้ริ้วได้ไวจนหลบไม่ทัน ตามจริงขยับหลบไม่ได้อยู่แล้ว "โอ๊ยๆ อาจารย์ หูข้าจะขาดแล้ว"

"ให้มันขาดไปเลยดีไหม"

"ช่วยเพิ่มความขี้ริ้วให้ข้านั่นไม่ว่าไร แต่ท่านช่วยเพิ่มแบบไม่เจ็บตัวมากไม่ได้หรือขอรับ" ยกมือนวดหูป้อยๆ ท่าทางน่าสงสารเสียกังจวี้อดส่ายหน้าไม่ได้

"เจ้านี่ช่างแปลกเสียจริง ถูกใครหาเรื่องก็ไม่ใส่ใจ ถูกฝึกหนักแทบล้มประดาตายก็ฝึกไปบ่นไปแต่ก็ไม่มีขาดตกบกพร่อง เป็นศิษย์คนอื่นเจอการฝึกของข้าเข้าไปไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากอาวุโสคนอื่นในวันเดียวให้รู้ไป" กังจวี้ยกมือลูบเคราที่คางซึ่งจัดแต่งไว้อย่างสวยงาม

"การสั่งสอนของท่านช่วยให้ข้าเก่งขึ้นได้จริงนี่นา ตอนนี้ข้าพอรู้แล้วว่าพลังที่มีในมือสามารถใช้แบบไหนได้บ้าง ซ้ำร่างกายเริ่มตามพลังที่มีทันแล้วด้วย จากที่มีพลังแต่ร่างการอ่อนไปทำให้สิ้นเปลืองพลังไปโดยใช่เหตุ" จริงดังที่ระบบบอกเขาสามารถเรียนรู้และฝึกฝนอย่างหวังผลจากในนิยายเรื่องที่เข้ามาเดินเล่นได้

กังจวี้พยักหน้าท่าทางชอบใจไม่น้อย "ข้ามองคนไม่ผิด เจ้ามีพรสวรรค์สูงยิ่งกว่าลู่เยวี่ยสือเสียอีก แต่ดูเจ้าต้องการเก็บซ่อนมันไว้เพื่อการใดกัน"

"ไม่ได้ตั้งใจเก็บซ่อนเลยท่านอาจารย์ แค่พลังข้าเพิ่งตื่นเท่านั้นเองนี่พูดจริงนะ มันตื่นตอนโดนสายฟ้าซึ่งไม่รู้ว่าใครเอาข้าเป็นตัวตายตัวแทนข้าถึงโต้สายฟ้าคืนไปรอดมาได้ นี่ถ้าพลังไม่ตื่นข้าคงไปตื่นที่โลกคนตายแล้วขอรับ" การที่ตนดูแปลกไปเพราะพลังตื่นนั้นเชื่อถือได้เพราะบางคนมีการตื่นรู้ตอนใกล้ลงโลงยังมี ฉะนั้นจินตกชอ้างแบบนี้ไม่แปลกอันใด

"ทว่าข้าก็ยังเห็นว่าเจ้าแปลกอยู่ดี" ดวงตาท่านเซียนราวมองทะลุเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ภายใน

"แปลก ข้าแปลกอย่างไรหรือท่านอาจารย์?"

"ให้เข้าใจง่ายก็คือ เจ้าไม่ใช่ผานเฉียงเต้าแต่เป็นใครอื่นที่เข้ามาอยู่ในร่างนั้นแทน ข้าว่าเจ้าเฉียงเต้าคงตายไปตั้งแต่สายฟ้าเส้นแรกแล้วกระมัง เพียงแต่เจ้ามาอยู่ในร่างนั้นได้อย่างไร ข้าสงสัยอยู่" ท่านอาจารย์พูดตรงเสียจินตกชแทบกระอัก

สองมือยกคารวะอย่างนอบน้อม "ท่านอาจารย์ ท่านช่างสมกับผู้กำลังจะบรรลุเป็นเซียนขึ้นไปสวรรค์จริงๆ ขอรับ ตามที่ท่านเข้าใจ ผานเฉียงเต้าตายไปตั้งแต่รับสายฟ้าส่วนข้าลืมตาขึ้นมาก็มาอยู่ในร่างนี้และกำลังจะโดนสายฟ้าอีกเส้นฟาดข้าเลยเค้นพลังที่มีออกมาโต้กับสายฟ้าพวกนั้น"

"เช่นนั้นเจ้าเป็นผู้ใด?"

"หนอนหนังสือคนหนึ่งที่อ่านหนังสือดึกเกินแล้วฝันเลอะเทอะขอรับ"

"หนอนหนังสือที่ไหนโต้กับสายฟ้าด่านเคราะห์ของผู้เลื่อนสู่ระดับเสิ่นเซียนได้กัน เช่นนั้นเจ้าคงไม่พ้นหนอนหนังสือในหอเก็บคัมภีร์แดนสวรรค์แล้วกระมัง"

"ข้าพูดจริงนะท่านอาจารย์" จินตกชกล่าวอย่างหนักแน่น "ข้าเป็นแค่คนที่ชอบอ่านหนังสือแต่ก็มีพลังนิดหน่อยให้เอาตัวรอดได้ แต่พอท่านอาจารย์มาสอนให้ข้าถึงเข้าใจวิธีการใช้พลังและฝีมือที่มีมากขึ้นแม้ตอนนี้แสดงออกมาไม่ได้เพราะท่านไม่อนุญาตแต่ข้าก็รู้ว่าตนนั้นพัฒนาขึ้นบ้างเล็กน้อยแล้ว ฉะนั้นข้าไม่อู้การฝึกแน่นอนท่านปิดด่านได้อย่างสบายใจขอรับ" จินตกชเองตั้งใจไว้แล้วว่าจะเรียนรู้วิชาต่อสู้ของที่นี่ให้ได้มากที่สุดได้โอกาสแล้วทั้งที

ท่าทางใฝ่รู้ของเจ้าลูกศิษย์ขี้ริ้วไม่มีเสแสร้งนั่นทำกังจวี้พอใจมาก "เจ้าแท้จริงแล้วมีนามว่ากระไร?"

"จินตกช ขอรับ ท่านอาจารย์เรียกข้าว่าจินต์ก็ได้ขอรับ ออกเสียงง่าย"

"จินต์ อือ เป็นนามที่ดี" กังจวี้เรียกกระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากอากาศ เขาตวัดมันออกไปเพียงแผ่วเบา แค่นั้นก็ทำจินตกชสันหลังเย็นแล้ว

กระบี่วิเศษ! อายพลังอะไรขนาดนั้น แค่มองยังรับรู้ได้ว่ามันสามารถฟันภูเขาทั้งลูกให้ขาดออกจากกันได้ด้วยการฟันแค่ครั้งเดียว

"คิดว่าเจ้าน่าจะใช้ดาบหรือกระบี่เช่นกัน ฉะนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าดูครั้งหนึ่งแล้วจงฝึกฝนให้ดี หลังข้าออกมาจากด่านจะดูสิว่าเจ้าก้าวหน้าแค่ไหน ถ้าไม่กระเตื้องข้าโยนเจ้าลงไปฝึกในแดนมารแน่"

"ท่านจะปิดด่านกี่ปีเล่าท่านอาจารย์ ข้าเดาว่าไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี นานแบบนั้นท่านให้ข้าฝึกโดยไร้การอนุญาตด้วยหรือ แบบนั้นข้าว่าคงหาความก้าวหน้าไม่ได้กระมัง" จินตกชขยับมือเท้าที่แสนหนักให้รู้ว่ายังมีตุ้มถ่วงติดอยู่เพียงแต่คนทั้งหลายมองไม่เห็นเท่านั้น

"แน่นอนว่าถึงข้าไม่อนุญาตเจ้าก็เคลื่อนไหวได้อย่างปกติหลังจากชินกับน้ำหนักเหล่านั้น ในเมื่อเจ้ายังไม่ได้ใช้พลังแท้จริงทั้งหมดออกมาเลยนี่นา ถูกไหมเสี่ยวจินต์"

คนขี้ริ้วยกสองมือยอมแพ้ "ขืนดึงออกมาใช้ตลอดเวลาข้าได้หมดแรงจริงสิขอรับ มันต้องเก็บไว้บ้างเผื่อเหตุฉุกเฉินเหมือนที่โดนสายฟ้าวันนั้น อ้อ ระหว่างที่ท่านอาจารย์ปิดด่านถ้าข้าเจอคนที่ใช้ข้าเป็นตัวตายตัวแทน ขออนุญาตตบให้คว่ำได้ไหมขอรับ?" ตั้งความหวังไม่แค่ตบล่ะมันต้องฝังสถานเดียว

"อยากทำอะไรก็ทำไปแต่ไม่อนุญาตให้ปลดออก"

จินตกชอยากลงไปนั่งวนนิ้วที่พื้นเสียเดี๋ยวนั้น แค่คิดว่าต้องพยายามให้เคลื่อนไหวได้ปกติที่สุดโดยมีน้ำหนักพันจินถ่วงอยู่แล้วร้องไห้นำไปก่อนเลยละกัน

"อย่ามัวแต่ไร้สาระ ดูวิถีกระบี่ของข้าให้ดี แล้วฝึกให้คล่อง" กังจวี้วาดกระบี่เล่มงามออกไปข้างกาย จินตกชพุ่งออกมาจากหลุมดำแล้วจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวไม่มีคลาดสายตาสักเสี้ยววินาที ในเมื่อตนมีทักษะสะบั้นสุญญากาศซึ่งคล้ายการฟาดฟันด้วยกระบี่นี่นา "หลังจากนี้ก็เอากระบี่ไม้เล่มนี้ไปฝึกเอา" แล้วโยนกระบี่ไม้เล่มหนึ่งมาให้คนขี้ริ้ว

"นี่มันหนักมากเลยขอรับ ไม้หรือหิน?" ไม่แน่ใจเลยว่ากระบี่เล่มนี้เป็นไม้หนักอย่างน่ากลัว

ผู้เฒ่าส่ายหน้าดุกดิก "แค่กระบี่ไม้เจ้ายังบ่นหนัก แบบนี้หรือจะถือกระบี่วิเศษได้"

"ข้าไม่ใช้กระบี่ขอรับ ใช้อากาศต่างกระบี่ขอรับ" ตอนนี้จินตกชยอมรับทักษะที่ได้มาช่างดีเหลือเกินอาวุธที่ไม่ต้องถือต้องแบกให้เมื่อย ใช้เมื่อไหร่ก็ได้

"กระบี่อากาศหรือ ไหนแสดงให้ดูสิ" กังจวี้สนใจขึ้นมาแล้วสิว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้มีฝีมือขนาดไหน

จินตกชตั้งท่าแล้วตวัดมือออกไปแบบขนานพื้น "สะบั้นสุญญากาศระดับเริ่มต้น!" กระแสลมพัดวูบทำใบไม้ปลิวหลายใบ สองสามใบโดนตัดขาด นั่นทำจินตกชอ้าปากค้าง "ทำไมมันเบากว่าพัดลมเบอร์หนึ่งอีกเนี่ย!!" เขาแทบกรีดร้องครั้นเหลียวไปมองท่านอาจารย์ยกมือนวดขมับท่าทางหมดความหวังพิกล

หรือพลังระดับแม็กซ์ที่นี่คือกระจอกมาก

"เอาล่ะ ข้าต้องไปปิดด่านแล้วเจ้าก็หมั่นฝึกซ้อมอย่าได้เหลวไหลเด็ดขาดเข้าใจไหม จินตกช" น้ำเสียงเข้มแววตาคมกริบ พลังทิพย์ที่แผ่ออกมาก็น่ากลัว "สำหรับวันนี้เจ้ากลับไปพักได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยเริ่มฝึกจริงจังอีกครั้ง"

"เช่นนั้นข้าเดินไปส่งท่านอาจารย์นะขอรับ" ใจหนึ่งอยากเห็นสถานที่ปิดด่านเลื่อนขั้นของสำนัก อีกใจพักไม่ลงรู้สึกตนอ่อนด้อยเหลือเกิน

ระหว่างเดินขึ้นเขาจินตกชยังเดินเซไปเซมาตลอดทาง น้ำหนักที่ถ่วงอยู่ทำให้ก้าวตรงๆ ไม่ได้จริงๆ ทั้งที่ฝึกฝนมาสองปีแล้ว กังจวี้ลอบสังเกตศิษย์ขี้ริ้วมาตลอดทาง

'ทั้งที่โดนสะกดพลังไว้ทั้งหมดยังเรียกออกมาใช้ฟาดฟันใบไม้ที่ข้าเคลือบพลังทิพย์ไว้ขาดจากกันได้ เด็กคนนี้มีพลังแฝงอยู่ระดับไหนกัน แล้วยังแบกน้ำหนักพันจินฝึกซ้อมตามที่สั่งได้ครบทุกอย่างทุกวัน หลังจากนี้ไม่เลื่องชื่อในทั่วหล้าก็ประหลาดแน่นอน'

จินตกชไม่รู้เลยว่านอกจากแบกน้ำหนักแล้วยังโดนเชือกจับเซียนซึ่งหลอมไว้ในตุ้มถ่วงสะกดพลังไว้ด้วย ที่แสดงออกมาได้นั้นบอกให้รู้ว่าทักษะสะบั้นสุญญากาศของเจ้าตัวเพิ่มระดับแล้ว แค่เจ้าตัวไม่รู้เท่านั้น

ถึงบอกให้พักได้แล้วค่อยเริ่มต้นฝึกอีกครั้งวันพรุ่งแต่ขอโทษเถอะ ส่งท่านอาจารย์เรียบร้อยก็สว่างคาตาแล้ว ไม่รู้เดินมากี่ยอดเขา เดินกลับก็คือการฝึกกลายๆ นี่เอง ฉะนั้นตอนนี้ก่อนเริ่มฝึกจริงจังอีกครั้งจินตกชจึงขอแวะไปโรงครัวก่อน

"อาวุโสกังจวี้ปิดด่านเลื่อนขั้นแล้วหรือ?" ไม่รู้ว่าลู่เยวี่ยสือนั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนรอบกายถึงมีละอองน้ำค้างเกาะอยู่พราวทั้งตัว พอแสงอาทิตย์ส่องกระทบเกิดประกายระยิบระยับ ส่งให้ดูสูงส่งราวเทพเซียนบนสวรรค์แอบมานั่งเกียจคร้านในแดนมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น

ยอมรับนะว่าพระเอกนี่อาหารตาขั้นแม็กซ์แท้จริง

จินตกชพยักหน้า "เจ้า เอ๊ย ท่านรองเจ้าสำนักเล่ามานั่งทำอันใดแต่เช้าตรงนี้ ข้าไม่คิดว่าท่านเดินตรวจตราจนเหนื่อยเลยมาหาที่นั่งพักแน่นอน" กวาดตามองไปทั่วบริเวณอันเงียบสงบในส่วนพำนักของกังจวี้ซึ่งมีเขตแดนตราไว้ทำให้ไร้คนอื่นเข้ามาวุ่นวาย แต่ยังอนุญาตให้ระดับสูงในสำนักเข้ามาได้ตามสบาย

ลู่เยวี่ยสือจ้องคนขี้ริ้วนิ่งๆ อึดใจ นั่นทำให้คนโดนจ้องสันหลังเย็นพิกล "ทั้งที่ไม่รู้ว่าปิดด่านครั้งนี้ใช้เวลานานแค่ไหน เหตุใดอาวุโสกังจวี้ถึงยังไม่ปลดตุ้มถ่วงน้ำหนักที่มัดเจ้าไว้กันเล่า"

"มองเห็นด้วยหรือ ขนาดท่านอาวุโสหลายท่านยังมองไม่เห็นเลย" จินตกชยกตุ้มถ่วงที่มือขวามาแกว่งเล่นตรงหน้าพระเอกเสียเลย

"ข้าไม่ได้ตาบอด" มือเรียวสวยทว่าเปี่ยมด้วยพลังทิพย์แบบสัมผัสได้ทั้งจากตาเปล่าและอากาศรอบกายยื่นมาจับตุ้มน้ำหนัก "นี่มันหนักกี่จินกัน?" เขาไม่คิดว่าตุ้มเล็กแค่ก้อนเต้าหู้ยี้ที่เห็นจะหนักแทบถือไม่ไหว

"ไม่รู้สิ อะไรข้าพูดจริงไม่เคยแยกชั่งนี่นา" อยู่ๆ พ่อคุณก็ตาขวางเหมือนเข้าใจว่าเขาพูดจากวนบาทา "แต่ถ้าน้ำหนักรวมทั้งหมดก็พันจิน" นี่ฉันนึกว่ากำลังเล่นอยู่ในการ์ตูนตามล่าบอลเรื่องหนึ่งเลยนะ ฮึกๆ ชุดฝึกถ่วงน้ำหนัก

"เจ้าแบกน้ำหนักขนาดนี้ตลอดสองปีแต่ยังไม่พัฒนาขึ้นอีกสักนิดเลยงั้นหรือ" ตั้งแต่วันแรกที่กังจวี้รับคนขี้ริ้วเป็นศิษย์ก็โดนฝึกแบบนี้มาตลอด ทว่าเมื่อใดที่เห็นสภาพเจ้าตัวไม่ต่างจากวันแรก หลังจากฝึกตามที่กังจวี้สั่งเสร็จเรียบร้อยสภาพคลานไปโรงครัวเกิดขึ้นทุกวัน "เจ้าไร้พรสวรรค์ขั้นสุดหรือไง"

"ใครมันจะลูกรักแบบนายกันเล่า ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าไปโรงครัวล่ะ"

"เดี๋ยว! เจ้าจะปลดตุ้มถ่วงนั่นออกได้ยังไง" ลู่เยวี่ยสือสีหน้าจริงจังเสียจินตกชผงะเลย

"ถึงเวลาก็สลายไปเอง"

"เมื่อไร?"

คนขี้ริ้วส่ายหน้า "พักหนึ่ง อย่าถามต่อ ข้าระบุไม่ได้หรอกว่าพักที่ว่าเมื่อไหร่ ข้าหิวมากแล้วไม่พูดต่อละ" จินตกชรีบพูดดักก่อนเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุด ทว่าในสายตาลู่เยวี่ยสือความเร็วนั่นเหมือนคนป่วยอาการใกล้ตายลากสังขารจากไปมากกว่า

การฝึกโหดตามที่กังจวี้สั่งไว้ผ่านไปอีกเกือบหนึ่งเดือนข่าวใหญ่เกี่ยวกับการประลองเพื่อทดสอบฝีมือผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นใหม่จากทั้งภพในรอบแปดปีก็เวียนมาถึง ศิษย์ทั้งหมดของฮู่ซานต่างหมายมั่นปั้นมือว่าต้องมีชื่อให้รู้จักทั่วหล้าในครั้งนี้ให้ได้ ทว่าเว้นไว้คนหนึ่งทุกวันนี้ยังคงคืบคลานอย่างไม่เหลืออะไรให้อายไปโรงครัวทุกวัน พอท่านอาจารย์ไม่อยู่ข้าวหนึ่งชามกับสองสามคำที่เคยได้รับเหลือแค่ข้าวหนึ่งถ้วยกับคือเศษผักขยุ้มโปะลงบนข้าว กินได้คือกินกินไม่ได้ก็ต้องกิน ในเมื่อไม่เหลือแรงไปหาอะไรอื่นกินเลยนี่นา

จินตกชไม่เคยคิดเลยว่าฉากตัวละครโดนแกล้งสารพัดในนิยายแท้จริงแล้วมันเลวร้ายแค่ไหน พอเจอกับตัวถึงเข้าใจว่าทำไมหลายตัวละครถึงเทินดาร์กมาเชือดทิ้งทั้งหมด เหตุผลของการกลั่นแกล้งมีทั้งไม่ชอบหน้า ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่าง แสดงอำนาจให้คนหมู่มากเห็น รวมทั้งสนุกที่ได้เห็นคนอื่นเจ็บปวด หลายครั้งจินตกชเองก็อยากลุกขึ้นไปกระทืบคนพวกนั้นเป็นการตอบโต้แต่พอคิดว่าอีกเดี๋ยวเจ้าพวกนี้ก็โดนพระเอกกวาดหมดโลกแล้วปล่อยไว้ก่อนก็ได้... จริงๆ คือไม่มีแรงหาเรื่องเข้าตัวเพิ่มแล้วต่างหากเล่า

ฝึกทุกวันทำไมร่างกายไม่ชินกับความหนักของตุ้มถ่วงสักทีนะ ฉันก็แปลกใจ

จินตกชแกว่งตุ้มถ่วงเล่นระหว่างนั่งพักพลางคิดเรื่อยเปื่อย แน่ละว่ามันจะชินได้อย่างไร ทุกเช้าน้ำหนักตุ้มถ่วงเพิ่มสองจินทุกวัน ยามนี้กี่พันจินแล้วอย่ารู้เลย เมื่อใดที่เจ้าตัวเคลื่อนไหวได้อย่างคนปกตินั่นคือตุ้มถ่วงเพิ่มน้ำหนักถึงขีดที่กำหนดไว้แล้วซึ่งนั่นอีกครึ่งปี การฝึกนี้กังจวี้วางรากฐานความแข็งแกร่งให้จินตกชทั้งทางร่างกายและวิญญาณ รวมทั้งพัฒนาฝีมือการใช้ทักษะอย่างแนบเนียนแม้แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้

'โลกนี้คือสถานที่ฝึกฝนให้พัฒนาได้มากที่สุดเพราะหลังจากนี้จะมีแต่เรื่องโหดๆ รอโฮสต์อยู่ทั้งนั้น สู้ๆ นะโฮสต์คนเก่ง'

ระบบส่งกำลังใจให้ล้านหน่วย

ส่วนคนรับกำลังใจยามนี้ นอนแบ็บเป็นเศษขยะกลางลานฝึกซ้อมขนาดเล็ก วันนี้ก็ยังคงสภาพขี้ริ้วได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ