ตอนที่ 251 แปรเปลี่ยนฉับพลัน
หนึ่งชั่วยามต่อมา สองมารก็ถูกลากตัวกลับมาโดยเหล่าผู้ฝึกยุทธขั้นแก่นทองคำนับสิบคน
กู่ฉิงซานตวัดดาบยาว และเขาก็สามารถบรรลุภารกิจปลดล็อกสมญาได้สำเร็จ
“คุณได้สังหารห้าเป้าหมายในกระบวนท่าเดียว และศัตรูทั้งหมดล้วนมีขอบเขตวรยุทธที่สูงกว่าตนเอง”
“คุณได้เติมเต็มจนครบทั้งห้าตนตามเงื่อนไข ‘ใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่งฆ่าสังหารในกระบวนท่าเดียว’ สามารถปลดล็อกสมญาที่เกี่ยวข้องได้”
“ทำการปลดล็อกสมญาพิเศษ จำต้องจ่ายหนึ่งร้อยแต้มพลังวิญญาณ”
“ฉันยินดีจ่าย”
“คุณได้จ่ายหนึ่งร้อยแต้มพลังวิญญาณ สมญาได้ถูกปลดล็อกแล้ว”
“พลังวิญญาณคงเหลือ...80/40”
“สมญา...ไพ่ตายนักฆ่า (ครอบคลุมสมญานักฆ่า)”
“คำอธิบาย...ใช้ออกเพียงหนึ่งกระบวนท่า แต่กลับสามารถสังหารศัตรูที่แกร่งกว่าตนลงได้”
“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ...เก็บเกี่ยว (ขั้นสูง)”
“เก็บเกี่ยว (ขั้นสูง) เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ในกระบวนท่าเดียว พลังวิญญาณที่สูญเสียไปในการโจมตีครั้งนั้นจะถูกฟื้นฟูกลับมาจนเต็มดังเดิม”
กู่ฉิงซานจ้องมองดูสมญาพิเศษนี้ ในหัวใจของเขาเต้นครึกโครมไปด้วยความสุข
แม้นี่จะไม่ใช่สกิลเทวะ ทว่าในสงครามขนาดใหญ่ มันอาจจะมีประโยชน์มากกว่าสกิลเทวะเสียอีก
ยิ่งต่อไปจากนี้ ในยามที่เขาก้าวขึ้นสู่ขอบเขตแก่นทองคำ กู่ฉิงซานก็จะยิ่งสามารถระเบิดพลังของมันออกมาได้อย่างเต็มที่กว่าที่เคย
“ขอบใจนะ ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าได้มากจริงๆ” เขาตบไหล่เหลิงเทียนสิง
เหลิงเทียนสิงโบกมือและกล่าว “เจ้าเปรียบดั่งพี่น้องข้า เท่านี้ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด”
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“จะไม่พักอยู่ต่ออีกสักหน่อยรึ?”
“อ่า ไม่ล่ะ ภารกิจข้าค่อนข้างเร่งด่วนน่ะ”
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเดินไปส่งเจ้าเอง”
เหลิงเทียนสิงเดินไปส่งเขานอกค่าย เฝ้าดูจนกระทั่งกู่ฉิงซานหายเข้าไปในป่า
สองตาของเหลิงเทียนสิงหรี่แคบลง ปากเอ่ยพึมพำ “พิกลนัก ยามนี้ตลอดทั้งกองกำลังพันธมิตรที่เข้ามาในโลกเทวะ ทุกคนล้วนแล้วแต่กำลังอยู่ในขั้นตอนการสำรวจทั้งสิ้น”
“และบริเวณนี้ นักปราชญ์ก็ได้ทำการตรวจสอบจนแน่ชัดแล้วว่าไม่มีอสูรกายดุร้ายอยู่ เช่นนั้นภารกิจที่เขาได้รับมันจะเป็นเรื่องเร่งด่วนได้อย่างไรกัน?”
“แต่ดูเจ้าหมอนี่ท่าจะรีบไม่น้อย ตกลงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ”
เหลิงเทียนสิงส่ายหัว ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
การเดินทางด้วยตัวคนเดียว ก็มีข้อดีของมัน ยิ่งกู่ฉิงซานมิได้พกของพะรุงพะรังมา การเดินเหินของเขาจึงคล่องแคล่ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งในยามเที่ยงของวันถัดมา กู่ฉิงซานก็มาถึงค่ายทหารของกงซุนซีในที่สุด
ที่แห่งนี้ เป็นค่ายทหารขนาดใหญ่ แม้จะกล่าวว่ามันเป็นป้อมปราการทหารก็คงไม่ผิดนัก
กำแพงด้านนอกป้อมปราการช่างแลดูแข็งแกร่ง มันสูงนับสิบเมตร นอกจากนี้ยังถูกจัดวางซ้อนทับไว้ด้วยค่ายกลป้องกันอันหลากหลาย
ผู้ฝึกยุทธที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปกปักค่ายกล ยืนประจำการอยู่บนกำแพงสูง เว้นระยะห่างกันคนละไม่กี่ก้าว สีหน้าท่าทีของพวกเขาแต่ละคนล้วนแต่เคร่งขรึม ตื่นตัว และระแวดระวังตลอดเวลา
กู่ฉิงซานเอ่ยปากถามผู้ฝึกยุทธบังคับกฎไปหลายคน ทว่าทุกคนล้วนแล้วแต่ให้คำตอบเป็นเสียงเดียวกัน
กงซุนซีมิได้อยู่ที่นี่ ทั้งหมดกล่าวว่าเขาได้ออกไปปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของสามปราชญ์ และยังมิได้กลับมา
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย
ยามที่ส่งยันต์สื่อสารพูดคุยกัน กงซุนซีกับกู่ฉิงซานตกลงกันอย่างชัดเจนว่าจะมาพบเจอกันที่นี่ แต่เมื่อเขามาถึงกลับพบว่าอีกฝ่ายมิได้อยู่ในค่าย?
จากการเดินทางที่ผ่านมา กู่ฉิงซานพบว่าสถานการณ์ในปัจจุบันทุกอย่างนับว่าค่อนข้างดี และเผ่ามารในละแวกนี้ก็มิได้แข็งแกร่งเท่าใดนัก
ทว่านางเซียนไป่ฮั่วย่อมไม่มีทางจะข่มขู่ศิษย์ตนด้วยคำโกหกอย่างแน่นอน
มันจะต้องมีอันตรายใหญ่หลวงอยู่เป็นแน่ เพียงแค่ยังมิได้ปะทุขึ้นมาก็เท่านั้น
‘ฉันจะต้องยกระดับขึ้นไปสู่ขอบเขตแก่นทองคำขั้นต้นให้จงได้ เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตให้มากยิ่งขึ้น’
การยกระดับเปลี่ยนผ่านขอบเขตใหญ่นับว่าเป็นกระบวนการที่อันตรายยิ่ง มารสวรรค์อาจลอบเข้ามาจู่โจมได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตอันลึกลับที่อยู่ในความว่างเปล่าที่ต้องการจะยึดครองร่าง กัดกินจิตวิญญาณหรือเนื้อหนังของผู้ฝึกยุทธอีก…ทุกชนิดของจำพวกที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่อาศัยช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธอ่อนแอที่สุด แล้วลงมือแทบทั้งสิ้น
ดังนั้นตัวกู่ฉิงซานจึงจำเป็นที่จะต้องหาคนที่ไว้วางใจได้คอยปกป้องในช่วงเวลาดังกล่าว
น่าเสียดายที่ในตอนแรก ยามถูกส่งตัวกลับมายังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ แม้จะมีนางเซียนไป่ฮั่วอยู่ด้วยในเวลานั้น ทว่าตัวเขายังอยู่ในสภาพบาดเจ็บหนัก และยังไม่หายดี พลังวิญญาณในร่างกายเหือดแห้งจนไม่สามารถทำการทะลวงด่านในเวลานั้นได้
ทว่าตอนนี้เมื่อเข้ามายังโลกเทวะ พลังวิญญาณในร่างกลับคืนมาเต็มเปี่ยม แต่คนสำคัญอย่างกงซุนซีก็ดันไม่อยู่เสียนี่
ส่วนทางด้านท่านอาจารย์ ตัวกู่ฉิงซานก็ยังมิได้ยินข่าวคราวใดๆ ของนางเลย กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้
แล้วทีนี้ฉันควรจะทำอย่างไรดี?
เขายืนอยู่หน้าประตูค่ายทหาร ปล่อยให้สายตาของใครที่เดินผ่านไปผ่านมา จ้องมองด้วยแววตาแปลกๆ
หลังจากที่สูดหายใจลึก กู่ฉิงซานก็บังคับตัวเองให้สงบใจลง
อย่าทำอะไรให้มันดูวุ่นวายมากไปกว่านี้จะดีกว่า หากวุ่นวายมากเกินไปมันจะดูไม่ดี
ชายที่ชื่อกงซุนซีผู้นี้ เป็นคนรักษาคำพูด ไว้วางใจได้ ในเมื่อตกลงกันแล้ว เขาย่อมไม่บิดพลิ้วในคำมั่นอย่างแน่นอน
ภารกิจที่กงซุนซีจำต้องแยกตัวออกไปลงมือด้วยตนเอง มันจะต้องเป็นภารกิจที่มิอาจบอกปัดได้เป็นแน่
มิฉะนั้น ตัวตนที่รักษาคำพูดเช่นเขา คงไม่กระทำการผิดสัญญาเช่นนี้
ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังขบคิด ทันใดนั้นจู่ๆ ทั่วทั้งสวรรค์และโลกก็พลันมืดสลัวลง
ฝนเพลิงบนท้องฟ้าได้สลายหายไป
แต่กลับบังเกิดคลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณอันรุนแรงดั่งพายุร้ายขึ้นมาแทนที่ มันกรรโชกจนผู้คนมิอาจลืมตาของพวกเขาขึ้นมาได้
“อมิตาพุทธ!”
ระหว่างสวรรค์และโลก บังเกิดเสียงกังวานภาวนาสรรเสริญพระพุทธเจ้าดังขึ้น
นั่นมันเสียงของนักพรตเป่ยหยวน!
ในหัวใจของกู่ฉิงซานพลันหนักอึ้ง เขารีบแหงนหน้ามองขึ้นไปอย่างร้อนรน
เห็นเพียงแค่ประกายสีทองระยิบระยับพร่างพราวอยู่บนท้องฟ้า สาดแสงตรงมาจากสถานที่ห่างไกล
เป่ยหยวนที่สาดประกายอร่าม ทะยานขึ้นไปยังเบื้องบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทว่าทุกคราที่พุ่งขึ้นไป เขากลับต้องพบพานกับความล้มเหลว ร่วงตกลงมาเสียทุกครั้ง
ตูม!
ตูม!
ตูม!
แสงสีทองปะทะเข้ากับท้องฟ้าอันว่างเปล่าอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย
ผ่านไปสักพัก ก็บังอักษรรูนลึกลับผุดออกมาในชั้นอากาศบางๆ จากเบื้องบน และเหวี่ยงปะทะเข้ากับเป่ยหยวนที่สาดแสงอร่ามอย่างกะทันหัน
ฉับพลันนั้นแสงสีทองก็พลันมืดมัว และร่วงตกลงอย่างรวดเร็ว
ร่างมรกตก็วูบเข้าไปรับแสงสลัวสีทอง ตัดชั้นอากาศที่ว่างเปล่าทะยานขึ้นไปยังเบื้องบนท้องฟ้า ทว่าสุดท้ายก็ยังล้มเหลว ถูกดีดตกลงลงมา จนต้องล่าถอยไป
กู่ฉิงซานที่กำลังมองไปยังฉากนี้ ทั้งคนทั้งร่างพลันนิ่งค้างชะงักงัน
ไม่เพียงแค่เขา แต่ผู้ฝึกยุทธเกือบทุกผู้คนที่เห็นฉากนี้ต่างนิ่งค้างเป็นไม้ตายซาก ยืนบื้อใบ้อยู่ในตำแหน่งเดิมมิอาจเคลื่อนไหวแม้เพียงครึ่งก้าว
ความผันผวนของพลังวิญญาณจากประกายแสงสีทองเมื่อครู่นี้ ทุกผู้คนต่างรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
นั่นคือนักพรตเป่ยหยวนไม่ผิดแน่
ส่วนร่างสีเขียวมรกตนั้น ทุกผู้คนก็คุ้นเคยเช่นกัน
นั่นคือนางเซียนไป่ฮั่ว
สองปราชญ์ พยายามที่จะเหินขึ้นไปยังเบื้องบน ที่มีเพียงความว่างเปล่า แต่กลับถูกอะไรบางอย่างปะทะขวางกั้นจนต้องล่าถอย?
นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
มิคิดเลยว่ากระทั่งตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างพวกเขา ก็ยังต้องพบพานกับสถานการณ์เช่นนี้?
สิ่งใดกันที่อยู่เหนือขึ้นไปบนชั้นฟ้า?
แล้วน้อมสวรรค์ซวนหยวนเล่า?
คำถามอันลึกลับลอยวนอยู่ในจิตใจของทุกผู้คน จนมิอาจสงบใจลงได้
“ท่านอาจารย์…” กู่ฉิงซานกัดฟันกรอด
ด้วยอุปนิสัยและห้วงอารมณ์ของนางเซียนไป่ฮั่ว หากสถานการณ์ของนักพรตเป่ยหยวนไม่ย่ำแย่จริงๆ นางย่อมมิมีทางละทิ้งการต่อสู้และหลบหนีไปอย่างแน่นอน
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?
ในขณะนั้นเอง ภายนอกค่ายทหาร บังเกิดเสียงสะท้อนสะท้านดังยาวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับคลื่นสึนามิที่จู่ๆ ก็ถาโถมขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ผืนดินเริ่มสั่นสะเทือน
“เผ่ามาร! เผ่ามารบุกมาแล้ว!” ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“ฝนเพลิง! แล้วฝนเพลิงเล่าหายไปไหนแล้ว!” เสียงของผู้คนจำนวนมากตะโกนขึ้น พวกเขาหันไปรอบทิศอย่างร้อนรน
กู่ฉิงซานแหงนหน้าขึ้นไปทางสุดเส้นขอบฟ้า
ในยามที่เกิดการปะทะของเป่ยหยวนเมื่อครู่ อานุภาพพลังของเขารุนแรงจนปัดเป่าฝนเพลิงให้จางหายไป พวกเผ่ามารจึงอาศัยโอกาสที่ว่านั้นบุกโจมตีเข้ามาทันที เผ่ามารเหลือคณาพุ่งโถมเข้ามาอย่างไม่รู้จบคล้ายดั่งคลื่นสึนามิ
ทว่าผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ฝนเพลิงก็เริ่มกลับมาปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้า บดบังทั่วทั้งผืนดินอีกครั้ง ทั้งหมดเริ่มร่วงโรยลงมาไล่จี้เผ่ามารจากเบื้องหลัง
สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง จดจ้องไปยังมวลมารเหล่านั้น และค้นพบว่ามีมารขั้นก่อกำเนิดอยู่บ้างประปราย กระทั่งบางตัวที่อยู่ในขั้นก้าวสู่เทพก็ยังมีให้เห็น
“พวกเราควรทำสิ่งใดดี!” บางคนตะโกนออกมาอย่างหมดหวัง
นายพลติงหยวนกงซุนซีก็ไม่อยู่ที่นี่
หากปราศจากคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เหล่าผู้ฝึกยุทธก็มิกล้าละทิ้งป้อมปราการที่กำลังจะเสร็จสิ้นในเร็วๆ นี้เป็นแน่
หากพวกเขาแอบหนีไปในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ย่อมต้องถูกสะบั้นศีรษะตามกฎทางทหาร
สองผู้ฝึกยุทธในชุดเกราะทองคำทะยานออกมาอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในนั้นอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสูงสุด อีกหนึ่งอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพ
หนึ่งในนั้นมองมายังกู่ฉิงซานและกล่าว “ข้าเก่งกาจในด้านการต่อสู้ ทว่ากลับไร้ฝีมือในด้านการวางแผน เจ้าคิดเห็นว่าพวกเราสมควรจะทำเช่นไรดีในตอนนี้?”
กู่ฉิงซานกางมือวางลงบนพื้น เพื่อสัมผัสถึงบางสิ่งเล็กน้อย ก่อนที่สีหน้าของเขาจะแปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
“เกรงว่าพวกเราจำต้องถอนกำลัง”
สองนายพลโหยวจีพอได้ฟัง ก็มิเอ่ยคำใด
หนึ่งขั้นก่อกำเนิด หันไปมองหนึ่งขั้นก้าวสู่เทพ
ผู้ฝึกยุทธขั้นก้าวสู่เทพลังเลเล็กน้อย สายตามองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนออกคำสั่งที่ว่านั่นเองก็แล้วกัน”
คำกล่าวนี้บ่งบอกชัดเจนว่าตัวเขาไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบกับคำสั่งที่ประกาศให้ล่าถอย
ในความเป็นจริง ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ นายพลที่มากไปด้วยประสบการณ์สู้รบจะรู้ดีว่าเวลานี้สมควรที่จะถอยทัพ
เมื่อต้องตกอยู่ภายใต้ฝนเพลิงอันเหลือคณาที่กำลังไล่บี้มวลมารจากเบื้องหลัง ฝนเพลิงที่หลอมละลายได้กระทั่งผืนโลกคงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงป้อมปราการอันจิ๊บจ๊อยนี่หรอกกระมัง?
ต้องเผชิญทั้งฝนเพลิง และเผ่ามารจำนวนมหาศาล สิ่งเดียวที่สมควรทำคือหลบหนีเอาชีวิตรอดไม่ใช่หรือ
ส่วนตัวช่วยชั้นดีอย่างนักปราชญ์ ก็พ่ายแพ้อะไรบางอย่างที่อยู่เบื้องบนท้องฟ้าและล่าถอยไปก่อนแล้ว
เวลานี้ ยังจะมามัวรออะไรอยู่อีก หากไม่หลบหนีเอาชีวิตรอด?
ช่วงเวลากดดันเช่นนี้ กู่ฉิงซานคร้านที่จะโต้เถียงกับอีกฝ่าย เขากระโจนขึ้นไปบนเวทีป้อมปราการ
ปากเอ่ยตะโกนลั่น “ทุกคนรีบขึ้นไปบนเรือเหาะเร็วเข้า พวกเราจะล่าถอยกลับไป!”
ผู้ฝึกยุทธมองไปยังเกราะทองคำของเขา ก่อนที่จะเบนสายตาขึ้นไปมองบนใบหน้าคนที่เอ่ยสั่ง แล้วเผยท่าทีลังเลออกมา
‘ป้อมปราการนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบากนะ เจ้าต้องการเช่นนั้นจริงๆ หรือ?’
นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากถูกทวงถามถึงความรับผิดชอบนี้ในอนาคต ไม่ว่าใครก็มิอาจหลีกเลี่ยงมันได้
กู่ฉิงซานเห็นว่าทุกคนยังคงลังเล มิเคลื่อนกายไปไหน ตัวเขาก็เริ่มที่จะวิตกกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
หากยังคงช้าไปกว่านี้ มันจะสายเกินไปแล้วที่จะหลบหนี
ฉับพลันนั้นเขาก็ตบลงในถุงสัมภาระ แล้วหยิบบัตรยืนยันตัวตนออกมา ชูมันสูงขึ้น
“ข้า...นายพลโหยวจีกู่ฉิงซาน ขอให้ทุกคนจงฟังวาจาข้า หากเกิดการทวงถามความรับผิดชอบใดๆ ในภายภาคหน้า ข้าจะเป็นคนแบกรับมันเองแด่เพียงผู้เดียว!”
.......................................................