ป่ายงโจวในยามค่ำคืนช่างมืดมิด ต้นไม้สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมไปทั้งบริเวณจนยากที่แสงจากจันทราจะสาดส่องลงมาถึงพื้นหญ้าได้ สัตว์ป่าน้อยใหญ่ต่างอยู่ในรังนอน ที่นี่สงัดเงียบจนได้ยินเสียงใบไม้ไหวไปตามลม สัตว์ที่ออกหากินกลางคืนก็ถูกความมืดมิดบดบังจนหาตัวได้ยาก
ลึกเข้ามาในป่ามีถ้ำหินขนาดใหญ่อยู่ตรงแนวเชิงเขา ปากทางเข้ามีรากไม้และเถาวัลย์หนามปกคลุมแน่นหนา คืนนี้จันทราเต็มดวงท่ามกลางลมหนาวยะเยือกปนความชื้นในป่าใหญ่ ภายในถ้ำเกิดแสงวูบไหวเป็นประกายแสงสีน้ำเงินเข้ม ความสงบเพียงครู่เดียวถูกทำลายด้วยเสียงหินหนักตกกระทบกันจากแรงสั่นไหว รอยแตกร้าวตามผาหินชันเริ่มชัดเจนจนในที่สุดปากถ้ำก็แตกกระจัดกระจายด้วยแรงระเบิดจากไอมาร
เมื่อฝุ่นผงเศษเถ้าธุลีเริ่มจางลง ทางเข้าถ้ำก็ปรากฎชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิท ใบหน้าคมเข้มมีคิ้วหนา นัยน์ตาดุดันเป็นแสงสีน้ำเงิน เขายืนนิ่งคล้ายกับกำลังพยายามทรงตัวยืน ส่วนสองมือที่เพิ่งปล่อยพลังมหาศาลกำลังสั่นเทา นิ้วมือทั้งสิบเกร็งงอราวกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขา การขยับตัวที่ไม่ยังไม่คุ้นชินเป็นไปได้ยากยิ่ง เนิ่นนานหลายนาทีจนในที่สุดเขาก็หายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะเริ่มยกเท้าเดินก้าวแรก
ร่างสูงเดินมาหยุดที่ริมธารต้นแม่น้ำของป่ายงโจว เขากางแขนสุดเอื้อมทั้งสองข้างแล้วเงยใบหน้าคมเข้มขึ้นมองดวงจันทร์พลางสูดหายใจเข้าไปลึกๆ ราวกับโหยหาอากาศบริสุทธิ์มาแสนนาน นัยน์ตาสีน้ำเงินจดจ้องไปที่ดวงจันทร์แล้วนิ่งมองราวกับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
"ฮุยอิน ข้ากลับมาแล้ว" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งในลำคอทั้งๆ ที่ยังเงยหน้าอยู่ ก่อนจะกลับมายืนในท่าปกติแล้วทอดสายตาไปอีกฝั่งของแม่น้ำ ดินแดนฝั่งนั้นที่เขารู้จักมันเป็นอย่างดี ที่นั่นคือ...เผ่ามารฮุยอิน
ค่ำคืนนี้ช่างยาวนาน ร่างสูงที่คล้ายจะปรับตัวกับโลกภายนอกถ้ำได้แล้วกำลังเดินอย่างองอาจมาตามทางอีกฝั่งหนึ่งของป่ายงโจว เขามาถึงดินแดนเผ่ามารฮุยอินแล้ว ไม่นานนักก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าลานกว้าง ทหารที่เฝ้าเวรยามหน้าทางเข้าตำหนักฮุยอินกงถึงกับผงะตาค้าง เมื่อพบว่าบุคคลที่ปรากฎกายใต้เงาจันทราคือผู้ใด
"คา คารวะท่านจอมมารซวิ่นเฟิง!" ภายใต้น้ำเสียงเข้มแข็งทว่าสั่นเครืออยู่ในทีของสองทหารเฝ้ายาม รู้สึกได้ถึงความดีใจอย่างที่สุดเมื่อพวกเขาได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่ามารอีกครั้ง
ซวิ่นเฟิง เจ้าของตำแหน่งจอมมารส่งยิ้มบางให้พวกเขา แล้วก้าวเท้าอย่างมั่นคงเดินเข้าไปยังตำหนักฮุยอินกงที่เขาจากไปนานระยะหนึ่ง เมื่อเข้ามาด้านในทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเดิม กลิ่นอายของเผ่ามารที่คุ้นเคย ทำให้ภาพความทรงจำครั้งสุดท้ายแล่นผ่านมาในใจให้นึกถึงและยังคงชัดเจนราวกับเรื่องเหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ร่างสูงเดินไปนั่งบนบัลลังก์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่นั่งแสนสง่างามของจอมมารฮุยอินผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นบิดาของเขา เมื่อครั้งที่บิดายังอยู่ เขาชื่นชมและตั้งมั่นว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นจอมมารที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับบิดา ทว่าความคิดนั้นกลับกลายเป็นจริงเร็วยิ่งนัก ยากที่จะทำใจจริงๆ
ในสงครามเผ่ามารฮุยอินรบกับแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าครั้งที่สอง หากเป็นเรื่องเล่าของเหล่าเทพ กองทัพมารอย่างพวกเขาคงจะเป็นตัวร้ายที่น่ากลัวมากกระมัง แต่ในความจริงแล้วใครจะรู้ดีไปกว่าทายาทจอมมารอย่างเขากันล่ะ นึกย้อนไปตั้งแต่เกิดสงครามครั้งแรก เป็นเหตุการณ์ที่บิดาของเขาคิดไม่ถึงมาก่อนด้วยซ้ำว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ครานั้นมารดาของเขาเพิ่งจากไปอย่างไม่มีวันกลับ จอมมารฮุยอินเสียใจจนแทบสิ้นสติ กองทัพมารมีแม่ทัพก็เหมือนไม่มี ราวกับเรือที่ไร้หางเสือจะเดินหน้าต่อไปก็เซซัดตามคลื่นลมอย่างไร้ทิศทาง ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วดินแดน
จนกระทั่งเกิดข่าวลือที่น่าขันว่าจอมมารฮุยอินไร้ซึ่งอำนาจ เป็นจอมมารไร้ความสามารถและเสียสติ จากนั้นเพียงไม่นานแดนสวรรค์ก็ส่งทูตสวรรค์มาเยือนเพื่อตรวจสอบเรื่องราวให้แน่ชัด ทว่าใครจะไปรู้ แดนสวรรค์ที่เลื่องชื่อในความยุติธรรม สองทูตสวรรค์จิตใจชั่วร้ายกลับทูลเทียนจวินสร้างเรื่องใส่ร้ายเผ่ามารว่ากำลังคิดการใหญ่ก่อกบฏแก่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า ทั้งๆ ที่ผ่านมาตลอดหลายแสนปีเผ่ามารฮุยอินต้องการเพียงแค่ดินแดนมารอันเป็นเอกเทศ ขอเพียงความสงบในดินแดนให้พี่น้องเผ่ามารได้ดำรงรักษาเผ่าพันธุ์เท่านั้น ทว่าเทียนจวินกลับเชื่อเรื่องโกหกของสองทูต ส่งกองทัพมาปราบเผ่ามารฮุยอินจนแทบสิ้นแผ่นดิน เคราะห์ดีที่จอมมารฮุยอินตั้งสติและรวบรวมพละกำลังกลับมาต่อสู้ปกป้องพี่น้องเผ่ามารไว้ได้ส่วนหนึ่ง มิเช่นนั้นป่านนี้เผ่ามารฮุยอินคงเหลือเพียงชื่อเสียแล้ว
ในสงครามครั้งแรกนั้นจบลงที่เผ่ามารของเขาอ่อนกำลังลง ไท่เซียนอี้ตี้จวินที่ครานั้นออกรบร่วมกับจตุรเทพแดนสวรรค์ได้เสนอเงื่อนไขข้อหนึ่งแก่เผ่ามาร ให้หลังจากนี้เผ่ามารจะต้องสละดินแดนหนึ่งในสามส่วน เมื่อไร้ซึ่งอาณาเขตเพื่อขยายเผ่าพันธุ์ จำนวนพี่น้องเผ่ามารก็ถูกจำกัดการเกิดใหม่ เงื่อนไขเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่ามารสร้างกองทัพที่ยิ่งใหญ่ได้อีกครา
จอมมารฮุยอินเห็นแก่ความสงบสุขของพี่น้องเผ่ามาร จึงตอบรับเงื่อนไขอย่างง่ายดาย แต่แล้วความสงบสุขก็อยู่กับพวกเขาได้เพียงสามหมื่นปี เมื่อสองทูตคนเดิมทำทีมาตรวจตราเขตแดนร้างว่างเปล่าที่เผ่ามารเสียไป เขตแดนนั้นติดกับแม่น้ำฝั่งป่ายงโจว กลางดึกคืนหนึ่งจู่ๆ ก็เกิดไฟไหม้ป่าเสียหายไปกว่าครึ่ง เหล่าสัตว์น้อยใหญ่กรีดร้องวิ่งหนีตายอย่างลนลานโกลาหล พี่น้องเผ่ามารที่อาศัยอยู่ใกล้กับเขตนั้นยืนยันหนักแน่นว่าเป็นฝีมือของสองทูตสวรรค์ชั่วร้ายนั่นเป็นแน่ ทว่าใครจะเชื่อมารเช่นพวกเขา เทียนจวินแห่งแดนสวรรค์เกือบจะส่งกองทัพมาเตรียมรบอีกครา ในข้อหาเผ่ามารก่อกบฏไม่เคารพแดนสวรรค์ แต่สงครามนี้ยังไม่ทันเกิดขึ้น เพราะไท่เซียนอี้ตี้จวินเป็นคนห้ามทัพด้วยตัวเอง นับว่าจตุรเทพท่านนี้ยังพอมีความยุติธรรมอยู่บ้าง และโชคดีที่เทียนจวินยังเชื่อในคำพูดของเขาที่ว่า...
'ไฟป่าโหมรุนแรงเช่นนี้พวกท่านเห็นหรือไม่ ไอมารจากสงครามครั้งก่อนยังคงล่องลอยไม่จางหาย ตอนนี้ทั้งไอมารและควันไฟต่างเป็นพิษ เหล่าสัตว์น้อยใหญ่วิ่งหนีตายจ้าละหวั่น มิสู้พวกท่านที่เรียกตัวเองว่าเทพสวรรค์เก็บแรงมาช่วยเหลือสัตว์ที่หนีตายและดับไฟ ขจัดไอมารก่อนดีหรือไม่ อีกทั้งไฟป่าก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติได้ ในเมื่อไม่มีหลักฐานไหนเลยจึงคิดว่าเผ่ามารเป็นผู้ลงมือ'
ไท่เซียนอี้ตี้จวินกล่าวจบก็ลงมือทำเป็นตัวอย่าง จตุรเทพทั้งสี่ร่ายคาถาหลายกระบวนท่าเพื่อดับไฟและคุ้มกันเหล่าสัตว์ในป่าให้ปลอดภัยในที่สุด หลังจากนั้นเผ่ามารฮุยอินก็อยู่อย่างสงบสุขมาตลอดสองแสนปี
แต่ในที่สุดฟ้าดินก็ไม่เข้าข้างเผ่ามารของพวกเขาอยู่ดี สองแสนปีอันสงบสุขนั้นสั้นเหลือเกิน ในขณะที่จอมมารฮุยอินกำลังพาเขาไปจำศีลในถ้ำภายในป่ายงโจว เพื่อบำเพ็ญตบะเลื่อนขั้นเป็นจอมมารรุ่นต่อไป เหตุที่เป็นป่ายงโจวก็เพราะที่นั่นเงียบสงบและไร้ผู้คนกวนใจ เป็นดินแดนที่ไม่มีเทพหรือมารตนใดเข้าไปย่างกาย เหมาะแก่การที่ทายาทจอมมารจะอาศัยบำเพ็ญตบะเช่นนั้นแล้ว ทว่ารองแม่ทัพเผ่ามารหย่งเล่อเกิดพลาดท่าติดกับดักชั่วร้ายของใครสักคนในแดนสวรรค์ หย่งเล่อถูกทหารเทพกลุ่มหนึ่งคิดอุบายหลอกให้ตั้งกองทัพขนาดย่อมๆ ในเวลาเดียวกับที่จอมมารฮุยอินไม่อยู่ เพื่อเป็นกองกำลังเสริมช่วยกองทัพเทพสวรรค์ปราบปีศาจเต่าพันปีที่ทะเลตงไห่ หย่งเล่อเห็นว่าหากช่วยทัพสวรรค์ได้ เรื่องคลางแคลงใจระหว่างภพเทพกับเผ่ามารก็คงเลิกแล้วต่อกัน
แต่ทว่าเมื่อไปถึงทะเลตงไห่ นอกจากจะไม่มีปีศาจเต่าพันปี กลับพบเพียงร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหารเทพนับพันชีวิตนอนนิ่งเรียงรายสุดสายตา จังหวะไม่ดีที่เทพสงครามอวี๋หลี่จวินเดินทางมาถึงพอดี หลักฐานตรงหน้ายากจะแก้ตัว
เบื้องหน้าของ อวี๋หลี่จวินคือกองทัพเผ่ามารกับร่างไร้วิญญาณของทหารเทพ เมื่อหย่งเล่อพยายามจะอธิบายก็ไร้ซึ่งน้ำหนักที่น่าเชื่อถือ ทหารเผ่ามารคนหนึ่งอาศัยจังหวะชุลมุนรีบนำข่าวร้ายมาบอกแก่จอมมารในถ้ำที่ป่ายงโจว
วินาทีนั้นจอมมารฮุยอินรีบปิดผนึกถ้ำเพื่อขังเขาที่เป็นลูกชายไว้ ในตอนนั้นเขาเจ็บปวดใจที่ถูกทิ้งไว้ในถ้ำเพียงลำพัง เขาอยากออกไปปกป้องบิดาและพี่น้องเผ่ามารอันเป็นที่รัก ทว่าตบะของบิดาเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป เขาไม่สามารถทลายอาคมกำแพงมารหนีออกมาได้ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นคือต้องบำเพ็ญตบะให้แข็งแกร่งแล้วทลายถ้ำออกมา
ทว่ามันก็สายเกินไป เขาพยายามบำเพ็ญตบะอย่างเข้มงวด จนกระทั่งในคืนหนึ่งจู่ๆ อาคมกำแพงมารก็สลายไป วินาทีนั้นเขาควรจะดีใจที่ในที่สุดก็จะได้ออกมาจากถ้ำที่มืดมิดและเงียบเหงานั้นสักที แต่ไม่เลย กลับกลายเป็นว่าเขานั่งทรุดลงไปร้องไห้แทบขาดใจ เสียงสะอื้นก้องกังวาลไปทั้งถ้ำ
ใครจะรู้ว่าทายาทจอมมารที่ใครต่างก็เกรงกลัว แต่ในเวลานั้นเขากลับกลายเป็นชายหนุ่มที่แสนอ่อนแอ เมื่อรู้ว่าบิดาจอมมารได้จากเขาไปตลอดกาล จิตใจของเขาจำเป็นต้องเข้มแข็งขนาดไหนกัน มารดาป่วยจากไปเมื่อสองแสนปีก่อน ส่วนบิดาก็ถูกหลอกไปเอาชีวิต เพียงได้ชื่อว่าเป็นมาร ฟ้าดินจำต้องใจร้ายกับเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ
"ซวิ่นเฟิง!" ท่ามกลางความเงียบภายในโถงบัลลังก์ ผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็เดินค้ำยันด้วยไม้เท้าตรงเข้ามาหาเขา
"ท่านลุง" ซวิ่นเฟิงรีบลุกลงจากบัลลังก์แล้วเข้าไปประคองแขนท่านลุงผู้อาวุโสให้นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งซ้ายมือของบัลลังก์
"หลานรักของข้ากลับมาแล้ว เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ซวิ่นเฟิง" ผู้อาวุโสมองซวิ่นเฟิงด้วยสายตาของความรักและคิดถึงอย่างสุดหัวใจ สองมือแห้งกร้านยกลูบไล้ทั่วใบหน้าไล่ลงตามแขนเพื่อตรวจดูว่าหลานรักของเขายังสบายดีหรือไม่
"ข้าไม่เป็นไรท่านลุง ข้าดีใจที่ท่านลุงยังเฝ้ารอข้ากลับมา" ซวิ่นเฟิงน้ำตารื้นจนขอบตาร้อนผ่าว เด็กกำพร้าเช่นเขาอย่างน้อยก็มีท่านลุงที่ยังเรียกว่าครอบครัวได้ เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอย่างที่กลัวเลย
"ข้าดูแลพี่น้องเผ่ามารแทนเจ้าอย่างดีอย่าได้กังวลเลย" ใบหน้าผู้อาวุโสเห็นเส้นริ้วชัดขึ้นทันทีเมื่อเผยยิ้มกว้าง
"ข้าขอบคุณท่านลุง แล้วท่านพอจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าท่านพ่อข้าตายอย่างไร แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น"
"เจ้าอย่าได้กังวลเลย พ่อของเจ้าตายในสนามรบเพื่อปกป้องพี่น้องเผ่ามารอย่างมีเกียรติ สงครามครั้งนี้เราพ่ายแพ้อีกครั้ง ความสูญเสียเกิดขึ้นอย่างนับไม่ถ้วน สุดท้ายแล้วเผ่ามารของเราก็เหลือเพียงที่เจ้าเห็น ดินแดนที่เคยสงบสุขมาบัดนี้ราวกับเมืองใกล้ร้างเต็มที โชคดีที่ฟ้าดินยังมีตา ที่ให้แดนสวรรค์ถอยทัพเว้นชีวิตไม่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเรา"
"ข้าเข้าใจแล้ว วันพรุ่งนี้ท่านพาข้าไปไหว้หลุมศพท่านพ่อได้หรือไม่"
"ได้ ข้าจะไปกับเจ้า ตอนนี้พ่อของเจ้าได้อยู่เคียงข้างกับแม่เจ้าแล้ว"
ดวงอาทิตย์โปรยแสงอรุณเต็มฟ้า ทิวทัศน์ในดินแดนมารเห็นได้ชัดเจนขึ้นกว่าเมื่อคืน ซวิ่นเฟิงกับผู้อาวุโสเดินเคียงข้างกันออกมาจากตำหนักฮุยอินกง เพื่อพบปะพี่น้องเหล่ามารที่ต่างพากันมาคุกเข่าทำความเคารพท่านจอมมารคนใหม่ของพวกเขาด้วยความปีติยินดี
"คารวะท่านจอมมารซวิ่นเฟิง" เสียงประสานแห่งความยินดีดังกึกก้องพร้อมๆ จากนับหมื่นชีวิต
"พวกเจ้าตามสบายเถิด ข้ากลับมาแล้ว"
"ขอท่านจอมมารมีพละกำลังแข็งแกร่ง ขอท่านจอมมารมีพละกำลังแข็งแกร่ง" เสียงประสานเพื่ออวยพรดังกึกก้องขึ้นอีกครั้ง
ซวิ่นเฟิงกวาดสายตามองไปยังเหล่าพี่น้องเผ่ามาร ทุกคนมีสีหน้าเปื้อนทุกข์อย่างยากที่จะบดบัง ความเจริญรุ่งเรืองในครั้งก่อนแทบไม่เหลือไว้ให้ดูต่างหน้า บัดนี้ดินแดนมารช่างแห้งแล้ง เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความลำบากยากเข็ญ
"พวกเจ้าฟังข้า จงเข้มแข็งและพวกเราจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเจ้า และข้าจะเร่งมือฟื้นฟูดินแดนของเราโดยเร็วอย่างแน่นอน"
ด้านหน้าป้ายหลุมศพของจอมมารฮุยอินตั้งอยู่เคียงข้างกับป้ายของฟูเหริน ภรรยารักของเขา ซวิ่นเฟิงยกจอกเหล้าคารวะบิดามารดา ผู้อาวุโสรู้ว่าภายในใจของซวิ่นเฟิงเจ็บปวดขนาดไหน ชายชรายกมือขึ้นโอบไหล่หลานชายเพื่อปลอบประโลม แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยวาจาใด ทั้งสองก็เข้าใจจิตใจของกันและกัน
ซวิ่นเฟิงยืนมองป้ายหลุมศพบิดา ความคิดถึงปนกับความเจ็บปวดจนเจ็บหนึบแน่นหนักไปทั้งใจ บัดนี้เขากลับมาในฐานะจอมมารผู้มีตบะมารแข็งแกร่งไม่แพ้เมื่อครั้งที่บิดายังมีชีวิต หากเขาคำนวณไม่เกินจริงไปนัก คาดว่าตบะมารของเขาน่าจะแข็งแกร่งกว่าผู้ใดที่เคยมีมาก็ไม่ผิด
ซวิ่นเฟิงให้คำมั่น เขาขอเอาตำแหน่งทายาทจอมมารเป็นเดิมพัน ชั่วชีวิตนี้เขาจะต้องได้แก้แค้นแทนบิดาและพี่น้องเผ่ามารให้สาสม และต้องรู้ให้ได้ว่าใครที่เลือดเย็นลงมือฆ่าทหารเทพเหล่านั้นแล้วมาใส่ร้ายกองทัพมารของเขา
"ท่านพ่อท่านแม่ ข้าซวิ่นเฟิงขอสาบานต่อพวกท่าน ข้าจะดูแลเผ่ามารของเราให้รุ่งเรืองสมกับที่ท่านไว้วางใจข้า และต่อให้ต้องพลิกสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ข้าจะต้องตามหาเจ้าทูตสวรรค์จอมชั่วทั้งสองนั่นให้เจอ ข้าจะนำชีวิตพวกมันมาสังเวยชดใช้ให้ท่านแน่"