webnovel

บทที่ 5

เมืองเฉียวเชียนในช่วงวสันตฤดู ตลาดเล็กๆ นอกหมู่บ้านในช่วงสาย มีชาวบ้านมาตั้งร้านขายของเต็มถนนทั้งสองฝั่งดูบรรยากาศครึกครื้น อากาศในช่วงนี้เย็นสบาย บรรยากาศวิวทิวเขางดงามด้วยใบไม้ที่กำลังจะเปลี่ยนสี ในตลาดแห่งนี้เยว่ซินเองก็เป็นหนึ่งในแม่ค้าที่มาตั้งร้านขายน้ำชาเช่นทุกวัน

"ขอชาดอกท้อป่ากับซาลาเปาให้ข้าหนึ่งที่" รายการสั่งอาหารจากชายร่างสูงในอาภรณ์ขาวมวยเกศาสีเงินปักปิ่นไม้กฤษณา ใบหน้าหมดจดสง่างามราวกับบุตรชายในตระกูลผู้สูงศักดิ์

"น้ำชากับซาลาเปาของท่านได้แล้วเจ้าค่ะ" เยว่ซินในชุดผ้าทอสีฟ้า ผูกผ้าโพกศีรษะฉายใบหน้างดงามชัดเจน จำต้องมวยเก็บเส้นผมเพราะเป็นแม่ค้าขายอาหาร

"อ๊ะ! เสี่ยวเข่ออ้าย เจ้าห้ามแย่งอาหารลูกค้าของข้านะ" เยว่ซินดุสุนัขขนฟูสีขาวตัวเดิมที่ในตอนนี้นางได้ตั้งชื่อให้ว่าเสี่ยวเข่ออ้าย เจ้าเสี่ยวเข่ออ้ายจู่ๆ ก็ไปนั่งมองชายอาภรณ์ขาวแล้วกระดิกหางใส่ราวกับคุ้นเคย มันไม่ได้มีท่าทีจะแย่งซาลาเปาจากเขา เพียงแต่มันกำลังทักทายเจ้านายที่แท้จริงของมันต่างหาก มันจำเซียนอี้ได้ เพราะมันมีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยคาถาของเขา

แม้ในตอนนี้เซียนอี้จะไม่ใช่ไท่เซียนอี้ตี้จวินคนเดียวกับในภพเทพ แต่มันสัมผัสได้ว่าจิตเทพที่อยู่ภายในร่างมนุษย์ผู้นี้เป็นของใคร

"ไม่เป็นไร มันน่ารักดี มันชื่อเสี่ยวเข่ออ้ายใช่หรือไม่"

"เจ้าค่ะ มันเป็นหมาหลงทางมาที่บ้านของข้า ตอนนี้ข้าโตแล้ว ท่านแม่เลยอนุญาตให้ข้าเลี้ยงมันไว้เป็นเพื่อนได้"

"ดี ข้าว่ามันซื่อสัตย์และช่วยปกป้องเจ้าได้" เซียนอี้ในร่างมนุษย์ก้มมองเสี่ยวเข่ออ้ายที่ยังคงนั่งกระดิกหางแล้วระบายยิ้มบางอย่างเอ็นดู เขาลูบหัวแล้วมันก็เอียงคอรับมืออย่างรู้ความ เจ้าสุนัขน้ำหมึกที่เขาส่งมาเพื่อคอยดูเยว่ซินในแดนสวรรค์ แต่ภพนี้เขาไม่จำเป็นต้องแอบดูนางเช่นนั้นแล้ว เหลือเพียงให้เจ้าสุนัขน้ำหมึกทำหน้าที่เพื่อนสนิทที่ซื่อสัตย์ของเยว่ซินไปแล้วกัน

"ว่าแต่ท่านชาย ท่านดูไม่เหมือนคนแถวนี้เลย ท่านมาจากเมืองหลวงใช่หรือไม่ ไยข้าไม่คุ้นหน้าท่าน" เยว่ซินที่เพิ่งขายซาลาเปาให้ลูกค้าหน้าร้านเสร็จหันมาชวนคุย

"ข้าชื่อเฉิงอี้ เป็นแม่ทัพที่เพิ่งย้ายมาใหม่ของเมืองเฉียวเชียน" เฉิงอี้ก็คือไท่เซียนอี้ เขาแนะนำตัวในฐานะมนุษย์ การมาจุติในครั้งนี้เพื่อเผชิญด่านเคราะห์ที่เก้า แม้ร่างกายจะเป็นมนุษย์ แต่จิตใจยังคงเป็นไท่เซียนอี้ตี้จวินไม่ลืม

"ยินดีที่ได้รู้จักท่านแม่ทัพเฉิง เอ่อ ข้าเรียกท่านสั้นๆ เช่นนี้ได้หรือไม่" เยว่ซินมองหน้าเขาด้วยนัยน์ตากลมโต ความสดใสฉายแววจากดวงตาแจ่มชัด เขายังจำใบหน้ากลมเล็กของเด็กน้อยเยว่ซินได้ราวกับเพิ่งเจอกันเมื่อวาน ทว่าตอนนี้นางเติบโตมาอย่างงดงาม จิตเทพที่ไม่เคยสั่นไหวต่อสิ่งใด ขณะนี้กับรู้สึกยากจะควบคุมเพียงได้เมื่ออยู่ใกล้นางเช่นนี้

"ได้ ข้าอนุญาต แล้วเจ้าชื่ออะไร"

"ข้าชื่อเยว่ซิน แต่ท่านแม่ข้าชอบเรียกข้าว่าเสี่ยวเยว่"

"แล้วท่านแม่ของเจ้าอยู่ที่ใดเล่า"

"ท่านแม่ข้าไปปลูกต้นดอกท้อป่าบนภูเขากับชาวบ้าน"

"ต้นดอกท้อป่า" เฉิงอี้ถามซ้ำอีกครั้ง

"ใช่ ภูเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้านข้า บนเขาเต็มไปด้วยต้นดอกท้อป่า ท่านแม่กับชาวบ้านเชื่อว่าต้นดอกท้อป่ามีภูติศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองหมู่บ้านของพวกเราเอาไว้ เช่นนั้นทุกปีท่านแม่กับชาวบ้านจะไปปลูกต้นดอกท้อป่าบนภูเขา เพื่อให้ภูติดอกท้อป่าได้มีที่สถิตอยู่ปกป้องพวกเราตลอดไป"

"แล้วไยเจ้าไม่ต้องไปช่วยแม่ของเจ้าเล่า"

"ท่านแม่ข้าบอกว่าไปชาวบ้านหลายคนก็พอแล้ว ให้ข้าอยู่ร้านขายของไปจะดีกว่า"

"เช่นนี้เอง ซาลาเปาของเจ้าอร่อยมาก ชาดอกท้อป่าก็หอมชื่นใจ เอาไว้ข้าจะมาอุดหนุนเจ้าอีก ข้าขอตัว" เฉิงอี้จ่ายเบี้ยเงินให้เยว่ซิน แล้วไม่ลืมที่จะลูบหัวเสี่ยวเข่ออ้ายเพื่อบอกลา

เยว่ซินมองแผ่นหลังของเขาเดินหายลับตาไปกับฝูงชนในตลาด นางรู้สึกมีบางอย่างในตัวเฉิงอี้ที่นางเหมือนคุ้นเคย แต่เมื่อพยายามนึกกลับนึกไม่ออก

เฉิงอี้เดินทางโดยลำพังมาถึงภูเขาดอกท้อป่าตามคำบอกเล่าของเยว่ซิน หากลี่จิ่นให้ความสำคัญกับที่นี่ เช่นนั้นเขาต้องมาสืบดูให้รู้แน่ชัดว่าภายในภูเขาดอกท้อป่าแห่งนี้มีอะไรซ่อนเร้นอยู่กันแน่ บนภูเขาแห่งนี้พื้นที่กว้างใหญ่นับสิบลี้ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้ป่านานาพรรณ สัตว์ป่าน้อยใหญ่มีให้เห็นเป็นระยะๆ แต่เมื่อเห็นมนุษย์พวกมันก็พากันหลบซ่อนตัวไปตามสันชาตญาณ

ฤดูนี้เป็นวสันตฤดูหน้าดอกท้อบาน สีชมพูจากกลีบดอกท้อเบ่งบานระบายทั่วทั้งหุบเขา คละด้วยกลิ่นหอมของละอองเกสรชวนหลงใหลราวกับสวนดอกไม้ในแดนสวรรค์ที่ฟางเหนียงคอยดูแลอยู่ก็มิปาน มิน่าน้ำชาที่ได้ดื่มในวันนี้ถึงได้หอมกว่าชาดอกท้อป่าในฤดูอื่น เมื่อเดินมาเรื่อยๆ ได้สักระยะเฉิงอี้ได้ยินเสียงพูดคุยกันคล้ายกับเบื้องหน้าไม่ไกลนี้จะมีกลุ่มชาวบ้านอยู่ เฉิงอี้อยากรู้ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใด จึงรีบเดินหน้าเข้าไปหาทันที

"ท่านเป็นใครกัน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้" หญิงชาวบ้านคนหนึ่งที่กำลังรดน้ำต้นกล้าดอกท้อป่าหันหลังมาเจอเฉิงอี้ เฉิงอี้จึงผงกศีรษะเบาๆ ทักทายกลับไป นางมองเฉิงอี้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วเลื่อนสายตากลับมามองใบหน้าหมดจดของเขานิ่งราวกับต้องมนต์สะกด

"ข้าชื่อเฉิงอี้ เป็นแม่ทัพที่เพิ่งย้ายมาเมืองเฉียวเชียน วันนี้ไม่มีการใดจึงออกมาเดินสำรวจเมือง ข้าเห็นว่าบนเขานี้ทิวทัศน์สวยงามเต็มไปด้วยต้นดอกท้อป่าจึงอยากมาเดินเล่น"

"ที่แท้ท่านก็คือท่านแม่ทัพนี่เอง ข้าได้ข่าวจากหลานชายเหมือนกันว่าแม่ทัพที่ย้ายมาใหม่หน้าตาหล่อเหลาเอาการที่แท้ก็คือท่าน นี่ๆ พวกเจ้ามาทักทายท่านแม่ทัพกันหน่อยสิเร็วๆ เข้า" หญิงชาวบ้านยิ้มหวานหันร้องเรียกทุกคนให้มาต้อนรับเฉิงอี้

"คารวะท่านแม่ทัพ" พวกชาวบ้านวางเครื่องมือเพาะปลูกแล้วเดินมารุมล้อมเฉิงอี้ด้วยความเป็นมิตร

"พวกท่านตามสบายเถอะ ข้าขอฝากตัวด้วย หากพวกท่านมีเรื่องใดเดือดร้อนก็แจ้งข้ามาได้"

"ท่านแม่ทัพยังหนุ่มยังแน่น หน้าตาก็ดี รูปโฉมงามเช่นนี้ทำไมถึงมาเป็นแม่ทัพกันเล่า ถ้าข้ามีลูกชายหล่อๆ แบบท่าน ข้าจะให้เป็นพระเอกในโรงละครน้ำชาเสียดีกว่า เรียกเบี้ยเงินจากสาวๆ แม่ยกได้เยอะแยะ" หญิงชาวบ้านอีกคนชวนคุยร่ายยาวตามประสาคนมีอายุ เฉิงอี้ยิ้มขบขันกับท่าทางเอาจริงเอาจังของอาอี๋คนนี้

ยังหนุ่มยังแน่นเช่นนั้นหรือ หากยังอยู่แดนสวรรค์อายุของเขาก็ปาเข้าไปหกแสนปี ถ้าให้เรียงอาวุโสจริงๆ ตอนที่เขาได้ตำแหน่งตี้จวิน อาอี๋คนนี้ยังไม่เกิดเลยกระมัง

"จริงสิ มัวแต่คุยกับท่านแม่ทัพเฉิง แล้วลี่จิ่นหายไปไหนเสียแล้วล่ะ" อาอี๋คนเดิมหันซ้ายหันขวามองหาลี่จิ่น

"นางไปเก็บผลไม้ให้เสี่ยวเยว่เหมือนเคยนั่นล่ะ พวกเราเสร็จงานแล้วก็กลับกันเถิด จะได้ไม่ถึงหมู่บ้านเย็นเกินไปนัก" ชายวัยกลางคนเสนอขึ้นมา พร้อมกับก้มลงเก็บเครื่องมือที่วางกองอยู่ที่พื้นขึ้นแบกบนบ่า

"ข้าก็ว่าเรากลับกันเถอะ ท่านแม่ทัพพวกข้าขอตัวก่อนนะ เอาไว้วันหน้าท่านแม่ทัพไปเยี่ยมหมู่บ้านของพวกเรา ข้าจะต้อนรับท่านอย่างดีเลย"

"ขอบคุณอาอี๋" เฉิงอี้ยิ้มรับ

หลังจากกลุ่มชาวบ้านเดินกลับลับตาไป เฉิงอี้ค่อยๆ เดินลึกเข้าไปป่าต้นท้อด้วยความระมัดระวัง จนกระทั่งเบื้องหน้าเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ ถัดไปอีกฝั่งหนึ่งจะเป็นภูเขาสูงตระหง่าน เฉิงอี้หยุดยืนนิ่ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบหินแม่น้ำอยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก ร่างสูงในอาภรณ์ขาวเร้นกายอยู่หลังซอกหลืบของหินผา เมื่อเห็นว่าใครสักคนกำลังเดินตรงมาทางเขา เมื่อเข้ามาใกล้พอได้ระยะสายตา เขาก็แน่ใจว่านางคือลี่จิ่น โดยที่ข้างกายนางมีภูติดอกท้อป่าสามคนเดินรายล้อมมาด้วยกัน

ที่แท้ลี่จิ่นห้ามมิให้เยว่ซินมาปลูกต้นดอกท้อป่าด้วยกัน เพื่อไม่ให้นางรู้ว่าแท้จริงต้นดอกท้อป่าเหล่านี้คือภูติเซียนที่ลี่จินดูแลไว้เพื่อคอยปกป้องดูแลบุตรสาวนางนั่นเอง

เมื่อครั้งที่จื่อหยวนส่งสายอัสนีลงมา คงเป็นพวกนางนี้แล้วกระมัง ที่รวมตัวปกป้องเด็กน้อยจนปลอดภัย

"แม่นางลี่จิ่นวางใจเถอะ หากเทพธิดาน้อยอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์เมื่อใด เส้นลิขิตชะตาของเทพเซียนก็จะถูกบดบังไปตลอดกาล เทพธิดาน้อยจะมีเส้นชะตาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ถึงเวลานั้นต่อให้เป็นเทียนจวิน ก็มิอาจพาเทพธิดาน้อยกลับสู่แดนสวรรค์ได้แล้ว" ภูติดอกท้อป่าคนหนึ่งเอ่ยประโยคยาวคล้ายกำลังพยายามช่วยให้ลี่จิ่นคลายความกังวลบางอย่างในใจ

"ข้ารอวันนั้นมาถึงยี่สิบปี อีกสองเดือนเท่านั้นความหวังในใจข้าก็จะเป็นจริง แต่ยิ่งใกล้วันเกิดของนาง ข้ากลับรู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก"

"แม่นางลี่จิ่นอย่าคิดมากเลย เชื่อข้าเถิด ทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่"

"ใช่ๆ ท่านไว้ใจพวกข้าเถิด พวกข้าเป็นภูติพิทักษ์เทพธิดาน้อย พวกข้าไม่ปล่อยให้เทพธิดาน้อยเป็นอันตรายในวันคืนดวงจิตสู่ภพเทพแน่นอน"

"ข้าขอบใจพวกเจ้ามากที่ช่วยข้าปกป้องดูแลเยว่ซินมาเป็นอย่างดี นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว ข้าคงต้องกลับก่อน เยว่ซินไม่เจอข้าจะเป็นห่วงเอาได้" ลี่จิ่นบอกลาภูติดอกท้อป่าทั้งสามคน

'คืนดวงจิตสู่ภพเทพ'

เฉิงอี้ทวนคำพูดของภูติสาวในใจอีกครั้งก็เข้าใจได้ทันทีว่าต่อไปนี้กำลังจะเกิดอะไรขึ้น หากอีกภายในสองเดือนข้างหน้าเขาไม่สามารถช่วยปลดผนึกจิตเทพของเยว่ซินออกได้ เมื่อนางมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ในวันเกิด ดวงจิตเทพจะดับสลายคืนสู่แดนสวรรค์ราวกับไม่เคยมีเทพธิดาดอกท้อป่าถือกำเนิด เหลือไว้เพียงกายเนื้อและวิญญาณมนุษย์ที่นางครอบครองอยู่เท่านั้น

นี่เขามีเวลาเพียงแค่สองเดือนเท่านั้นเองหรือ...

ณ ตำหนักจวินเฟิง หลี่จวินกำลังซ้อมกระบวนท่ารำกระบี่ที่หลอมขึ้นใหม่จากปะการังเพลิงสีชาด ท่วงท่าปราดเปรียวรวดเร็วตามสายลม คมดาบกระทบกลางอากาศเกิดแสงสีชาดดุจเปลวเพลิงดูน่าเกรงขาม หลี่จวินหมุนตัวพร้อมสะบัดคมดาบไปรอบกาย ก่อนจะฟาดฟันในกระบวนท่าสุดท้ายกลางอากาศแล้วลงมายืนนิ่งกลางลานกว้างอย่างสง่างาม

"ท่านหลี่จวิน" เมื่อเห็นว่าหลี่จวินซ้อมเสร็จแล้ว ฟางเหนียงจึงเดินเข้ามาหา ทั้งๆ ที่ระหว่างนั้นนางยืนรออยู่ก่อนแล้ว

"ฟางเหนียง นั่งสิ" หลี่จวินที่นั่งพักเหนื่อยรินน้ำชาเพิ่มอีกจอก

"ข้านำขนมดอกกุ้ยฮวามาให้ท่าน" ฟางเหนียงวางกล่องขนมบนโต๊ะแล้วเปิดกล่องเพื่อให้หลี่จวินได้กิน

"ข้าไม่ชอบกินขนมหวาน" หลี่จวินมองขนมดอกกุ้ยฮวาสามสี่ชิ้นในกล่อง กลิ่นหอมของขนมที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ช่างน่ากิน แต่ทว่าเขาไม่ชอบของหวานมาแต่ไหนแต่ไร จึงตัดสินใจบอกกับนางไปตรงๆ ฟางเหนียงยิ้มบางๆ อย่างเข้าใจ

"ขนมนี้ถ้าท่านไม่ชอบ เช่นนั้นข้าถามท่านได้หรือไม่ว่าท่านชอบกินอะไร ครั้งหน้าข้าจะทำมาให้ท่าน"

"ข้าไม่รบกวนเจ้าจะดีกว่า"

"แต่ว่าข้า..." ยังไม่ทันที่ฟางเหนียงจะพูดอะไรต่อ เทพธิดาสวรรค์สามสี่คนก็เดินเข้ามาในลานของตำหนักจวินเฟิงอย่างถือวิสาสะ

"ฟางเหนียง ข้าไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่นะ" เทพธิดาคนหนึ่งมองฟางเหนียงด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก รวมถึงอีกสามคนด้านหลังเองก็รู้สึกได้ว่าไม่ชอบนาง หลี่จวินเองก็พอจะดูออกอยู่บ้าง

"พวกเจ้ามีอะไรถึงมาตำหนักของข้า" หลี่จวินปรับเสียงเข้ม เทพธิดาที่เพิ่งมาพากันตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบเก็บอาการแล้วส่งยิ้มหวานให้หลี่จวินแทน

"ท่านหลี่จวิน พวกข้านำของเล็กๆ น้อยๆ มาให้ท่าน ฟางเหนียงหลบไปสิ ข้าจะคุยกับท่านหลี่จวิน" เทพธิดานิสัยเสียคนเดิมหันไปตะคอกฟางเหนียงในประโยคท้าย ฟางเหนียงไม่อยากมีปัญหากับพวกนางจึงรีบลุกจากที่นั่งแล้วถอยห่างออกไปสองสามก้าว

"เจ้าจะยืนขวางอยู่ตรงนี้ทำไมกัน" เทพธิดาคนที่สองเห็นว่าฟางเหนียงยังอยู่จึงพยายามไล่นางอีกคน

"หลบไปสิ!" เทพธิดาคนที่สามและสี่เดินเข้ามาผลักฟางเหนียงพร้อมกันให้นางออกไปพ้นทาง ทว่าหลี่จวินไวกว่านั้น

"โอ้ย!" ฟางเหนียงหน้าเสียที่โดนผลักไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่หลี่จวินเข้ามาประคองตัวนางไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มลงไป อ้อมแขนแข็งแกร่งของเขาโอบตัวฟางเหนียงไว้แน่น แต่เพราะถูกผลักจนถอยเซผิดท่าทำให้ข้อเท้าของนางบาดเจ็บ

"บังอาจ!" หลี่จวินตะคอกเทพธิดานิสัยเสียทั้งสี่เสียงดังลั่นจนน่ากลัว พวกนางตกใจหันมองหน้ากันจนทำตัวไม่ถูกแล้วพากันรีบวิ่งออกไปให้พ้นหน้าหลี่จวิน แต่หลี่จวินไม่ชอบที่พวกนางถือวิสาสะมารังแกกันเองต่อหน้าเขา อีกทั้งที่นี่ยังเป็นตำหนักส่วนตัวของเขาด้วย เหตุใดเทพธิดาพวกนี้จึงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ หากปล่อยพวกนางไปง่ายๆ เช่นนั้นตำหนักจวินเฟิงของเขาจะต่างอะไรกับตลาดในโลกมนุษย์กันเล่า

หลี่จวินประคองร่างบางของฟางเหนียงไว้มั่น แล้วพลิกฝ่ามืออีกข้างร่ายคาถาเสกเชือกวิเศษมัดข้อมือรวบเข้ากับลำตัวและข้อเท้าของเทพธิดาทั้งสี่คนไว้จนพากันกลิ้งล้มระเนระนาดตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอยอยู่บนพื้น

"รอข้า" หลี่จวินประคองฟางเหนียงให้นั่งลงที่เดิม

หลี่จวินเดินเข้ามาหาเทพธิดาทั้งสี่ที่นอนกลิ้งกรีดร้องอยู่ที่พื้นอย่างอับอายเสียหน้าและคงจะบาดเจ็บกันเล็กน้อยที่ล้มลง เขาเป็นถึงเทพแห่งสงคราม ทหารเทพทั้งสวรรค์ยังต้องกลัวเกรง แล้วพวกนางทั้งสี่เล่าเป็นใครกัน ถึงกล้ามาก่อเรื่องเช่นนี้ถึงในตำหนักจวินเฟิง

"ท่านหลี่จวิน เหตุใดท่านถึงมัดพวกข้าเช่นนี้"

"นี่พวกเจ้ารู้ความผิดหรือไม่!" หลี่จวินเสียงเข้มดุจกำลังสั่งสอนทหารเทพทั้งกองทัพ

"พวกข้ารู้แล้ว รู้แล้ว ท่านหลี่จวินปล่อยพวกข้าเถิด" เหล่าเทพธิดาเริ่มร้องไห้ด้วยความกลัว

"พวกเจ้าผิดเช่นไร"

"พวกข้ารังแกฟางเหนียง พวกข้าสำนึกผิดแล้ว พวกข้าไม่ดีเอง"

"ดี ในเมื่อมีความผิดก็ต้องถูกลงโทษ" หลี่จวินพูดจบก็ผายฝ่ามือหนาหงายขึ้น ร่างทั้งสี่ของเทพธิดาที่นอนอยู่บนพื้นค่อยๆ ลอยสูงขึ้นในท่ายืนกลางอากาศ แววตาของหลี่จวินดูเย็นเยียบ เขาสะบัดมืออีกครั้งจนเกิดแสงพริบตาสีครามเข้มแล้วร่างทั้งสี่ของเทพธิดาก็พลันหายไป

หลี่จวินเดินกลับหลังมาหาฟางเหนียงที่ยังคงนั่งรออยู่ที่เดิม เขานั่งลงแล้วจับข้อเท้าของฟางเหนียงตรวจดูอาการบาดเจ็บอย่างเบามือ ฟางเหนียงตกใจกับท่าทีของหลี่จวินจนรีบถอยเท้าออก หลี่จวินขมวดคิ้วเงยหน้ามองฟางเหนียงที่กำลังนั่งตัวสั่นเทาอยู่ตรงหน้า นางไม่เคยเห็นหลี่จวินทำโทษเทพธิดาคนไหนบนสวรรค์ อีกทั้งตอนนี้ยังคุกเข่าต่อหน้านางทั้งๆ ที่เขาเป็นเทพหน้าน้ำแข็งต่อนางมาตลอดห้าหมื่นปี จะไม่ให้นางประหม่าได้อย่างไร

"อยู่นิ่งๆ สิ" แม้แววตาของเขาจะดูน่ากลัวอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงกลับอบอุ่นอ่อนโยนผิดกับเมื่อครู่นี้มากนัก

"ข้อเท้าข้าเคล็ดนิดหน่อยเท่านั้น ข้ากลับไปทายาเองได้ ท่านลุกขึ้นมาเถอะ" เขาเป็นถึงจตุรเทพจะมานั่งคุกเข่าต่อหน้านางได้เช่นไร หากใครมาเห็นเข้าคงจะถูกลือไปทั้งแดนสวรรค์แน่

"เดินไหวหรือไม่"

"ข้าลองก่อน" ฟางเหนียงค่อยๆ ลงน้ำหนักเท้าเพื่อลุกยืน แต่นางถูกผลักแรงจนข้อเท้าเคล็ดแล้วเริ่มจะบวมช้ำ สุดท้ายฟางเหนียงก็เซแทบล้มทั้งยืนอีกครั้งจนหลี่จวินต้องรีบเข้าประคอง

"ถ้าเจ็บก็อย่าดื้อกับข้า" หลี่จวินส่งสายตาดุ ฟางเหนียงทำตัวไม่ถูกแถมยังตัวสั่นเทาเป็นลูกนกโดนลมหนาว ร่างสูงตัดสินใจอุ้มเทพธิดาดอกไม้สวรรค์ขึ้นแนบกายแล้วพาเข้าไปภายในตำหนักจวินเฟิง

"ข้าไปหยิบยาก่อน" หลี่จวินวางร่างบางที่เก้าอี้ ฟางเหนียงพยักหน้ารับฟังอย่างว่าง่าย

"ท่านส่งเทพธิดาพวกนั้นไปที่ใด" หลี่จวินไม่ตอบ เขากำลังมองหายาทาแก้ปวดอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง

หลี่จวินชันเข่าหนึ่งข้างลงกับพื้นแล้วยกข้อเท้าของฟางเหนียงวางบนตักของเขาเพื่อทายา ฟางเหนียงตกใจสะดุ้งอีกครั้งเพราะนี่เป็นท่าทางที่ดูไม่น่าจะเหมาะสมกับฐานะของหลี่จวิน

"ท่านหลี่จวิน ข้าทาเองได้ ท่านเป็นถึงจตุรเทพลืมแล้วหรือไม่ ทำแบบนี้หากใครมาเห็นเข้า ท่านอาจถูกนินทาเอาได้นะ"

"ข้าชอบกินปลาเก๋าสามรส"

"ท่าน ท่านว่าอย่างไรนะ" ฟางเหนียงปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน หลี่จวินที่กำลังก้มหน้าทายาและค่อยๆ นวดข้อเท้าให้นางอยู่ลอบยิ้มบางๆ

"ข้าบอกว่าข้าไม่ชอบของหวาน แต่ข้าชอบกินปลาเก๋าสามรส"

"นี่ท่านกำลังจะบอกให้ข้าทำปลาเก๋าสามรสให้ท่านใช่หรือไม่"

"อืม"

"แต่ท่านบอกข้าว่าท่านไม่อยากรบกวนข้านี่นา" หลี่จวินถึงกลับถอนหายใจ เขาค่อยๆ วางข้อเท้าของฟางเหนียงลงที่พื้น แล้วลุกขึ้นนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ นาง

"ข้าไม่ได้รบกวนเจ้า ข้าเพิ่งช่วยเจ้าจากเทพธิดานิสัยเสียพวกนั้น แถมตอนนี้ก็ยังทายาให้อีก เจ้าคงไม่คิดที่จะไม่ตอบแทนข้ากระมัง"

"ไม่นะ ขอบคุณท่านหลี่จวินที่ช่วยข้า พรุ่งนี้ข้าจะทำปลาเก๋าสามรสมาให้ท่านแน่" เมื่อเห็นนางมีสีหน้าลนลาน หลี่จวินก็อดแอบหันหลบไปขำไม่ได้

"ดี พรุ่งนี้ข้าจะรอกินปลาเก๋าสามรสของเจ้า"

ริมสะพานเมฆาสวรรค์ ร่างของเทพธิดาสาวทั้งสี่ที่ถูกมัดมือมัดเท้าลอยเคว้งอยู่กลางอากาศเป็นที่น่าขบขันแก่เหล่าเทพสวรรค์ที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมา แสงสีครามของเชือกวิเศษที่มัดอยู่บนตัวพวกนางบ่งบอกให้รู้ว่าใครกันที่จะกล้าทำโทษพวกนางเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่เจ้าของอาภรณ์สีรัตติกาลเกศาครามอย่างเทพสงครามอวี๋หลี่จวิน ต่อจากนี้ไปเกรงว่าตำหนักจวินเฟิงคงจะเป็นที่น่าขนหัวลุกสำหรับพวกนางแล้ว