ผมมุ่งหน้าไปยังมุมโปรดมุมเดิมที่ผมมักไปเสมอยามเมื่อต้องใช้ความคิดหรือต้องการอยู่คนเดียวเงียบ ๆ
มุมที่ว่าเป็นส่วนลึกแคบเข้าไปข้างในสุดของตัวอาคาร การจะเข้าไปในส่วนนี้ได้จะต้องเดินผ่านตู้หนังสือขนาดใหญ่ที่บรรจุรูปเล่มงานวิจัยเก่าเก็บตั้งแต่สมัยโบราณกาลถึงสี่แถว
งานวิจัยเก่าขนาดนั้นไม่เป็นที่ดึงดูดสายตาของใคร จะว่าร้างเลยก็ว่าได้ ทำให้ไม่ค่อยมีใครย่างกรายเข้าไปบริเวณนั้นเท่าไรนัก
มุมอับที่ว่านี้ซ่อนอยู่ข้างหลังตู้หนังสือขนาดใหญ่เหล่านั้น หากไม่เดินอ้อมไปสำรวจข้างหลังตู้คงไม่รู้ว่าจะมีมุมส่วนตัวอยู่ตรงนั้น
ถึงจะไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้ให้นั่ง แต่ก็เงียบและสงบมาก ถ้าไม่ใช่ช่วงสอบจะไม่มีใครอยากเข้ามาลึกขนาดนี้แน่นอน ยังดีที่บริเวณนั้นมีบีนแบ็กเก่า ๆ สองสามตัวกับพรบนุ่มปูไว้ที่พื้น สกปรกไปหน่อยแต่ไม่ถึงกับโสโครก
กลิ่นหอมละมุนของกระดาษเก่าที่แผ่ออกมาลอยฟุ้งเข้าจมูกระหว่างที่เดินผ่านตู้เก็บงายวิจัยเก่าชวนให้เคลิ้มหลงใหลไปกับบรรยากาศหอสมุด
เสียงพลิกหน้ากระดาษลอยแว่วเข้าหูผมเมื่อเข้าใกล้ตู้หนังสือข้างในสุด เซ็งชะมัด กะจะมาอยู่เงียบ ๆ คนเดียวแท้ ๆ ดันมีใครมานั่งก่อนอยู่แล้ว
ผมเดาจากเสียงที่ได้ยิน ต้องมีคนอยู่แน่นอน แต่ถ้าเข้าไปแล้วไม่เจอใครก็คงต้องหันหลังกลับ ตัวใครตัวมันแล้วละงานนี้
ผมเดินอ้อมไปที่มุมของตู้หนังสือตู้สุดท้าย ก่อนจะเจอกับมุมอับมุมโปรดที่เข้ามาสิงอยู่คนเดียวบ่อย ๆ แต่ตอนนี้ไม่ได้มีผมอยู่คนเดียว
บุคคลเบื้องหน้าคือเจ้าหนูนิ่ง...
เด็กหนุ่มนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ในท่าเทพบุตร ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็ดูจะไม่ใช่ท่านั่งที่สบายเลย เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออะไรบางอย่างอยู่ซึ่งผมมองหน้าปกไม่ถนัดตานัก เห็นเป็นเพียงปกสีเทาหม่น ๆ ที่มีผู้ชายนอนอยู่ท่ามกลางของที่วางระเกะระกะ ผมพยายามแอบดูชื่อหนังสือนั้น แต่ก็เห็นไม่ชัดอยู่ดี เห็นเพียงสองคำ นั่นคือ'เดียงสา'
ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วคุกเข่าลงบนพรมตรงหน้าน้อง แต่บุคคลเบื้องหน้าก็ยังไม่ได้สังเกต เอาแต่จ้องมองหนังสือ ไม่ได้สนใจสภาพรอบตัวเลยว่ามีคนมานั่งอยู่ข้างหน้าแล้ว
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาก็ไม่รู้สึกตัวสักที
ไม่สนใจพี่เลยใช่ไหม ได้!
"อ่านอะไรอยู่เหรอครับ" ผมยื่นปากไปใกล้หูแล้วกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาพร้อมพ่นลมใส่
สิ้นเสียงกระซิบของผม น้องเขาสะดุ้งโหยงสุดตัวแล้วถีบตัวเองออกห่างไปซะไกล ทำเอาหูแดงหน้าแดงไปหมดเลย แต่โชคดีที่ร้องออกมาเสียงไม่ดังมากเท่าไหร่ ส่วนผมหัวเราะก๊ากเบา ๆ แต่ก็สั่นแรงจนแทบจะหงายหลังไป
เมื่อควบคุมสติของตัวเองได้แล้วจึงหันมาสนใจคู่สนทนาด้วย แต่กลับพบว่าน้องกำลังเบะปากเตรียมตัวจะร้องไห้แล้ว ตาและจมูกเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานหยดน้ำตาก็เริ่มก่อตัวขึ้น
ผมรู้สึกผิดทันทีกับการกระทำของตัวเองเมื่อครู่ ไม่นึกว่าจะคิดมากขนาดนี้
"เฮ้ย ๆ พี่ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ"
แต่คำขอโทษของผมไม่เป็นผล ตอนนี้น้ำตาหยดลงมาที่แก้มที่มีหลุมสิวแล้ว
"พี่เบ็นจะมาแกล้งเหรอ..."
จะว่าแกล้งก็ใช่อยู่หรอก แต่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้กลัวขนาดนี้
"จ...จะต่อยไหม"
ห๊ะ!?
ท้าต่อย??
ตอนนี้ผมหน้าเบ้ไปแล้วเช่นเดียวกัน น้ำตาเริ่มไหลออกมาบ้าง
แต่ผมไม่ได้กำลังจะร้องไห้ "ปูด...ปูด...พรูดด" ผมกลั้นขำได้ไม่นานก็ปล่อยพรวดพราดเสียงหัวเราะออกมา
"ใช่แล้ว ข้าจะมาไถตังค์แก ส่งเงินที่มีมาให้หมดไม่งั้นแกตายเป็นผีเฝ้าหอสมุดแน่ หึหึ" ผมแกล้งแหย่เล่น ทำหน้าตาดุดันเหมือนมือปืนในละครน้ำเน่า ดัดเสียงแหบเข้มพร้อมทำมือเป็นรูปปืนชี้ไปที่บุคคลตรงหน้า
สิ้นเสียง เด็กนั่นล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ยื่นธนบัตรสีแดงสามใบมาให้จริง ๆ
"...มีแค่นี้ครับ"
โคตรจี้
ผมถึงกับหงายหลังไปนอนหัวเราะอีกครั้ง มือไม้ตบไปมาตามพื้นพรมเหมือนคนบ้า นั่นยิ่งทำให้น้องร้องครางออกมายิ่งกว่าเก่า
เสียงหัวเราะของผมประสานกับเสียงสะอื้นไห้ของน้องนิ่ง เกิดเป็นส่วนผสมที่แปลกหู ยังดีที่มุมอับนี้อยู่ห่างไกลผู้คน ไม่งั้นเราคงถูกเชิญออกจากหอสมุดไปแล้ว ข้อหาใช้เสียงดังเกินไป
เมื่อผมรวบรวมสติควบคุมอาการขำค้างได้แล้วจึงพยายามปลอบใจเด็กน้อยที่กำลังสะอื้นอยู่
เหมือนตบหัวแล้วลูบหลังเลยแฮะ แต่ไอ้เด็กคนนี้มันก็น่าแกล้งจริง ๆ นี่น่า
"โอ๋ พี่ล้อเล่น" พูดจบผมยื่นมือไปลูบหัวด้วยความเอ็นดูตามความเคยชิน "เรานี่ตลกใช้ได้เลยนะ"
ตอนนี้น้องนิ่งหยุดร้องแล้ว รู้ตัวอีกทีหน้าผมเองก็ร้อนผ่าวเช่นกัน ผมรีบชักมือออกมาเกาท้ายทอยตัวเองแทนเพื่อแก้อาการเขิน
"มานั่งทำไมเงียบ ๆ ตรงนี้คนเดียวหืม? แล้วเพื่อนเราล่ะ"
"...ไม่มีครับ" สีหน้าดูเศร้าลงไปถนัดตาทันที
เป็นไปได้ยากมากที่คนเราจะไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งที่อยู่หอในมาเกือบสัปดาห์นึงแล้ว
ถ้าเป็นจริงขึ้นมาก็คงเหงาน่าดู แค่นึกภาพเด็กคนนึงที่เดินไปไหนมาไหนคนเดียว กินข้าวคนเดียว นั่งเรียนคนเดียว ใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางสังคมที่ใหญ่โตขนาดนี้
นึกภาพเหล่านั้นแล้วทำให้ผมหดหู่ใจขึ้นมาด้วย ผมเองก็เคยพบกับความรู้สึกแบบนี้
ผมสลัดความคิดนั้นทิ้งไป ถ้าจะช่วยเด็กนี่ ก็ต้องคิดบวกเข้าไว้ เขาว่ากันว่าความคิดส่งผลต่อการกระทำคนเราโดยตรง คิดอย่างไรสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงจะเป็นอย่างนั้น และมันจะส่งต่ออารมณ์ความรู้สึกของเราไปด้วย
เพราะงั้นถ้าผมคิดบวก กระตุ้นพลังบวก น้องเขาจะต้องยิ้มแย้มขึ้นได้แน่นอน
"ก็เห็นมีตั้งหนึ่งคนแล้วนี่ไง" ผมคลี่ยิ้มกว้าง สายตาพยายามส่งทอดความรู้สึกที่ดีให้
น้องนิ่งเอียงคอเล็กน้อย กระพริบตาจ้องมองผมเป็นนัยว่าไม่เข้าใจ
"หากไม่รังเกียจ..." ผมลุกขึ้นยืนพร้อมทำสีหน้าเคร่งครึมประดุจอัศวินพิทักษ์เจ้าชาย มือกุมไว้ที่หน้าอกซ้ายเป็นสัญลักษณ์สื่อความในใจ "ขอให้กระผม เบญจมินทร์ ได้เป็นสหายคนแรกของท่านได้หรือไม่ขอรับ องค์ชายน้อย" ฝีมือการแสดงนี้ได้มาจากการประกวดเดือนไม่ผิดแน่
ไม่นานนักเจ้าชายน้อยของผมก็คลี่ยิ้มออกมาได้สักที รอยยิ้มสดใสทำให้ผมใจชื้นขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นน้องนิ่งฉีกยิ้มกว้างขนาดนี้
"ครับผม" เสียงหวานตอบรับคำขอ
ผมออกจากบทบาทอัศวิน เอื้อมมือไปคว้าบีนแบ็กมากอด แล้วหย่อนก้นลงนั่งบนพรม "ว่าแต่เราชื่ออะไรครับ พี่ยังไม่รู้จักชื่อเราเลย"
เด็กหนุ่มดูประหม่าเล็กน้อยก่อนจะตอบ
"นายชื่อ...นาย..."
ผมเลิกคิ้วใส่ "ชื่อพี่เหรอ ก็เบ็นไง ตอนนั้นก็เห็นชื่อพี่แล้วนี่"
เด็กหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วทวนประโยคเดิมซ้ำ "นายชื่อนายครับ"
เมื่อเห็นผมไม่มีทีท่าจะเข้าใจได้ คนตรงหน้าจึงต้องหยิบสมุดจดขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วเขียนอะไรบางอย่างลงไป จากนั้นก็หันสมุดมาแล้วใช้นิ้วมือชี้ให้ผมดู
'My name is Nine.'
"ไนน์ชื่อไนน์ครับ"
เมื่อได้ยินอีกครั้งจึงเข้าใจความหมายได้ ไอ้หนูนี่คงใช้สรรพนามบุรุษที่สามที่เป็นชื่อตัวเองแทนคำว่า ผม แน่ ๆ
ผมยิ้มรับ พร้อมยื่นมือไปให้อีกฝ่ายจับ
สิ่งนี้เรียกว่าการเชคแฮนด์ เป็นวัฒนธรรมการทักทายของชาวตะวันตกที่ผมชอบกว่าการไหว้แบบไทย เพราะการจับมือไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความแตกต่างของช่วงวัย ทุกคนเสมอภาคไม่มีใครเหนือกว่าหรือต่ำกว่า
มือน้อย ๆ ยื่นมาจับมือของผม
"พี่ชื่อเบ็นนะไนน์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
"...ครับพี่เบ็น"