webnovel

บทที่ 4

ซือมิ่งไม่รอช้า เขารีบรุดมาหาเซียนอี้ถึงตำหนักไท่เซียน เซียนอี้เห็นซือมิ่งมีท่าทีร้อนใจเกรงจะมีเรื่องด่วนเป็นแน่ เขาจึงเก็บม้วนอักษรกลบทที่เพิ่งได้รับกลับมาจากเทียนจวิน แล้วเดินไปหาซือมิ่งที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะน้ำชา

"สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีเลยซือมิ่ง" เซียนอี้นั่งลงแล้วรินน้ำชาดอกท้อป่าส่งให้ซือมิ่งดื่มสักจอกให้สดชื่นขึ้นเสียหน่อย

"เจ้าพอจะรู้ข่าวของเทพธิดาเยว่ซินบ้างหรือไม่เซียนอี้ ป่านนี้นางเติบโตแล้วเป็นอย่างไร นางสบายดีหรือไม่"

"โตแล้ว เวลานี้น่าจะอายุยี่สิบปีแล้วกระมัง"

"เอ่อ ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาเจ้า" น้ำเสียงซือมิ่งฟังดูมีบางเรื่องให้กังวลใจจริงๆ เป็นสหายกันมานานหลายแสนปี ความผิดปกติที่ดูออกง่ายเช่นนี้ ไหนเลยเซียนอี้จะไม่รู้

"เจ้าพูดมาเถิด เจ้าเป็นสหายรักของข้า ไม่ต้องเกรงใจ"

"ใจทดสอบหนึ่งห้วงคำนึงหา เป็นนิรันดร์ หนึ่งส่วนกลายเป็นสองสถิตในโลกา" ซือมิ่งใช้กลบทอย่างง่ายเพื่อบอกใบ้แผนการหนึ่งให้แก่เซียนอี้

เซียนอี้ได้ฟังแล้วนิ่งไป เขาสบตากับสหายรักเพื่อให้แน่ใจว่าความหมายของกลบทนี้เขาเข้าใจถูกต้องแล้วหรือไม่ ซือมิ่งผงกศีรษะเล็กน้อยเพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ เซียนอี้พยักหน้าช้าๆ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดซือมิ่งจึงเป็นกังวล

"ข้าเข้าใจแล้ว กลบทกลนี้แก้ง่ายยิ่งนัก คราวหน้าเจ้าต้องคิดกลใหม่ให้ข้าแก้ยากกว่านี้เสียหน่อยแล้ว" เซียนอี้คลี่ยิ้มบางให้ซือมิ่งคลายกังวล

"เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เจ้าพร้อมจะแก้กลบทใหม่เมื่อไหร่ รีบแจ้งข้าอย่าได้เกรงใจ"

"อืม ข้าเข้าใจ" เซียนอี้เน้นย้ำอีกครั้ง ซือมิ่งเห็นอย่างนั้นก็สบายใจขึ้นมาบ้าง เขาไม่ได้ทำผิดกฎสวรรค์ข้อใด เขาเพียงแค่มาเล่นสนุกแก้กลบทกับสหายรักเท่านั้น

หลังจากซือมิ่งกลับไปแล้ว เซียนอี้กลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน แล้วคลี่ม้วนอักษรกลบทที่เพิ่งได้รับจากเทียนจวินกลับมาอีกครั้ง

'ดวงตะวันสาดแสงส่องทั่วหล้า ทิศทางใด หาได้มีผู้ใดหลบใต้เงาราตรี'

นี่คือกลบทที่เขาเขียนส่งให้เทียนจวินในวันนั้น และอักษรแถวต่อมาคือกลบทที่เทียนจวินแก้กลับขึ้นใหม่

'ดวงตะวันมิหลบใต้เงาราตรี ทิศทางใด หาได้มีผู้ใดอยู่เหนือแสงส่องทั่วหล้า'

ความหมายกลบทนี้ถูกแปลเป็นจริงตามที่เซียนอี้คาดการณ์ไว้ไม่ผิด ในที่สุดเทียนจวินก็รู้แล้วว่าเยว่ซินอยู่ที่ใด ทว่ากลบทของซือมิ่งที่กล่าวกับเขาเมื่อครู่ บางทีก็อาจจะเป็นแผนการที่ดีที่สุดในเวลานี้แล้วกระมัง

'ใจทดสอบหนึ่งห้วงคำนึงหา เป็นนิรันดร์ หนึ่งส่วนกลายเป็นสองสถิตในโลกา'

เขาเป็นถึงจตุรเทพตี้จวินแห่งแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ไหนเลยจะไม่เข้าความหมายของกลบทง่ายๆ นี้ของสหายคนสนิทเล่า ใจทดสอบหนึ่งห้วงคำนึงหา คงจะหมายถึงเคราะห์รักที่กำลังจะมาทดสอบจิตใจของเขา เพื่อเลื่อนขั้นเซียนเป็นอมตะนิรันดร์แล้วเป็นแน่ และในวรรคหนึ่งส่วนกลายเป็นสองสถิตในโลกา ซือมิ่งคงวางแผนให้เขาแยกจิตเทพครึ่งหนึ่งไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อฝ่าด่านเคราะห์แทนที่จะเป็นเขาลงไปเอง

ทว่าหากทำเช่นนี้ก็ค่อนข้างเสี่ยงอยู่มาก จริงอยู่ที่ใช้จิตเทพฝ่าด่านเคราะห์แทนได้โดยมิต้องอาศัยร่างเซียนที่เป็นกายเนื้อ เพราะอย่างไรด่านเคราะห์สุดท้ายนี้สวรรค์บรรพกาลก็ต้องการทดสอบเพียงจิตใจเท่านั้น แต่หากผ่านด่านเคราะห์รักนี้ไม่สำเร็จ ร่างเซียนที่ขาดจิตเทพไปครึ่งดวงก็จะอ่อนแอลงจนแทบจะไร้ความสามารถได้ ไม่ต่างอะไรจากเทพชั้นผู้น้อยที่ต้องเริ่มฝึกปราณเซียนขึ้นมาใหม่เช่นนั้น

ผิดกลับด่านเคราะห์อัสนีบาตรที่ไม่สามารถใช้ร่างเซียนใดรับสายอัสนีแทนได้ นั่นเพราะสวรรค์บรรพกาลต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของร่างเซียนเช่นนั้น

เซียนอี้เก็บม้วนอักษรเข้าที่ เขามองไอควันกำยานกลิ่นดอกท้อป่าที่มุมโต๊ะทำงานพลางครุ่นคิดวางแผนการได้เรื่องหนึ่ง ในเมื่อเยว่ซินคือด่านเคราะห์รักของเขา และเทียนจวินเองก็ต้องการพาเทพธิดาน้อยกลับแดนสวรรค์ เช่นนั้นมิสู้ออกตัวอาสาทำการใหญ่ต่อเทียนจวินเสียเองเป็นอย่างไร

นอกจากจะได้หาทางช่วยเยว่ซินปลดผนึกจิตเทพแล้ว เขาเองก็จะได้ฝ่าด่านเคราะห์สุดท้ายไปพร้อมกัน

แต่สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้คือการที่ซือมิ่งได้เตือนเขาในกลบทที่ให้แยกจิตเซียนออกเป็นสองดวงนั้น แปลได้อย่างหนึ่งว่าเคราะห์รักด่านสุดท้ายนี้จะเป็นด่านเคราะห์เพื่อประสบทุกข์ที่ยากจนจิตเซียนอาจจะแตกสลาย มิเช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องให้เขาแยกจิตเซียนเพื่อรักษาชีวิตแล้ว

ที่ตำหนักจวินเฟิง เทพสงครามกำลังนั่งแก้หมากล้อมอยู่ในที่ประจำบนลานริมสระดอกปทุม ฟางเหนียงเห็นหลี่จวินนั่งอยู่เพียงลำพังแน่นอนแล้ว จึงค่อยๆ เดินเข้ามาหาเขาช้าๆ อย่างเกรงใจ

"คารวะท่านหลี่จวิน" ฟางเหนียงกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน รอยยิ้มสวยสดงดงามนั้นหากเป็นชายอื่นคงใจอ่อนจนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าหลี่จวินกลับไม่มีท่าทีสนใจนางเช่นนั้น

"เจ้ามีธุระอะไรกับข้า"

"ท่านหลี่จวิน ข้าช่วยเติมน้ำชาให้ท่านดีหรือไม่" มือบางของฟางเหนียงคว้ากาน้ำชายกรินใส่จอกด้วยกิริยานุ่มนวล

"นี่คือธุระของเจ้า" หลี่จวินละสายตาจากกระดานหมาก เขามองหน้าฟางเหนียงพลางเลิกคิ้วเชิงคำถาม

"คือที่จริงแล้ว ข้าได้ยินพวกเหล่าเทพเดินคุยกันบนสะพานเมฆาสวรรค์ ได้ยินว่าเซียนอี้ตี้จวินเข้าพบเทียนจวินเพื่อขอไปจุติที่โลกมนุษย์ เห็นว่าจะไปเพื่อตามหาเทพธิดาน้อยกลับแดนสวรรค์ ข้ารู้ว่าท่านทั้งสองสนิทกันมาก ดังนั้นระหว่างที่ตี้จวินไม่อยู่แล้ว ข้ามาคอยเป็นเพื่อนคุยเล่นกับท่านดีหรือไม่ อย่างน้อยก็อาจช่วยให้ท่านคลายเหงาระหว่างรอตี้จวินกลับมา"

จบประโยคของฟางเหนียง หลี่จวินไม่รู้ว่าจะตกใจกับเรื่องใดก่อนกัน ระหว่างเรื่องที่เทียนจวินรู้ที่จุติของเทพธิดาน้อย หรือเรื่องที่เซียนอี้จะไปจุติยังโลกมนุษย์กันแน่ ทำไมเรื่องสำคัญเช่นนี้เซียนอี้ถึงไม่มาปรึกษากันให้แน่ชัดก่อนเล่า

"ขอบใจสำคัญข่าวของเจ้าฟางเหนียง ข้าขอตัวก่อน" ไม่รอให้ฟางเหนียงเอ่ยวาจาใด หลี่จวินก็สะบัดมือหายวับไปกับแสงพริบตาเสียแล้ว

ภายในโถงตำหนักเทียนจวิน หลี่จวินเดินเข้ามาก็พบว่าสหายจตุรเทพทั้งสามอยู่ที่นี่กันก่อนแล้ว เช่นนี้เกรงว่าข่าวลือที่ฟางเหนียงได้ยินมานั้นจะเป็นเรื่องจริง

"คารวะเทียนจวิน"

"หลี่จวิน เจ้ามาที่นี่เพราะรู้ข่าวของตี้จวินแล้วกระมัง" เทียนจวินเอ่ยอย่างรู้ทัน จตุรเทพทั้งสี่เป็นสหายรักกันมาหลายแสนปี เมื่อเกิดเรื่องกับใครคนใดคนหนึ่ง ไหนเลยทั้งสามจะนิ่งนอนใจอยู่ได้เล่า

"ทูลเทียนจวิน ข้าขอถามก่อนได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่"

"หวังจิ้น เจ้าเล่าให้สหายเจ้าฟังก่อนเถิด" เทียนจวินหันไปบอกหวังจิ้น หวังจิ้นพยักหน้ารับ ก่อนจะหันมาอธิบายเรื่องทั้งหมดให้หลี่จวินฟัง

"ก่อนหน้านี้เทียนจวินได้รับแจ้งจากจื่อหยวน เทพอัสนี เมื่อหลายวันก่อนจื่อหยวนส่งสายอัสนีไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งในชนบทเมืองเฉียวเชียน ระหว่างที่สายอัสนีกำลังลงไปยังทุ่งหญ้า จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด เมื่อดอกท้อป่าทั่วทั้งบริเวณปลิดปลิวเป็นคลื่นดอกท้อป่ารวมเป็นม่านกำบังสายฟ้าให้เด็กหญิงคนหนึ่ง ทำให้เด็กคนนั้นรอดจากสายฟ้าอัสนีได้ ซึ่งสรรพชีวิตที่บังเอิญอยู่ในที่โล่งแจ้งมิอาจหลบสายอัสนีของจื่อหยวนได้ง่ายนัก"

"เช่นนั้นจื่อหยวนจึงคิดว่าเด็กหญิงคนนั้นคือเทพธิดาน้อยอย่างนั้นหรือ แล้วถ้าเป็นแค่เรื่องบังเอิญเล่า"

"ม่านกำบังดอกท้อป่านั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพียงแต่เป็นเหล่าภูติดอกท้อป่าที่ต้องการปกป้องเทพธิดาของพวกเขาต่างหาก" หลี่จวินได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ที่แท้เทพธิดาน้อยก็มีภูติอารักขาอยู่นี่เอง เพราะเหตุนี้แม้เทพธิดาน้อยจะถูกผนึกจิตเทพจนดูไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา แต่หากเมื่อใดที่จะเกิดภัยอันตราย ก็จะมีเหล่าภูติคอยดูแลอยู่ดี เพราะภูติเหล่านั้นไม่ได้อารักขาผู้ที่มีพลังเซียนไม่ แต่พวกเขาจะอารักขาผู้ที่มีจิตเทพในร่างเซียนต่างหากเล่า

"เป็นเพราะจื่อหยวนสืบข่าวจากภูติดอกท้อป่านี่เอง"

"ใช่ อันที่จริงข้าได้บอกข่าวดีนี้ให้กับตี้จวินได้รู้แล้ว เหตุใดพวกเจ้าที่เป็นสหายกันกลับไม่รู้เรื่องอะไรเช่นนี้เล่า" เทียนจวินหันไปทางตี้จวินที่นั่งตีหน้านิ่งอยู่ที่ประจำ เขาอุตส่าห์เขียนกลบทบอกข่าวดีให้ไท่เซียนอี้ตี้จวินรู้ข่าวก่อนใคร และเซียนอี้ยังได้ส่งกลบทกลับมาถามย้ำกับเขาอีกครั้งด้วยซ้ำ ทว่าจตุรเทพอีกสามคนที่เหลือกลับต้องมาฟังเรื่องราวทั้งหมดกับเขาเองในวันนี้ เทียนจวินไม่เข้าใจเลยว่าเซียนอี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่

เรื่องนี้แทบจะกลายเป็นปมเงื่อนตายย้อนกลับมารัดตัวพวกเขาทั้งสี่ต่อหน้าเทียนจวินเสียแล้ว เพราะความจริงจตุรเทพทั้งสี่คนรู้มาตั้งแต่แรกว่าเยว่ซินจุติอยู่ที่ใด และเซียนอี้ต่างหากที่เจอเยว่ซินเป็นคนแรกก่อนที่จื่อหยวนจะบังเอิญเจอเสียอีก หากไม่เพราะเซียนอี้ต้องการปกป้องเยว่ซินไม่ให้ถูกนำตัวกลับแดนสวรรค์ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปลดผนึกจิตเทพ มีหรือที่พวกเขาจะปกปิดเรื่องนี้แก่เทียนจวินมาจนถึงบัดนี้ได้

"ในเมื่อเจอตัวเทพธิดาน้อยแล้ว วันนี้ข้าจึงมาทูลเทียนจวินขออาสาลงไปโลกมนุษย์ เพื่อหาทางช่วยปลดผนึกจิตเทพแก่เทพธิดาน้อย จากนั้นข้าจะเป็นคนพานางกลับแดนสวรรค์ด้วยตัวเอง" ก่อนที่เทียนจวินจะสงสัยในความเงียบนิ่งไปของทั้งสี่คน เซียนอี้จึงเป็นฝ่ายเปิดปากก่อนที่จะพากันฉายพิรุธไปกว่านี้

"เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้รับปากเจ้านะเซียนอี้ตี้จวิน" เทียนจวินรีบปราม

"แต่ข้าซือมิ่งเห็นด้วยกับเซียนอี้ เทพธิดาน้อยมีพลังเซียนไม่ธรรมดา แม้ตอนนี้ข้าจะไม่รู้ลิขิตชะตาที่แน่ชัดของนาง แต่จากลักษณะดาวเก้าแฉกที่บ่งบอกถึงพลังเซียนพิเศษนั้นยากจะพบได้ง่ายในแดนสวรรค์ และหากเกิดเรื่องผิดพลาดจนทำให้นางไม่สามารถคืนร่างเทพธิดาได้ขึ้นมา สำหรับแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้วถือเป็นการสูญเสียที่น่าเสียดายยิ่งนัก ดังนั้นการพาตัวเทพธิดาน้อยกลับแดนสวรรค์ นอกจากจะต้องรวบรัดหมดจดและปลอดภัย หากมิใช่เซียนอี้ตี้จวินแล้ว เทียนจวินจะทรงไว้ใจผู้ใดได้อีกเล่า" ซือมิ่งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะเหตุใดเซียนอี้จึงต้องการจะอาสาลงไปโลกมนุษย์ด้วยตัวเอง เขาจึงช่วยหาเหตุผลมาเสริมให้เทียนจวินทบทวนใหม่อีกครั้ง

"ขอเทียนจวินอนุญาตด้วยเถอะ" คราวนี้เป็นหวังจิ้นกับหลี่จวินที่ช่วยร้องขอพร้อมกัน

"เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว พวกท่านสมกับเป็นสหายกันจริงๆ เลยนะ ได้! เช่นนั้นข้าอนุญาต แต่เจ้ารู้ใช่หรือไม่เซียนอี้ตี้จวิน ว่าการลงไปจุติที่โลกมนุษย์นั้นมีกฎอันใด"

"ลงไปจุติโลกมนุษย์ จะต้องเป็นมนุษย์" เซียนอี้ทั้งเข้าใจและเตรียมใจมาอย่างดีแล้ว

"ดีมาก เจ้าเข้าใจก็ดี แต่ครั้งนี้ข้าจะละเว้นให้เจ้าหนึ่งอย่าง คือเจ้าไม่ต้องดื่มน้ำลืมเลือน เพราะเจ้าต้องลงไปช่วยเทพธิดาน้อย หากเจ้าลืมว่าเจ้าเป็นตี้จวินแล้วจะทำการสำเร็จได้อย่างไร"

"ขอบพระทัยเทียนจวิน"

ซือมิ่งหันมองเซียนอี้อย่างเป็นห่วงเมื่อได้ยินรับสั่งจากเทียนจวินเช่นนั้น หากโดยปกติการลงไปจุติที่โลกมนุษย์เพื่อฝ่าด่านเคราะห์ ก็จะอยู่ในร่างและวิญญาณมนุษย์ที่สมมุติขึ้น จะไม่มีความทรงจำเมื่อครั้งยังเป็นเทพสวรรค์ แต่เมื่อผ่านด่านเคราะห์สำเร็จกลับสู่แดนสวรรค์จะสามารถจำเรื่องราวเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ในร่างสมมุติได้ เพื่อใช้ความทรงจำที่แสนยากลำบากนั้นเป็นบทเรียน

เช่นเดียวกับลี่จิ่นที่ลงไปฝ่าด่านเคราะห์รัก แม้จะใช้ร่างสมมุติลงไปจุติก็ตาม แต่เมื่อกลับมายังแดนสวรรค์แล้วจิตใจเกิดไม่อาจแยกแยะระหว่างจิตของร่างเซียนกับร่างสมมุติได้ จึงขอสละการเป็นเทพลงไปครองรักกับมนุษย์ผู้นั้นจนเรื่องราวส่งผลวุ่นวายถึงตอนนี้

แล้วยิ่งครั้งนี้เซียนอี้กำลังจะลงไปฝ่าด่านเคราะห์รัก กลับต้องลงไปทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองเป็นตี้จวินแห่งภพเทพ ขนาดลี่จิ่นยังแยกแยะจิตเซียนกับจิตมนุษย์ไม่ได้ แล้วเซียนอี้ที่ใช้จิตเซียนลงไปเผชิญด่านเคราะห์โดยตรงเช่นนี้ จะไม่น่าเป็นห่วงได้อย่างไร หากเทียนจวินรู้ว่าเซียนอี้กำลังจะลงไปเผชิญด่านเคราะห์รักคงไม่รับสั่งเช่นนี้เป็นแน่ แต่เขาในฐานะซือมิ่งเองก็เอ่ยปากออกไปไม่ได้เช่นกัน นี่สินะที่เรียกว่าลิขิตชะตา อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ยากจะหลีกเลี่ยงเช่นนั้นแล้ว

และวันที่ไท่เซียนอี้ตี้จวินต้องลงไปจุติยังโลกมนุษย์ก็มาถึง ซือมิ่งเตรียมการที่ลานพิธีไว้อย่างเรียบร้อย เขาหวังว่าก่อนที่เซียนอี้จะมายังลานพิธีจะเตรียมการแยกจิตเทพครึ่งหนึ่งรักษาไว้ที่ตำหนักไท่เซียนตามที่เขาแนะนำไว้ เพราะหากเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมากับจิตเทพในโลกมนุษย์ อย่างน้อยก็ยังมีจิตเทพอีกครึ่งดวงที่สามารถจุติขึ้นมาใหม่ เพื่อรักษาตำแหน่งตี้จวินผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพเทพเอาไว้ได้

ไม่นานนักเซียนอี้ในอาภรณ์ขาวสง่างามก็เดินทางมาถึงลานพิธี หวังจิ้น หลี่จวิน หยู่ถงและฟางเหนียงก็มาร่วมส่งเซียนอี้ด้วย เซียนอี้ถอดสายคาดเอวและมอบหยกตราประจำตัวให้ซือมิ่ง เหลือเพียงร่างเซียนภายใต้อาภรณ์ขาวเรียบง่ายเท่านั้น

ลมในลานพิธีค่อนข้างแรง เกศาสีเงินปลิวไสวตามแรงลม เซียนอี้ตั้งสมาธิและรวบรวมพลังเซียนครั้งสุดท้าย ก่อนจะทิ้งตัวลงไปในสระสลายวิญญาณ เหล่าสหายเทพต่างใจหายเมื่อเห็นเซียนอี้กระโดดลงไปต่อหน้าต่อตา ต่างพากันภาวนาให้เซียนอี้ปลอดภัยในภพหน้า และกลับมาภพเทพได้ในเร็ววัน ส่วนซือมิ่งภาวนาต่างออกไป เขาขอเพียงให้สหายรักของเขากลับมาแดนสวรรค์ด้วยหัวใจดวงเดิมก็พอ

ภายในเบื้องลึกของสระสลายวิญญาณ เซียนอี้ถูกดึงเข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะทันที แม้กายเซียนกำลังดำดิ่งสู่เหวลึกด้วยความเร็วระหว่างการเดินทางจากภพเทพไปสู่โลกมนุษย์

หลังจบพิธีการที่ลานพิธี ซือมิ่งปลีกตัวออกมาโดยลำพังและรีบตรงมายังตำหนักไท่เซียน เขามองหากล่องไม้กฤษณาที่คาดว่าเซียนอี้จะเก็บรักษาจิตเทพอีกครึ่งดวงไว้ในนั้น ไม่นานนักซือมิ่งก็หากล่องไม้กฤษณานั้นเจอ ทว่าเมื่อเปิดออกมาซือมิ่งก็หน้าซีดจนแทบจะหยุดหายใจ เมื่อพบว่าภายในกล่องไม้กฤษณานี้ไม่ได้มีจิตเทพอีกครึ่งดวงบรรจุไว้แต่อย่างใด หากแต่มีเพียงแค่ม้วนกระดาษแผ่นเล็กทิ้งไว้ให้ซือมิ่งเท่านั้น

'จิตครึ่งดวงตกห้วงคำนึงหา นิรันดร์มา รักคือรักแม้นเพียงครึ่งจิตก็คือความรัก'

ซือมิ่งหลับตาเพื่อสงบจิตใจเมื่ออ่านกลบทที่เซียนอี้เขียนทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าจนจบ เขาเข้าใจและไม่ควรมองข้ามความเป็นจริงข้อนี้เลย ว่าความรักนั้นคือความรู้สึกที่พิเศษ ต่อให้หัวใจจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม ความรักก็สามารถเกิดขึ้นได้อยู่ดี เช่นนั้นการแบ่งใจไปจะมีประโยชน์อันใด

ซือมิ่งนำสายคาดเอวและหยกตราประจำตัวของเซียนอี้ใส่ลงไปในกล่องกฤษณารวมกับม้วนกระดาษกลบทนั้น เขาเก็บกล่องไม้ไว้กับตัวเองก่อนจะเดินทางกลับตำหนักซือมิ่งไป

ตำหนักไท่เซียนที่ไร้เจ้าของเรือนดูช่างเงียบเหงาแม้จะยังไม่พ้นวัน ม่านแสงสีทองจากคาถาเทพที่ถูกร่ายไว้ล่วงหน้าค่อยๆ สาดแสงระยิบระยับมาปิดล้อมรอบตำหนัก เพื่อรักษาเขตแดนนี้ไว้อย่างปลอดภัยรอวันเจ้าของกลับคืน