webnovel

0252 หากตัดสินใจแล้วว่า

ตอนที่ 252 หากตัดสินใจแล้วว่า

นายพลโหยวจีผู้นี้ ที่แท้ก็คือกู่ฉิงซาน!

พอได้ยิน ได้เห็นด้วยตาตนเอง เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็โล่งใจทันที

นายพลโหยวจีกู่ฉิงซาน คือศิษย์ที่แท้จริงของนักปราชญ์ไป่ฮั่ว!

เขาครอบครองทั้งยศทหารระดับอาวุโส สถานะอันทรงเกียรติและยังเป็นถึงผู้ริเริ่มวางแผนการรบขนาดใหญ่ตั้งแต่ต้น แถมในเวลานี้ ตัวเขาก็กล้ากล่าวออกมาด้วยตนเองต่อหน้าสาธารณชนว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

ทุกคนหันไปมองเขาทันที เฝ้ารอดูว่าจะเอ่ยคำสั่งอะไรต่อไป

กู่ฉิงซานเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ซึ่งเจตนาฆ่า ตะโกนออกไป “ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎทั้งหมดจงฟัง หากพบผู้ใดคิดก่อกวนขวัญกำลังใจทหาร ไม่จำเป็นต้องมารายงานข้า สะบั้นศีรษะมันแทนข้าได้เลยทันที!”

สิ้นเสียงของเขา ผู้บังคับกฎหลายสิบคนก็กระโจนออกมาจากตำแหน่งเดิมของตน แยกย้ายไปประจำจุดต่างๆ โดยสมบูรณ์

ผู้บังคับกฎเหล่านี้ ไม่เพียงแต่มีพื้นฐานวรยุทธที่สูงลิ่ว แต่ยังสามารถสังหารผู้คนได้อย่างคล่องแคล่ว จึงถูกเรียกมาใช้ทำการบังคับกฎทางทหารโดยเฉพาะ

ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ที่เห็นฉากนี้ ต่างก็เริ่มเรียกสติกลับคืนมาได้อย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ตามคำสั่งข้า เรือเหาะทั้งหลายจงเริ่มก่อขบวนโดยเร็วไว พวกเราจะถอนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ปลายทางคือค่ายทหารที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งพันลี้”

นายพลขั้นก่อกำเนิดอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “แต่ข้าไม่คิดว่า”

กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงเย็นขึ้นแทรก “ข้ามิได้ขอความเห็นจากเจ้า คิดท้าทายผู้บัญชาการกระนั้นหรือ โทษคือตัดหัว!”

ผู้บังคับกฎหลายคน ก้าวออกมายังเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ รายล้อมนายพลขั้นก่อกำเนิด

เขาจึงมิคิดเอ่ยขัดต่อ จำใจต้องหุบปากลงทันที

กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ “ปรมาจารย์ค่ายกลทั้งหมดจะคอยรับหน้าอยู่เบื้องหลังชั่วคราว ถ่วงเวลาให้คนอื่นล่าถอย ทว่าหากปรมาจารย์คนใดคิดหลบหนีไปก่อน มันผู้นั้นจะถูกตัดหัว!”

คำว่าตัดหัวถูกเอ่ยออกมาหลายครั้งหลายครา แถมน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยเจตนาฆ่า ทุกสิ่งอย่างนี้ก็เพื่อทำให้ทุกคนรู้ซึ้งถึงความเข้มงวดของกฎทางทหาร

กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่งอีกครั้ง “เริ่มปฏิบัติการได้!”

ผู้ฝึกยุทธขานรับคำรามลั่น

เรือเหาะเริ่มถูกปล่อยตัว และผู้ฝึกยุทธก็เริ่มทำการจัดขบวนมันอย่างรวดเร็ว ทว่ายังคงมุ่งเน้นดำเนินการอย่างเป็นระเบียบ เพื่อที่จะให้สามารถทำการควบคุมเรือเหาะ ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อย่างไม่ติดขัด

กู่ฉิงซานมองไปยังอีกสองนายพล ปากเอ่ยกล่าว “พวกเจ้าและข้า สามคนล้วนเป็นนายพลชั้นโหยวจี จึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในแนวหลัง และคอยสังเกตสถานการณ์โดยรวมในตอนนี้”

สองนายพลเหลือบมองกันวูบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาออกไปภายนอก

มองไปยังฝนเพลิงที่พรางพราวจนแลคล้ายเชื่อมต่อกับพื้นดิน พัดโชยมาซึ่งกลิ่นอายทำลายล้าง เคลื่อนตรงเข้ามายังค่ายทหารอย่างช้าๆ

ภายใต้ฝนเพลิง เผ่ามารยังคงกระจุกตัวกันอย่างหนาแน่น มีบ้างที่ล้มกลิ้งลงและบังเกิดเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาขึ้นเป็นครั้งคราว

ตัวที่วิ่งช้าเกินไป ก็ถูกฝนเพลิงไล่จนทัน ร่วงหล่นเข้าใส่และแผดเผามันจนกลายเป็นขี้เถ้าทั้งๆ อย่างนั้น

ในบรรดานายพลทั้งสอง หนึ่งเป็นถึงขั้นก้าวสู่เทพ วิสัยทัศน์ของเขาย่อมกว้างไกลพอที่จะสามารถมองข้ามผ่านฝนเพลิง และตกลงบนร่างของเผ่ามารหลายตนที่อยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพได้

พอเห็นพวกมัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ปากเอ่ยกล่าวอย่างรวดเร็ว “เจ้ากับข้ามียศเป็นนายพลชั้นโหยวจีเท่าเทียมกัน มิอาจออกคำสั่งแก่ข้าได้”

“ไม่ ข้าสามารถสั่งการเจ้าได้ หนึ่งเพราะข้าได้รับอำนาจอย่างเต็มที่ สองข้าเป็นผู้รับผิดชอบในการล่าถอยครั้งนี้ ฉะนั้น วาจาข้าเปรียบดั่งคำประกาศิต!” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ นายพลขั้นก้าวสู่เทพก็ระเบิดแรงดันวิญญาณออกมาอย่างฉับพลัน โถมกดทับลงมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน

ด้วยขอบเขตวรยุทธของเขา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่กู่ฉิงซานจะสามารถต้านทานแรงดันวิญญาณนี้ได้

“เจ้ากล้า?” สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง ปากเอ่ยกล่าวเสียงกระซิบ

แล้วในตอนนั้นเอง แรงดันวิญญาณของนายพลขั้นก้าวสู่เทพก็พลันลดต่ำลง

นั่นเพราะเขานึกขึ้นได้ว่า บนท้องฟ้า เหล่าผู้ฝึกยุทธที่กำลังล่าถอยอย่างเป็นระเบียบ กำลังก้มลงมองเฝ้าดูพวกเขา ผู้คนทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพยานชั้นดี

นอกจากนี้หากเกิดอะไรขึ้นกับกู่ฉิงซาน นักปราชญ์ย่อมมีวิธีการของตนเองในการสืบเสาะว่าแท้จริงแล้วมันเกิดสิ่งใดขึ้นเป็นแน่

“เหอะ! เจ้ากับข้ามีตำแหน่งเดียวกัน ฉะนั้นเจ้าจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาก้าวก่ายการกระทำของข้า เอาไว้หลังจากนี้ ข้าจะไปอธิบายให้แก่นายพลชั้นติงหยวนด้วยตัวเอง!” นายพลขั้นก้าวสู่เทพกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบ

แล้วเขาก็เรียกเรือเหาะของตนออกมา ก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในฉับพลัน

เขาจากไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งผู้บังคับกฎก็ยังไม่มีเวลามากพอที่จะหยุดเขา

กู่ฉิงซานหันไปมองนายพลขั้นก่อกำเนิด

“ข้าจะติดตามเจ้า คอยรับหน้าอยู่เบื้องหลังเอง หากเจ้าต้องการ” นายพลขั้นก่อกำเนิดกล่าว

“ข้าขอเอ่ยถามถึงชื่อของบุคคลอันทรงเกียรติเช่นท่านจะได้หรือไม่”

“เฉินเฉียว”

“แล้วชายผู้นั้นเล่า?”

“หวังลี่ อารมณ์ของเขาค่อนข้างแปรปรวน เจ้ามิจำเป็นต้องใส่ใจหรอก”

“ข้ามิคิดใส่ใจหรอก สำหรับชายที่ชื่อหวังลี่น่ะ เวลานี้ตัวเขาก็เปรียบดั่งคนที่ตายไปแล้ว นายพลเฉินท่านช่วยรับหน้าที่ดูแลทางฝั่งปรมาจารย์ค่ายกล และเอ่ยสั่งเร่งพวกเขาให้เปิดใช้งานทุกค่ายกลโดยไวได้หรือไม่”

“…เข้าใจแล้ว!”

เจ้าหนุ่มเบื้องหน้าเป็นเพียงแค่นายพลขอบเขตก่อตั้งขั้นสูงสุดแท้ๆ ทว่าไม่รู้ทำไม นายพลชั้นก่อกำเนิดเช่นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะตกปากรับคำของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเช่นนี้

นอกกำแพงใหญ่ทางทิศเหนือ ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าเริ่มเปล่งแสงสว่างขึ้น

ค่ายกลธาตุทั้งห้า เริ่มปรากฏเส้นแสงส่องสว่างขึ้นทีละอัน ทีละอัน ทะยานขึ้นสู่ผืนฟ้าจนสว่างจ้า

กู่ฉิงซานนับจำนวนของมันอย่างเงียบๆ

สามสิบหกค่ายกลโจมตี เจ็ดสิบสองค่ายกลป้องกัน ค่ายกลวิญญาณ และค่ายกลกำจัดมารร้ายอีกจำนวนหนึ่ง ทุกอย่างถูกจัดวางเชื่อมต่อกันจนสมบูรณ์และเตรียมพร้อมเปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว

กงซุนซีเป็นถึงยอดปรมาจารย์ค่ายกล ดังนั้นหากค่ายกลนี้เขาเป็นคนควบคุมการจัดวางด้วยตนเอง นั่นหมายความว่ามันย่อมต้องทรงพลานุภาพ ไร้ซึ่งจุดอ่อน กระทั่งหยดน้ำสักหยดก็ไม่มีทางหลุดรอดออกไปได้

ปรมาจารย์ค่ายกลของป้อมปราการนี้ ย่อมต้องเป็นผู้สืบทอดโดยตรงของกงซุนซี และพวกเขาไม่เต็มใจที่จะละทิ้งป้อมนี้โดยง่าย ณ ขณะนี้ ทั้งหมดจึงระเบิดพลังที่มีออกมาอย่างสุดกำลัง เพื่อที่จะแสดงอำนาจของค่ายกลที่พวกตนแสนจะภาคภูมิต่อหน้ากู่ฉิงซาน

ต้องรู้นะว่าเพียงแค่การจัดวางและบำรุงรักษาค่ายกลเหล่านี้เพียงอย่างเดียว มันจำต้องใช้แรงงานมนุษย์และศิลาวิญญาณจำนวนมหาศาล มหาศาลถึงขั้นสามารถก่อสร้างนิกายขนาดกลางขึ้นมาได้เลย

กล่าวง่ายๆ ก็คือ การจะยอมละทิ้งปราการแห่งนี้ไป เป็นความรับผิดชอบที่ไม่มีใครกล้าจะแบกรับ

เฉพาะเรื่องนี้ กระทั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในกองทัพก็ยังมิกล้าตัดสินใจ

แต่กู่ฉิงซานที่เพิ่งได้ขึ้นเป็นนายพลมาหมาดๆ กลับสั่งให้ทำการถอยทัพโดยไร้ซึ่งความลังเลใจแม้แต่น้อย?! นี่จะบอกว่าเขามั่นใจในวิสัยทัศน์ตน หรือหวาดกลัวจนโง่งมดีนะ?

กู่ฉิงซานยืนอยู่บนกำแพงป้อมปราการในมุมสูง เฝ้าสังเกตฝนเพลิงและกระแสมารที่กำลังตีวงแคบ ย่นระยะห่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ช่วงเวลานี้เอง ไม่มีใครทันได้สังเกตเห็นเลยว่า พื้นดินเบื้องหลังตัวอาคารในป้อมปราการเริ่มที่จะปรากฏรอยปริแตกออก

และตัวดาบเล่มหนึ่งก็ผุดขึ้นมาอย่างเงียบๆ

ทันทีที่ตัวดาบปรากฏขึ้น มันก็สอดส่ายวิสัยทัศน์ควานหาสถานที่หลบซ่อนของตนเอง และทิ้งตัววางนิ่งอยู่เงียบๆ ทั้งๆ อย่างนั้น

ในตำแหน่งนี้ จากมุมมองของมัน จะสามารถเฝ้าสังเกตถึงฉากของกู่ฉิงซานที่กำลังสั่งการทัพได้อย่างชัดเจน

และมันก็เลือกที่จะเฝ้ารอดูอย่างสงบ

ทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขากำลังยืนอยู่บนกำแพงสูงของป้อม สองตาเฝ้าสังเกตการณ์ทางทหารอย่างสุดกำลัง

แล้วจู่ๆ

เหนือผืนฟ้าที่กำลังสาดเทฝนเพลิงลงมา ก็บังเกิดเงาๆ หนึ่ง ร่วงตกลงไปยังทิศทางของป้อมอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น ก่อนที่สีหน้าของเขาจะแปรเปลี่ยนฉับพลัน

มันเป็นเรือเหาะที่มีตัวอักษร “ฉาน” สลักอยู่

เรือเหาะลำนั้นได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง มันสะดุดหลุมอากาศบนท้องฟ้า และเกือบจะปะทะกับฝนเพลิงจนไฟลุกท่วมอยู่หลายครั้ง

เผ่ามารนับสิบที่ทรงพลังต่างแหงนหน้ามอง ก่อนจะส่งเสียงร้องแปลกๆ และทะยานตัวขึ้นไปบนเวหา พรวดตรงไปยังเรือเหาะ

“เปิดใช้งานธงศึก!”

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังวิกฤต กู่ฉิงซานก็ตะโกนออกไป

สามสิบหกธงดำ เจ็ดสิบสองธงม่วง บินมาลอยอยู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

ธงดำที่ว่านี้เป็นตัวแทนของค่ายกลโจมตี ส่วนธงม่วงเป็นตัวแทนของค่ายกลป้องกัน

บนด้ามจับของธง จะมีสีสันแตกต่างกันออกไปโดยอ้างอิงตามธาตุทั้งห้าของมัน

นี่คือปราการธงที่ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อง่ายต่อการใช้งาน ที่ต้องทำก็เพียงแค่กวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปควบคุม

กู่ฉิงซานเริ่มทำควบคุมธงศึกจากในจุดที่เขายืนอยู่

หนึ่งร้อยแปดธงลอยกระพือไหว พวกมันลอยมาหยุดอยู่ท่ามกลางอากาศเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานยืนเผชิญหน้าท้าทายแรงลม เขากวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปยังสิบหกธงดำอย่างแผ่วเบา ปากเอ่ยบัญชา “สิบหกธงดำ จงรับหน้าที่คุ้มกันเรือเหาะ!”

ทันใดนั้น เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสิบหกค่ายกลโจมตีก็ได้รับข้อความ มือของพวกเขาวูบไหว จีบออกด้วยเทคนิคลับตรงไปยังค่ายกล

สิบหกค่ายกลโจมตีเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ

ในวินาทีต่อมา เสาแสงสีสันสดใสนับไม่ถ้วนก็ปะทุขึ้นมาจากป้อมปราการ ก่อนจะวาดออกไปเป็นเส้นโค้ง กวาดเข้าใส่เหล่ามารที่ทะยานตัวขึ้นไปโจมตีเรือเหาะ ตัวที่อ่อนแอก็ถูกระเบิดกลายเป็นเศษซากทันที ส่วนตัวที่แข็งแกร่งหน่อย แม้จะไม่ตกตาย ทว่าก็ถูกกระแทกปลิวถอยออกไปตกลงท่ามกลางฝนเพลิงที่อยู่เบื้องหลังแล้วตกตายลงอยู่ดี

กู่ฉิงซานควบคุมยี่สิบเจ็ดธงม่วง ปากเอ่ยกล่าว “วางค่ายกลวิญญาณเพื่อทำการคุ้มครองจากระยะไกล”

ทันทีที่เสียงของเขาตกลง หลายสิบค่ายกลวิญญาณก็เปล่งแสงเรืองรองออกมาจากปราการ และสาดลงบนเรือเหาะของหนิงเยว่ฉาน

โล่ปราการครอบคลุมเรือเหาะอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเรือเหาะที่เป๋ไปมาอย่างไร้การควบคุมก็กลับมาเสถียรและค่อยๆ ร่อนลงในค่ายทหารอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานทำการเชื่อมต่อกับธงที่ยังคงเหลืออยู่ ปากตะโกนลั่น “ค่ายกลป้องกันทั้งหมด เปิดประตูออก เตรียมรับคนของข้า!”

ในเสี้ยววินาทีนั้น ค่ายกลป้องกันที่ครอบคลุมปราการพลันสว่างวาบ เปิดช่องทางที่แลคล้ายประตูขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน

เรือเหาะร่อนลงผ่านประตูที่ว่านั่น มันวูบผ่านด้านข้างของกู่ฉิงซาน กระแทกลงกับพื้นค่ายทหาร ครูดไหลเป็นทางขุดพื้นดินเบื้องล่างขึ้นมาเป็นชั้นๆ

“นายพลเฉิน ท่านจงไปเตรียมทำการช่วยเหลือ!” กู่ฉิงซานมองไปยังคลื่นมารที่อยู่ทางเหนือของป้อมปราการโดยมิได้หันหน้ากลับมา

“เข้าใจแล้ว!” เฉินเฉียวรีบวิ่งไปยังเรือเหาะพร้อมด้วยผู้ฝึกยุทธที่ตามติดไปหลายคน

ในเวลานี้ คลื่นมารที่ถาโถมเข้ามาดั่งสึนามิ ระลอกแรกกำลังจะปะทะเข้ากับพวกเขาในไม่ช้า

กู่ฉิงซาน ควบคุมสามสิบหกธงดำ ปากเอ่ยบัญชาอีกครั้ง “ตามบัญชาจิตสัมผัสเทวะของข้า ขอจงผสานการโจมตีที่แตกแขนงทั้งสามสิบหกสายเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งแบบเต็มกำลัง!”

สามสิบหกค่ายกลโจมตีสาดแสงขึ้นพร้อมกัน จนทั่วทั้งค่ายทหารบังเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย

วินาทีต่อมา สามสิบหกค่ายกลก็ผสานหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แปรเปลี่ยนเป็นเสาแสงขนาดยักษ์ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า

เสาแสงนี้เคลื่อนไหวตามจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน มันหวดเข้าใส่พื้นดินเบื้องหน้าค่ายทหาร ทำลายล้างในครั้งเดียวกินพื้นที่ไปกว่าหลายลี้

“ยังไม่พอ ขออีกครั้ง!” กู่ฉิงซานเอ่ยปากต่อเนื่อง

เสาแสงยักษ์พวยพุ่งออกมาจากค่ายทหารอีกครั้ง ถูกควบคุมให้กวาดลงไปยังพื้นเบื้องหน้าอีกครา บังเกิดหวีดของสายลมขึ้นกลางอากาศในทิศทางที่มันวาดผ่าน ตามด้วยเสียงระเบิดหนักทึบยามเมื่อมันกระแทกลงกับพื้นโลก

“อีกครั้ง!”

ปง!

“จัดไปอีกดอก”

ปง!

กู่ฉิงซานกวาดสายตามองไปยังเบื้องนอก เมื่อเห็นว่าผลลัพธ์เป็นไปดั่งที่เขาต้องการแล้ว ทั้งคนทั้งร่างก็รีบกระโดดลงจากกำแพงป้อม และพุ่งตรงไปยังเรือเหาะของหนิงเยว่ฉานทันที

บนพื้นดินที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ลี้นอกป้อมปราการ บัดนี้บังเกิดธารลึกที่กินอาณาเขตกว้างกว่าหนึ่งร้อยเมตร ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อสายตา

ธารลึกที่ว่านี้คอยแบ่งแยกป้อมปราการกับเผ่ามารออกจากกัน ส่งผลให้พวกมันเกือบทั้งหมดมิอาจทะยานข้ามผ่านมาได้ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นมารระดับสูง ที่มีอยู่เพียงน้อยนิด

เผ่ามารที่บุกเข้ามา สับฝีเท้าเร็วรี่จนมิอาจชะลอความเร็วของพวกมันลงได้ ตนแล้วตนเล่าต่างร่วงตกลงไปในธารลึก และถึงแม้บางตนจะหยุดฝีเท้าลงได้ ทว่ามันก็ถูกมารตนอื่นที่วิ่งตามหลังมากระแทกเข้าใส่จนตกตามลงไปอยู่ดี

เผ่ามารกับป้อมปราการบัดนี้ได้ถูกแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง ด้วยกลยุทธ์ที่ไม่มีใครทันจะคาดคิดว่า บนโลกใบนี้ก็สามารถใช้วิธีขี้โกงเช่นนี้ก็ได้ด้วย!

อย่างไรก็ตาม แม้คลื่นมารจะถูกหยุดลงไปแล้ว แต่มิได้หมายความว่าฝนเพลิงที่ร่วงโรยลงจากฟากฟ้า คอยตามติดพวกมันมาจากเบื้องหลังจะหยุดตามลงด้วย พวกมันยังคงโปรยปรายมุ่งหน้าตรงมายังป้อมปราการอย่าไม่หยุดยั้ง

ภายในป้อม...ห้องโดยสารบนเรือเหาะได้ถูกเปิดออก

หนิงเยว่ฉานลากกงซุนซีที่ตกอยู่ในอาการหมดสติออกมา และมองไปยังกู่ฉิงซานด้วยความตื่นตระหนก

“ค่ายกลนั่น เจ้าเป็นผู้ควบคุมมันใช่หรือไม่?”

“เป็นข้าเอง”

“แล้วกองทัพผู้ฝึกยุทธเล่า?”

“ข้าสั่งให้ทุกคนล่าถอยแล้ว”

“ล่าถอยไปที่ใด?”

“ไปยังค่ายทหารของเหลิงเทียนสิง”

“โชคดีจริงๆ” หนิงเยว่ฉานผ่อนลมหายใจยาว “รีบเปลี่ยนเรือเหาะ! ทุกคนจงอพยพออกจากป้อมปราการ!”

เนื่องเพราะเธอเป็นนายพลชั้นติงหยวน ดังนั้นเพียงแค่เธอเอ่ยปาก ทุกคนก็รีบปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว

คราวนี้กระทั่งปรมาจารย์ค่ายกลก็มิคิดขัดขืนคำสั่งอีกต่อไป

เหตุหนึ่งก็เพราะผู้บัญชาการค่ายของพวกเขาสิ้นสติ ดังนั้นสถานการณ์ในเวลานี้จึงเข้าสู่สภาวะที่มิอาจแก้ไขได้

“เกิดอะไรขึ้นกับท่านนายพลกงซุน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ข้าก็มิรู้เช่นกัน พวกเราสืบเสาะหาเบาะแสอยู่ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ล้มลงอย่างไม่มีเหตุผล” หนิงเยว่ฉานกล่าว

“จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ช่วงเวลานั้นเขากระทำการใดอยู่ด้วยหรือเปล่า?”

“เขาหยิบดิสก์ค่ายกลขึ้นมา และพยายามที่จะปรับแต่งมัน”

“ว่าไงนะ!”

กู่ฉิงซานตรวจสอบกงซุนซีอย่างรอบคอบ และพบว่าทั้งคนทั้งร่างของอีกฝ่ายตกอยู่ในอาการสิ้นสติ ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลยสักนิด

“ดูเหมือนว่าจิตเทวะจะถูกจู่โจม เราสมควรล่าถอยและพาเขาไปรักษาตัวก่อนจะเป็นการดีที่สุด”

เขาเรียกเรือเหาะออกมาทันที แล้วปล่อยให้เฉินเฉียวไปช่วยพยุงกงซุนซีกับหนิงเยว่ฉาน

“แล้วเจ้าเล่า?” หนิงเยว่ฉานมองมาที่เขา ปากเอ่ยถาม

กู่ฉิงซานกำลังจะก้าวขึ้นไปบนเรือเหาะ ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งเข้า

ตรงมุมตัวอาคารภายในป้อมปราการ ปรากฏดาบยาวที่แตกหักเล่มหนึ่งวางนิ่งอยู่อย่างสงบ

กระทั่งตัวกู่ฉิงซานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จู่ๆ ตัวเขาถึงสังเกตเห็นดาบยาวเล่มนั้นได้

ความคิดในจิตใจของเขาเริ่มวูบไหว ทันใดนั้น เขาก็พลันฉุกคิดได้ทันทีถึงสิ่งที่ภารกิจแรกของพลังศักดิ์สิทธิ์

“วัตถุประสงค์ภารกิจ...แสดงพรสวรรค์ของตนเองในโลกเทวะอย่างเต็มกำลัง จนกว่าคุณจะ ‘ได้รับอาวุธ’ ”

ได้รับอาวุธ…

กู่ฉิงซานเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน เขาหันไปกล่าวกับหนิงเยว่ฉานว่า “เจ้าจงถอนตัวไปก่อน ข้าจะตามไปในภายหลัง”

“เข้าใจแล้ว จงใส่ใจกับความปลอดภัยของตน แล้วเราค่อยมาพบกันในภายหลัง” หนิงเยว่ฉานมิใช่คนที่มีอุปนิสัยและอารมณ์ที่จะมามัวเสียเวลาซาบซึ้งใดๆ พอได้ฟังเธอก็กล่าวตอบฉับพลัน และควบคุมเรือเหาะบินจากไปทันที

เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ยังหลงเหลือก็ทยอยกันอพยพอย่างเป็นระเบียบ

กู่ฉิงซานเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าดาบยาวที่แตกหัก

ดูจากลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของมัน ดูเหมือนว่ามันจะถูกทิ้งมาไว้นานหลายปีแล้ว

กู่ฉิงซานสำรวจตัวดาบยาวอย่างใกล้ชิด และพบว่ารูปแบบและลวดลายบนด้ามดาบเล่มนี้ แตกต่างกับด้ามดาบที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

ตัวดาบด้านหนึ่งแบนราบ ราวกับว่ามันถูกตัดออกจนเหลือเพียงครึ่งเดียว และอีกครึ่งก็ไม่รู้ว่าหายไปที่ใด

กู่ฉิงซานก้มลงหยิบดาบยาวขึ้นมา

ติ๊ง!

เสียงของระบบดังกังวานขึ้น

“ผู้เล่นได้ทำการหยิบอาวุธขึ้นมา”

“ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว”

.......................................................