webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Classificações insuficientes
56 Chs

บทที่ 4.1

แม้ในสัปดาห์แรกจะไม่มีการเช็คชื่อก็ตาม แต่นิสิตที่ดีควรเข้าไปฟังคำแนะนำและแนวทางการเรียนการสอนของแต่ละวิชาให้เข้าใจก่อน อาจารย์บางท่านถึงขั้นเริ่มสอนและเก็บคะแนนกันตั้งแต่คาบแรกเลยโดยไม่ให้นิสิตเตรียมตัวเตรียมใจก่อนด้วยซ้ำ ดังนั้นผมจึงไม่ควรเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้

ผมมีคาบเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้ายันเที่ยงและมีอีกทีตอนบ่ายสาม ถึงจะอยากโดดเรียนแค่ไหนก็ตาม แต่นิสิตที่ดีก็ไม่ควรโดดเรียนโดยไม่จำเป็น

อีกสองชั่วโมงก็ต้องใส่ชุดนิสิตกลับมาเรียนใหม่อีกครั้ง จะกลับหอรอเวลาเรียนก็ขี้เกียจ แถมร้อนอีกต่างหาก จะเปิดแอร์ก็เปลืองค่าไฟ

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ผมจึงเดินเข้าหอสมุดมาตากแอร์รอเวลาเรียน

บรรยากาศหอสมุดแลดูไม่คึกคักมากเท่ากับช่วงสอบ แต่ก็ไม่ได้เงียบเหงาเป็นป่าช้า เสียงแอร์จำนวนหลายตัวส่งเสียงพ่นลมเย็นออกมาคล้ายเสียงคำรามของมังกร แสงแดดสว่างจ้ายามบ่ายที่เล็ดลอดออกมาจากหน้าต่างส่องสว่างไปทั่วห้อง ไรฝุ่นฟุ้งกระจายตามลมเห็นชัดได้ในลำแสงที่จ้าออกมา

ที่นั่งบางส่วนถูกจับจองไว้แล้ว แต่ยังเหลือที่ว่างอยู่เยอะพอสมควร กลิ่นหอมจากลาเวนเดอร์อบอวลเบาบางชวนให้ผ่อนคลาย บางคนผ่อนคลายมากไปหน่อยจนหลับคาโต๊ะไปก็มี

ผมมองเลือกที่นั่งที่ไม่โดนแดดแต่ไม่ใกล้แอร์จนเกินไป ใจหนึ่งหวังเอาไว้ว่าจะเจอเพื่อนไปเรียนวิชาต่อไปด้วย

แล้วผมก็เจอเข้ากับกุ้งและเนตรพอดี สองคนนั้นคงกำลังจะนั่งตากอากาศเย็นอยู่เหมือนกัน เนตรนั่งอ่านนิยายสยองขวัญสั่นประสาทตามนิสัย ส่วนกุ้งเล่นโทรศัพท์อยู่ ถึงเราจะอยู่ต่างสาขากัน แต่วิชาต่อไปเป็นวิชาเรียนรวมจึงได้เรียนด้วยกัน

ผมเดินตรงไปยังโต๊ะที่ทั้งคู่นั่งอยู่ โชคดีที่โต๊ะนั้นเป็นที่สำหรับคนสี่คน ผมจึงขอไปนั่งด้วยได้

"ขออนุญาตินั่งด้วยคนนะครับผม" ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ผมวางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะไปแล้ว

"ไม่ให้ จ่ายค่านั่งกับกูมาก่อนร้อยนึง" กุ้งตอบด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก สายตายังคงจ้องมองโทรศัพท์อยู่ ไม่ได้เงยหน้ามาทักผมเลยสักนิด

"มึงก็จ่ายค่าน้ำมันกูมาด้วย พันนึง" พูดจบก็หย่อนก้นลงทันที

"โอย งึดเลยคร้าบ"

"แล้ววันนั้นคุยอะไรกับสนมันบ้างวะ" เนตรกระซิบถามขึ้นด้วยความสงสัย เธอเสียบที่คั่นในหน้าหนังสือแล้ววางเก็บไว้บนโต๊ะ

ผมแกล้งทำหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้ พร้อมทำเสียงสูดน้ำมูกไปสองสามที "วันที่พวกมึงทิ้งกูไปใช่ป๊ะ"

"พวกกูขอโทษ กูเห็นว่าพวกมึงคงอยากคุยกันสองคน พวกกูเลยหลบไปกันก่อน" กุ้งเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมาตอบ น้ำเสียงจริงจังพร้อมใบหน้าที่รู้สึกผิดจนผมไม่กล้าเล่นต่อ

"เฮ้ย กูล้อเล่น กูต่างหากที่ต้องขอโทษพวกมึง ทำบรรยากาศวันนั้นเสียหมด" ผมประกบมือไหว้ขอโทษไป

"เออน่า อย่าคิดมาก"

โดยปกติหอสมุดจะต้องคงความเงียบให้ได้มากที่สุด ไม่มีใครได้รับอนุญาติให้ใช้เสียงดังพูดคุยกัน แต่ช่วงเปิดเทอมใหม่ ๆ นี้ ผู้คนเบาบางกว่าปกติ ผู้เข้ามาใช้บริการจึงเลือกนั่งที่มุมต่าง ๆ ที่ไม่ใกล้ชิดกับผู้อื่นมากนักตามธรรมเนียมคนไทย ดังนั้นการพูดคุยกันเบา ๆ ไม่เป็นการรบกวนผู้อื่นเท่าไรนัก

"แล้วตกลงว่าไง คุยอะไรกันไปบ้าง มันมาจีบมึงหรอจ๊ะ พ่อเบ็นสุดหล่อ" เนตรถามย้ำอีกครั้งพร้อมทำเสียงเย้าแหย่ทำสายตาเย้ายวนกวนประสาท

ผมกับไอ้สนน่ะหรอ แค่คิดภาพตามก็จะอ้วกแตกคาห้องสมุดแล้ว

"มึงเอาตาตุ่มหรือสมองคิดวะเนี่ย" ผมย่นจมูกทำหน้าขยะแขยงสุดขีด

"แล้วคุยเรื่องอะไรกันตั้งนานจ๊ะ"

"ก็คุยเรื่องการประกวดดาวเดือนดาวเทียมนี่แหละ ปีนี้เปลี่ยนวิธีใหม่"

"เปลี่ยน? ปีนี้จะให้ถอดเสื้อเต้นโชว์แทนหรือไง ดูวาบหวิวขึ้นทุกปีเลยนะกองประกวดมึงน่ะ"

"เปล่า ไม่มีแสดงละคร มีแค่แสดงความสามารถพิเศษห้านาทีแล้วตัดสินเลย" ผมพูดด้วยหน้าเซ็ง

"ก็ดีไม่ใช่งะ จะได้ไม่เปลืองงบกิจกรรมกับเรื่องไร้สาระแบบนั้น" กุ้งพูดขึ้น เนตรพยักหน้าสนับสนุนแฟนหนุ่มของเธอด้วย

"จริง เปลืองงบ เปลืองเวลา อันที่จริงจะมีไปทำไมก็ไม่รู้ประกวดดาวเดือนเนี่ย"

"มันก็ใช่หรอก" ผมเห็นด้วยกับการประกวดที่ไม่ได้มีประโยชน์กับส่วนรวมมากนัก "แต่กูเป็นอดีตผู้เข้าแข่งขันไง กูเลยต้องไปช่วยดูแลน้องรุ่นต่อไป"

"งั้นทำไมมึงทำเหมือนเป็นข่าวร้ายเลยวะ มึงควรจะดีใจไม่ใช่งะ มึงจะได้เหนื่อยน้อยลง"

ผมเล่าข้อตกลงที่ทำกับสนไปในวันนั้น เล่าทุกอย่างตั้งแต่ที่ผมต้องปั้นเด็กคนหนึ่งมาเป็นเดือน และเด็กคนนั้นถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นน้องนิ่งคนนั้น

"ห๊า!!" กุ้งและเนตรหน้าเหวอแล้วอุทานเสียงดังออกมาพร้อมกัน คนที่นั่งอยู่ห่างออกไปสองช่วงโต๊ะหันมามองด้วยความตกใจก่อนจะก้มกลับลงไปสนใจธุระของตัวเองต่อ

"ชู่ว" ผมทำเสียงให้ทั้งสองคนเบาเสียงลง

"มึงจะบ้าแงะ ไปตกลงมันทำไมวะ" กุ้งขมวดคิ้วกระซิบถามจริงจัง

"ยังไงก็แพ้พนันแล้วมั้ง อย่างน้องนิ่งนั่นน่ะนะเป็นเดือน กูมองภาพไม่ออกเลยว่ะ อีกอย่างมันคงไม่ยอมลงสมัครให้มึงหรอก"

"กูเชื่อนะ ว่าทุกคนเป็นเดือนได้ น้องนิ่งนั่นก็เป็นได้ แค่ต้องดูแลตัวเองกับเสริมความมั่นใจกว่านี้อีกหน่อย"

"ทุกคนเป็นดาวเป็นเดือนได้แน่ถ้าคนนั้นหน้าตาดี รูปร่างดี มีเสน่ห์ ไม่ก็มั่นหน้ามาก ๆ" เนตรพูดไปย่นจมูกไป "ไอ้เด็กนั่นห่างไกลจากสิ่งที่มึงพูดทุกประการเลยนะ"

"พวกมึงก็เป็นไปกับไอ้สนอีก ตัดสินคนจากหน้าตาอีกแล้วนะ"

"ก็มันคือความจริง หรือจะเถียง"

"ใช่ เถียงแน่ แล้วเบ็นคนนี้จะพิสูจน์ให้ไอ้สนกับพวกมึงสองคนเห็นเองว่าน้องมันเป็นได้"

ความพยายามไม่เคยหักหลังใคร นี่คือสิ่งที่ผมเชื่อ

ทันใดนั้นเสียงแจ้งประกาศจากลำโพงดังไปทั่วหอสมุด "ขออภัยผู้ใช้บริการค่ะ ขอความร่วมมืองดใช้เสียงในพื้นที่อ่านหนังสือ เพื่อมิให้เป็นการรบกวนผู้ใช้บริการท่านอื่นค่ะ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือค่ะ"

พวกเราสามคนรู้ตัวทันทีว่าเสียงประกาศนั้นกำลังเตือนพวกเราอยู่ ขณะเถียงกันอย่างเมามัน เสียงของพวกเราดังขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีใครรู้สึกตัว

เมื่อชำเลืองมองรอบข้าง ปรากฏว่าทุกคนหันมามองเราด้วยสายตาเชิงตำหนิ ผมกับเพื่อนตัวแสบอีกสองคนได้แต่ผงกหัวยิ้มแห้ง ๆ เป็นการขอโทษผู้คนรอบข้าง

"มึงแน่ใจแล้วใช่ไหมเบ็น" กุ้งกระซิบถามด้วยเสียงที่เบามากจนแทบไม่ได้ยิน

ผมพยักหน้าตอบด้วยความมั่นใจ

กุ้งถอนหายใจยาวก่อนจะกระซิบตอบกลับมา "ถ้ามึงมั่นใจแล้วก็โอเค แต่อย่าลืมรักษาความรู้สึกของน้องมันด้วยแล้วกัน"

"แล้วนี่มึงมีแผนแล้วเหรอ" เนตรเอ่ยถามขึ้น

จะว่าไปผมยังไม่ได้เตรียมแผนการอะไรไว้เลย ข้ออ้างที่จะใช้ชวนน้องนิ่งมาแข่งเดือนก็ยังไม่มี ถ้าจะปั้นเด็กคนนึงต้องทำยังไงบ้างนะ...

ผมนึกย้อนไปถึงช่วงเก็บตัวที่พี่เชอร์รีเป็นเมนเทอร์ให้พวกเราทุกคน ผมจำได้ว่าเป็นการฝึกพื้นฐานทั่วไปอย่างการเดิน การพูด การแสดงออกต่าง ๆ ไม่ได้ลงลึกมากนัก แต่ถ้าให้ฝึกเจ้าหนูนั่นคงต้องออกแบบแผนการสอนแบบรายบุคคลมาใช้ ดูยิ่งใหญ่ไปอีก

ผมผละจากกุ้งและเนตรเพื่อไปหาที่เงียบ ๆ คิดวางแผนปฏิบัติการปั้นเดือนให้น้องนิ่ง ก่อนแยกกัน เราสัญญาว่าจะมาเจอกันก่อนที่หน้าหอสมุดแล้วเดินไปเรียนด้วยกัน