webnovel

0250 มีกำลังพลในมือจะทำอะไรก็ง่าย

ตอนที่ 250 มีกำลังพลในมือจะทำอะไรก็ง่าย

สมญากับสกิลพิเศษของมัน นับว่าเป็นผู้ช่วยที่ทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่งของหน้าต่างระบบเทพสงคราม

จนกระทั่งถึงตอนนี้ ทุกสกิลพิเศษของสมญาที่เขาได้รับ ล้วนแล้วแต่ทรงพลัง ตัวอย่างเช่นสมญา นายพลชั้นโหยวจี ที่กู่ฉิงซานมักจะชอบใช้งานมันอยู่เสมอ

กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาตัดสินใจปลดล็อกมันทันที

แม้ว่าพลังวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้ในการปลดล็อกจะสูงถึงห้าสิบแต้มก็ตามที

หลังจากที่เขาก้าวเข้ามายังโลกเทวะ ระหว่างเดินทาง ตัวกู่ฉิงซานก็ได้ฝ่าฟันการต่อสู้อันดุเดือดอยู่หลายครั้ง และเก็บเกี่ยวแต้มพลังวิญญาณมาได้ไม่น้อย

เขาก้มมองแต้มพลังวิญญาณที่ตนมี

“แต้มพลังวิญญาณ...230/40”

เนื่องเพราะหลายคราที่ถูกบีบให้ต้องต่อสู้ มีเผ่ามารจำนวนมากที่ขอบเขตวรยุทธเหนือล้ำยิ่งกว่าเขา ดังนั้นแต้มพลังวิญญาณที่สามารถสะสมได้จึงเกินขีดจำกัดสี่สิบไปอีกครั้ง

“จ่ายแต้มพลังวิญญาณปลดล็อกสมญา” เขากล่าว

“คุณได้ทำการจ่ายห้าสิบแต้มพลังวิญญาณ สมญาได้ถูกปลดล็อกแล้ว”

“สมญา...นักฆ่า”

“คำอธิบาย...ใช้ออกเพียงหนึ่งกระบวนท่า แต่กลับสามารถสังหารศัตรูที่แกร่งกว่าตนลงได้”

“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ...เก็บเกี่ยว (ขั้นกลาง)”

“เก็บเกี่ยว (ขั้นกลาง)...เมื่อใดก็ตามที่คุณสังหารฝ่ายตรงข้าม คุณจะได้รับพลังวิญญาณที่ใช้งานออกไปกลับคืนมาหกสิบเปอร์เซ็นต์”

“คำแนะนำ...เมื่อคุณบรรลุใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่งฆ่าสังหารในกระบวนท่าเดียวให้ครบอีกห้าครั้ง คุณจะสามารถปลดล็อกสมญาพิเศษนี้ในขั้นสูงได้”

ดวงตาของกู่ฉิงซานสาดประกายวูบหนึ่ง

นี่มันนับว่าเป็นสมญาที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อใช้ในสงครามโดยเฉพาะ ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดบนสนามรบ สกิลพิเศษของมันจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถลดทอนการสูญเสียพลังวิญญาณได้เป็นอย่างมาก

“ใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่งฆ่าสังหารในกระบวนท่าเดียวให้ครบอีกห้าครั้ง…” เขาเอ่ยพึมพำ

มีเพียงสังหารฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งกว่าตนเองเท่านั้นจึงจะเติมเต็มเงื่อนไขนี้ได้ และที่สำคัญต้องเป็นการปลิดชีพในคราเดียวอีกด้วย

‘ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าสมญา นักฆ่า ขั้นสูงจะมีผลกระทบเป็นยังไง?’

กู่ฉิงซานถอนหายใจ และเดินกลับไปที่ค่ายทหารอย่างช้าๆ

เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างมองเขาด้วยความยำเกรง และพากันปรบมือออกมา

“ท่านนายพลช่างองอาจ! ท่านนายพลจงเจริญ!”

ทั้งหมดร้องตะโกน

ไม่เพียงแต่สามารถหยุดการไล่ล่าของมารร้ายด้วยความแข็งแกร่งของตนเพียงลำพัง

ทว่ากลับมีความหาญกล้าที่ยอดเยี่ยม เขามิเกรงกลัวเลยหรือว่าหากฝ่ายตรงข้ามมีมารในขอบเขตก่อกำเนิดรวมอยู่ด้วย การกระทำเช่นนี้ของเขาจะนับว่าเป็นการเดินไปหาความตาย!

ทว่าสิ่งที่ทุกคนไม่รู้เลยก็คือ ตัวกู่ฉิงซานนั้นได้กวาดจิตสัมผัสเทวะออกไป และสามารถรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเผ่ามารที่กำลังไล่ล่า มิมีตนใดอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิด มีเพียงเจ้ามารยักษาตนเดียวเท่านั้นที่ดูจะแข็งแกร่งที่สุด ด้วยความที่เชื่อมั่นใจการตัดสินใจของตนเอง เขาจึงเลือกใช้ชีวิตของตนเป็นเดิมพัน โยนตัวเองไปยังปลายแถว แล้วทำการตรึงกำลังของพวกมันอยู่ที่นั่น

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความมั่นใจในวิสัยทัศน์ตน

หากไร้ซึ่งความกล้า ไร้ซึ่งวิสัยทัศน์ ไร้ซึ่งพลัง ย่อมมิอาจบรรลุได้

กู่ฉิงซานเดินเข้าไปหาพันเอกที่กำลังทำการรักษาพยาบาลอยู่ ก่อนจะเอ่ยปากถาม “สภาพร่างกายเป็นยังไงบ้าง?”

“ขอบพระคุณที่เป็นห่วงท่านนายพล” พันเอกกล่าว “ตัวข้ามิได้สาหัสเท่าใดนัก เพียงแต่ผู้ที่มาด้วย ดูท่าจะยังคงสิ้นสติไปอีกนาน”

“แล้วคนที่สิ้นสติผู้นี้คือ...?”

“เขาคือพลสอดแนม เป็นผู้รับผิดชอบในการตรวจตราแนวหน้า”

กู่ฉิงซานมองไปที่ชายคนนั้น

ชายคนนั้นตกอยู่ในอาการสิ้นสติ แม้สองตาจะหุบลง ทว่าใบหน้าของเขากลับเผยถึงร่องรอยราวกับว่าไปพบเจอเรื่องสยองเกล้ามา

“แล้วคนผู้นี้สิ้นสติลงได้อย่างไร? ใช่ว่าได้พบเจอกับมารสวรรค์หรือไม่?” เขาเอ่ยถาม

“มิใช่” สีหน้าของพันเอกแสดงอาการแปลกๆ ออกมา “เขาเป็นมือหอกชั้นดี ทว่าครั้งล่าสุดที่ออกไปทำการสอดแนม เขาได้บังเอิญค้นพบกับหอกเล่มหนึ่งในพื้นที่รกร้างและห่างไกล ไร้ซึ่งผู้คนอาศัยอยู่”

“จากนั้นเล่า?”ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มบังเกิดความหนักอึ้งอย่างมิอาจอธิบายได้

“แน่นอน ในฐานะที่เป็นผู้ใช้หอก เขาจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็น หลังจากที่เฝ้าสังเกตอยู่สักพักหนึ่ง เขาก็เดินไปหยิบหอกขึ้นมาและทดลองใช้มันออกไปอยู่หลายกระบวนท่า จากนั้นทั้งคนทั้งร่างก็พลันสิ้นสติลงเสียอย่างนั้น” พันเอกกล่าว

กู่ฉิงซานจมหายลงไปในห้วงความคิด

นั่นเพราะเขาจำได้ว่าภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ของตน มีคำกล่าวที่บอกว่า ‘ได้รับอาวุธ’เช่นกัน หรืออาวุธที่ว่าจะหมายถึงหอกที่เหมือนกับทหารสิ้นสติคนนั้นพบเจอ และหยิบมันขึ้นมา?

ทว่ากองกำลังแนวหน้าได้พบอาวุธ แล้วหยิบมันขึ้นมา แต่ผลลัพธ์หลังจากนั้นกลับกลายเป็นจุดจบเช่นนี้

นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?

“แล้วยังมีคนอื่นๆ ที่ได้พบอาวุธ แล้วทำการหยิบฉวยพวกมันขึ้นมาอีกหรือไม่?”

“เท่าที่ข้าทราบในตอนนี้ ก็ยังไม่มี”

“เช่นนั้น ข้าขอถามรายละเอียดเพิ่มเติมสักเล็กน้อย ชายสิ้นสติผู้นี้มีความสามารถโดดเด่นในด้านใดบ้าง?”

“เขาเป็นพลสอดแนมที่เก่งกาจที่สุดของพวกเรา”

“เข้าใจแล้ว เจ้าจงดูแลเขาให้ดี หากเขาฟื้นสติก็ขอให้จงส่งต่อข้อมูลที่เขารู้ไปรายงานทันที”

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็เตรียมเดินออกไปนอกค่ายทหาร

“ท่านนายพล ท่านจะไปแล้วกระนั้นหรือ?” พันเอกหลี่เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างออกไป

“ข้าได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว มันถึงเวลาที่จำต้องกลับไปดำเนินภารกิจต่อ” กู่ฉิงซานกล่าว

พอได้ฟังเหล่าผู้ฝึกยุทธก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ทั้งๆ ที่การต่อสู้เมื่อครู่กู่ฉิงซานเป็นผู้ออกแรงมากที่สุดแท้ๆ ทว่าเขากลับมิคิดพักผ่อน และเลือกดำเนินภารกิจต่อเป็นอันดับแรก

จนกระทั่งนายพลกู่เดินผ่านไป ทั้งหมดที่แม้จะเหนื่อยล้า ต่างก็พากันลุกขึ้น หนึ่งฝ่ามือประสานหนึ่งกำปั้น ให้แก่เขา แล้วแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตนเองต่ออย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานแม้จะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง ทว่าเขาก็ยังสัมผัสถึงการกระทำของอีกฝ่ายได้ เขาผงกหัวน้อยๆ ก่อนจะเดินหายลับไป

ค่ายทหารของนายพลกงซุนยังคงอยู่ห่างไกลจากที่นี่นัก เขาสมควรจะเร่งฝีเท้าแล้ว

หลังจากผ่านพ้นไปครึ่งวัน กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระ แล้วหยิบแผนที่ออกมา เพื่อดูและทำการวิเคราะห์เส้นทางของตนอีกรอบ

ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ตกลงบนจุดหนึ่งของแผนที่

“ช่างบังเอิญจริงๆ ไหนๆ ก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว ข้าขอแวะเวียนไปสักหน่อยก็แล้วกัน”

กู่ฉิงซานวูบไหวเป็นเงา ก่อนที่ทั้งคนทั้งร่างจะหายวับไปจากตำแหน่งที่ยืนอยู่อย่างไร้ร่องรอย

ตกเย็น เขาก็ได้เดินทางมาถึงค่ายทหารแห่งหนึ่ง

เมื่อได้ยินว่าเขาแวะมา เหลิงเทียนสิงก็เดินออกไปต้อนรับ

“อ้าว? นั่นเจ้ายกระดับขึ้นสู่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้วหรือนี่?” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความประหลาดใจ

“ใช่แล้ว ช่วงเวลาที่ก้าวข้ามทัณฑ์สวรรค์ ข้าฟันฝ่ามันไปอย่างยากลำบาก ทุกข์ทรมานจนแทบจะตกตายเชียวล่ะ” เหลิงเทียนสิงยิ้มอย่างขมขื่น

“พอจะเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“โอ้ ก็เพียงแค่ในช่วงท้ายของการก้าวผ่านทัณฑ์สวรรค์ จู่ๆ ก็ดันเกิดธาตุไฟเข้าแทรกอย่างฉับพลัน และตัวข้าก็เป็นผู้ใช้ธาตุน้ำที่ไม่ถูกกับไฟ ทำเอาพลังวิญญาณปั่นป่วนไปหมด เล่นข้าซะเจ็บหนักเลยล่ะ”

“แต่เจ้าก็ยังผ่านมันมาได้สำเร็จ”

“แท้จริงแล้วสมควรกล่าวว่าโชคช่วยซะมากกว่า” ขณะกล่าว เหลิงเทียนสิงที่นึกถึงมันก็อดไม่ได้ที่จะเสียวสันหลังวาบ

ทั้งสองสนทนากันและเดินเข้าไปในเต็นท์บัญชาการกลาง

“นายพลเหลิง รู้สึกยังไงบ้างที่ได้เป็นผู้บัญชาการกองพัน?” กู่ฉิงซานกล่าวหยอกล้อ

“ฮ่าฮ่า เรื่องนี้คงต้องขอบคุณเจ้า ที่ได้ลากข้าไปเข้าร่วมภารกิจอสูรวิญญาณอะไรนั่น” เหลิงเทียนสิงกล่าว

“แค่เรื่องเล็กน้อยน่ะ ว่าแต่คำสั่งทางทหารของเจ้าคืออะไรกัน?” กู่ฉิงซานถาม

“ก่อตั้งค่าย กำจัดเผ่ามาร และจัดวางค่ายกลขนาดใหญ่ทุกชนิดขึ้น”

“ดูเหมือนว่า พวกเราคงกำลังเตรียมการที่จะยึดดินแดนสินะ ในกรณีที่สงครามยืดเยื้อ”

“ถูกต้อง แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะพวกเราได้ค้นพบแหล่งทรัพยากรแร่ที่อุดมสมบูรณ์มากเข้าน่ะสิ”

“ทรัพยากรแร่? แร่ชนิดใดกัน?”

แล้วเหลิงเทียนสิงก็เอ่ยนามของแร่หลากหลายชนิดออกมา

“ที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นดี เหมาะแก่การใช้หลอมกลั่นนัก” กู่ฉิงซานกล่าวพลางขบคิด

“ใช่แล้วล่ะ โลกใบนี้มันกว้างใหญ่มาก ทว่าขอบเขตการสำรวจของพวกเรายังไปได้ไม่ไกล ทว่ากลับสามารถเก็บเกี่ยวได้ถึงเพียงนี้แล้ว ทุกคนล้วนตื่นเต้นกันไม่น้อยเลย” เหลิงเทียนสิงกล่าว

“แล้วภารกิจของเจ้าเล่า คืออะไร?” ทีนี้เป็นฝ่ายกู่ฉิงซานที่ถูกเอ่ยถามบ้าง

กู่ฉิงซานหัวเราะแห้งๆ ออกมา และคิดว่าตนคงไม่สามารถบอกภารกิจที่แสนอัปยศของตนออกไปได้

เขาจำต้องเอ่ยว่า “อ่า...ก็ประมาณว่าจงสังหารเผ่ามารระดับสูงให้ได้มากที่สุดนั่นล่ะมั้ง”

“เจ้าเป็นผู้ฝึกดาบ ภารกิจนี้เหมาะสมกับเจ้ายิ่ง” เหลิงเทียนสิงกล่าว “พวกเราได้ทำการจับกุมเผ่ามารที่อยู่ในขอบเขตแก่นทองคำเอาไว้หลายตน เพื่อทำการศึกษาองค์ประกอบพลังมารในร่างกายของพวกมัน แล้วตอนนี้ก็ยังมิได้ปลิดชีพมันเลย ข้าไม่แน่ใจว่าหากเจ้าสังหารพวกมัน การกระทำนี้จะถูกนับรวมว่าเป็นภารกิจด้วยหรือเปล่า”

กู่ฉิงซานตกใจเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยความสุข “นับรวม! มันต้องถูกนับรวมอยู่แล้ว”

“เช่นนั้นก็ดี เดี๋ยวข้าจะไปถามผู้ใต้บังคับบัญชาให้ ว่าพวกมันถูกจับตัวเอาไว้ที่ไหน” เหลิงเทียนสิงกล่าว ก่อนจะเดินออกไป

หลังจากนั้นไม่นาน เหลิงเทียนสิงก็เข้ามาเรียกเขา และทั้งสองก็เดินไปยังจุดที่อยู่ไกลของค่าย บริเวณดังกล่าวมีเพียงเพิงต่ำๆ วางอยู่เท่านั้น

ภายในเพิง มีเผ่ามารสามตนนอนอยู่บนพื้น ทั้งหมดถูกมัดตรึงแน่นไว้ด้วยเชือก

พวกมันพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างหมดท่า พยายามที่จะปลดตัวเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการอยู่ตลอดเวลา

กู่ฉิงซานทำการตรวจสอบพวกมันเล็กน้อย และพบว่าเผ่ามารทั้งสามตนนี้ อยู่ในขั้นต้นของขอบเขตแก่นทองคำจริงๆ

“นี่เจ้าไปจับพวกมันมาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“พวกมันถูกล้อมจับโดยสิบผู้ใช้เทคนิคมนตรา สิบนักสู้ ห้าปรมาจารย์ค่ายกล และสองผู้ฝึกดาบ” เหลิงเทียนสิงกล่าว

“เฮ้อ พอมีทหารอยู่ในมือ จะทำอะไรมันก็ง่ายดายไปเสียหมดสินะ” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความอิจฉา

“ข้าสามารถฆ่าพวกมันได้เลยใช่ไหม?” เขาหันหน้าไปถามเหลิงเทียนสิง

“แน่นอน ผู้ฝึกยุทธหลายคนพยายามที่จะค้นหาความลี้ลับของปราณอสูรกายพวกนี้ ทว่าสุดท้ายพวกเขาก็ล้มเหลว จึงได้ทิ้งพวกมันไว้ที่นี่ และไม่ได้มีเวลาที่จะมาฆ่าพวกมัน”

“อย่างนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”

กู่ฉิงซานเดินไปยังเบื้องหน้า สับออกไปสามดาบ แยกหัวมารทั้งสามออกจากร่างของพวกมัน

จากนั้นก็แกล้งทำเป็นตัดเล็บของมารที่ถูกตัดหัว เพื่อเป็นเครื่องยืนยันที่จะใช้ในการพิสูจน์ความสำเร็จทางกองทัพ

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยตัวเล็กๆ ขึ้น

“คุณได้สังหารสามเป้าหมายในกระบวนท่าเดียว และศัตรูทั้งหมดล้วนมีขอบเขตวรยุทธที่สูงกว่า ขอจงมุ่งมั่นพยายามอย่างหนักต่อไป หากเต็มครบทั้งห้าตามเงื่อนไข ใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่งฆ่าสังหารในกระบวนท่าเดียว ก็จะสามารถปลดล็อกสมญาที่เกี่ยวข้องได้”

เหลืออีกเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น เขาก็จะสามารถปลดล็อกสมญาพิเศษระดับสูงได้!

กู่ฉิงซานหันไปมองเหลิงเทียนสิง

เหลิงเทียนสิงนั้นมีไหวพริบไม่เลว คิ้วของเขายกสูงขึ้นทันที ปากเอ่ยถาม “ตัดสะบั้นไปสามหัวก็ยังมิเพียงพอใช่หรือไม่”

“มันยังไม่เพียงพอ”

“เจ้ายังต้องการอีกเท่าไหร่?”

“สองหัว”

เหลิงเทียนสิงเดินออกไป และเอ่ยสั่งสองผู้ฝึกยุทธถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“เดี๋ยวทางเราจะส่งมือดีหลายคนออกไปอีกครั้ง เจ้าก็พักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ ไม่นานก็น่าจะล่าเป้าหมายกลับมาได้แล้ว…” เหลิงเทียนสิงตะโกนกลับมา

กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความอิจฉาอีกครั้ง

นี่แหละคือผลประโยชน์ที่เขาสมควรจะได้รับ หากมีทหารใต้บังคับบัญชา เขาจะสามารถสั่งการคนอื่นๆ ให้ออกไปกระทำในสิ่งที่ตนต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องลงมือใดๆ เลย

และนั่นเป็นเหตุผลที่ในยามสามปราชญ์เอ่ยถามความคิดเห็นของเขา กู่ฉิงซานจึงตั้งใจอย่างแรงกล้า เอ่ยขอให้ตนได้เป็นผู้นำทัพ

.......................................................