"ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะอีเบ็น กลับมาหาพวกกูก๊อน" แม่บอลร้องทักขึ้น ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังยิ้มแฉ่งอยู่ แต่ฉีกยิ้มยังไม่ทันสุดก็ต้องได้ยินเสียงมารมาแทรก
"ไอ้นิ่งนั่นพูดเป็นกับเขาด้วยเหรอวะ" สนพูดขึ้นทำเอาผมหันขวับไปทำดาเมจทางสายตาใส่
"ทำไมมึงไม่เขียนป้ายชื่อให้น้องมันวะ" กุ้งถามขึ้น ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามของกุ้งอยู่ในใจ "ถึงมันจะดื้อยังไงก็น่าสงสารนะเว้ยถ้าพี่กลุ่มมันไม่ใส่ใจมันเลย"
"ก็กูถามมันแล้วว่าชื่ออะไร มันก็ไม่บอกกู พึมพำห่าอะไรก็ไม่รู้ แล้วกูจะไปตรัสรู้กับแม่งเหรอ" แล้วมันก็หันมามองผมอีกครั้ง "เลิกขมวดคิ้วใส่กูสักทีจะได้ไหมวะ เป็นเหี้ยอะไรนักหนา"
ผมกับสนเป็นอย่างนี้กันมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว ทั้งที่ตอนเก็บตัวดาวเดือนยังญาติดีกันอยู่เลย แต่พอมันได้ตำแหน่งเดือนคณะไปครอง มันก็ทำตัวหยิ่งไม่พูดกับผมซะงั้น
ผมจำไม่ได้แล้วว่าอะไรทำให้เรากลายมาเป็นแบบนี้ อะไรทำให้ผมเกลียดมันได้ขนาดนี้ หรือผมไปทำอะไรให้มันโกรธก็ไม่รู้ ตอนนี้หลงเหลือแค่อารมณ์ชิงชัง ไม่เหลือแล้วซึ่งเหตุผล
"มึงต้องการอะไรครับคุณเสือกสน มีธุระอะไรก็รีบพูดแล้วรีบย้ายก้นกลับไปสักที" ผมพูดไล่สนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด คิ้วขมวดชิดกันแน่น บอลที่เห็นท่าไม่ดีจึงลูบไหล่ผมเบา ๆ ให้ผมใจเย็นลง
เมื่อบอลสัมผัสบ่า ผมจึงได้สติและใจเย็นลงบ้าง ทั้ง ๆ ที่มันยังไม่ได้ทำอะไรผมเลยแท้ ๆ ผมกลับทำนิสัยเสียกับมัน
จริง ๆ ก็เป็นผมเองด้วยซ้ำที่ส่งสายตาพิฆาตใส่มันก่อน แต่ก็นั่นแหละ พอเจอหน้ามันทีไร อารมณ์พุ่งนำมาก่อนเหตุผลเสมอ
"หยาบคายจังเลยนะครับคุณเบ็นนี่น้อย" สนพูดล้อเลียนชื่อผมเช่นเดียวกัน มันแสยะยิ้มก่อนจะแสดงสีหน้าเรียบเฉย "กูมาบอกมึงให้เตรียมตัวเป็นพี่เลี้ยงเดือนได้แล้ว พี่เชอร์รีฝากกูมาบอก"
"แล้วกูต้องเตรียมตัวอะไรวะ"
"ปีนี้พี่เชอร์รีไม่ค่อยมีเวลาว่างมาดูแลการประกวด เพราะงั้นพี่เขาเลยจะเปลี่ยนมาให้พวกปีสองที่เคยประกวดไปหาเด็กกันเองแล้วปั้นมาแข่งกัน"
พี่เชอร์รีที่ว่าคือรุ่นพี่ที่ทุกคนเคารพนับถือกันเป็นส่วนใหญ่ แม้จะจบไปแล้ว แต่ด้วยความรักในคณะ พี่เลยกลับมาช่วยจัดกิจกรรมบ่อย ๆ
กิจกรรมที่พี่เชอร์รีมีส่วนร่วมมากที่สุดก็คือการประกวดทูตกิจกรรมของคณะและต่อด้วยสนามระดับมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่น พี่เชอร์รีก็ปั้นเด็ก ๆ ทั้งดาว เดือน และดาวเทียมมาด้วยดีตลอด ผมและสนก็เป็นเด็กปั้นของพี่เชอร์รีเช่นกัน
"ถ้าพวกเราทำกันเอง แล้วพวกการแสดงละครคู่ดาวเดือนอะไรนั่นต้องทำยังไงวะ"
"เรื่องนั้นพี่เชอร์รี่ก็หนักใจอยู่ แต่ก็ได้ข้อสรุปว่าจะไม่มีการแสดงละคร ไม่มีช่วงตอบคำถามนางงามโลกสวย จะมีแค่การแสดงความสามารถพิเศษแยกเป็นคนคนไป ประมาณห้านาทีมั้ง แล้วก็เดินแบบ"
"ก็ยังดีวะที่มีแสดงความสามารถพิเศษบ้าง"
"เหอะ กูเถียงพี่เขาแทบตาย ไหน ๆ ก็จะตัดการแสดงละครแล้ว ก็เอาแค่เดินแบบอย่างเดียวก็จบ จะได้ไม่ต้องเตรียมงานห่าเหวอะไรมากมาย น่ารำคาญ"
"ต้องมีดิ ไม่งั้นก็แข่งกันที่หน้าตาอย่างเดียวดิ"
"ทำไมต้องมีวะ ในเมื่อการประกวดก็คัดหน้าตาเป็นหลักอยู่แล้ว"
"กูไม่เชื่อหรอก ถ้าคนเราพยายามจริง ๆ ต่อให้ไม่หล่อไม่สวยเท่าก็โดดเด่นขึ้นมาได้"
"...มึงก็อย่างงี้ทุกที" มันพึมพำกับตัวเองแต่ดูจะจงใจให้ผมได้ยินด้วย
"มึงว่าไงนะ"
"เอ่อ... ตรงนี้ร้อนเนอะ ว่าไหม" กุ้งพูดอย่างกระอักกระอ่วนพร้อมกระทุ้งศอกไปที่เอวเนตร "เดี๋ยวพวกกูย้ายไปหาที่เย็น ๆ ในร้านที่มีแอร์แถวนี้ก่อนนะเบ็น นะไอ้สน"
"นั่นซิเนอะ ฮะฮะ" เนตรขำแห้ง ๆ ก่อนจะลากบอลและลักษณ์ออกไปด้วย
ผมรู้สึกผิดกับเพื่อน ๆ ทันที เพราะความอารมณ์ร้อนของผมเองแท้ ๆ เลยทำให้เพื่อนพลอยเสียบรรยากาศไปด้วย ตอนนี้จึงเหลือเพียงแต่ผมและสนที่นั่งประชันหน้าเข้าหากันเท่านั้น
"กูเชื่อว่าทุกคนหล่อสวยหน้าตาดีกันหมด...แค่ดีในคนละแบบ" ผมต่อบทสนทนาจากที่ค้างไว้ พยายามสะกดอารมณ์ให้เย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ "แล้วทุกคนก็สามารถพัฒนาตัวเองได้ถ้าพยายาม"
"เหอะ ไอ้การพูด การเดิน การยืนมันฝึกกันได้ แต่รูปร่างหน้าตาฝึกให้ตายยังไงคนขี้เหร่ก็คือคนขี้เหร่วันยันค่ำ นอกจากจะไปศัลยกรรมเปลี่ยนหน้าใหม่น่ะนะ"
"มึงนี่โลกแคบจังนะ"
"กูไม่ได้โลกแคบ กูพูดความจริง มึงจะเอาอะไรกับโลกวัตถุนิยมที่สนใจหน้าปกชวนซื้อมากกว่าเนื้อหาข้างในละ"
"กู..." ผมเถียงไม่ออก ในใจเห็นด้วยกับมันอย่างขัดขืนไม่ได้ แต่ถึงยังไงก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นแย้งกับมัน
"แต่กูเชื่อว่าทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ถ้าพยายามมากพอ"
"ทุกคน?"
"เออ! ทุกคน" ผมย้ำหนักแน่น
"งั้นมึงพิสูจน์ให้กูเห็นหน่อยว่ามันจะเป็นจริงได้ไหม"
"แล้วจะให้กูพิสูจน์ยังไงล่ะ"
"เดิมพันด้วยการประกวดเดือนปีนี้ เพราะเราทั้งคู่จะต้องเป็นพี่เลี้ยงให้ว่าที่เดือนของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นกูจะเลือกคนที่หน้าตาดีที่สุด ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่เขาทำ ๆ กัน ส่วนมึง..." สนหยุดคิดสักพักก่อนพูดต่อ "มึงต้องปั้นเด็กที่กูคิดว่าชาตินี้จะไม่มีทางเป็นเดือนได้ ถ้าเด็กของมึงชนะจนได้เป็นเดือนคณะ กูถึงจะยอมรับความพยายามของมึงกับน้องของมึง"
"ถ้ากูแพ้ล่ะ"
"ถ้ามึงแพ้..." มันคิดอยู่สักพักแล้วยักไหล่ขึ้นมา "ก็แค่เลี้ยงหมูกระทะกู แค่นั้น"
"ห๊ะ! นี่มึงบ้าหรือมึงบ้าเนี่ยไอ้เหี้ยสน" ผมเผลอหัวเราะออกมาเพราะตลกกับการเดิมพันพื้น ๆ อย่างหมูกระทะที่มันบอก แต่เมื่อรู้ตัวก็รีบหุบยิ้มแล้วกลับมาหน้าบึ้งทันที ทว่าคู่สนทนายังคงหัวเราะร่าอยู่ฝ่ายเดียว
"ก็กูกับมึงไม่ได้ไปด้วยกันมานานแล้วไม่ใช่เหรอวะ ถ้ากูจำไม่ผิด" สนพูดถึงความหลังออกมาได้หน้าตาเฉยโดยไม่สนเลยว่าเมื่อครู่เราเล่นสงครามน้ำลายไปมากมายขนาดไหน
ภาพอดีตไหลมาราวกับสายน้ำ ทว่ายังเป็นสีเทาที่ไม่ชัดเจนดีนัก ผมแทบจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าตอนนั้นเราสนุกและเฮฮากันมาก ผมรู้แค่นั้นจริง ๆ
อะไรกันนะที่ทำให้เรากลายมาเป็นแบบนี้
"ว่าไง ตกลงไหม" คำถามของสนปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์
"ตกลง แล้วน้องที่ว่า...มึงจะเลือกใครให้กู"
มันหยุดคิดอยู่เกือบนาทีก่อนจะแสยะยิ้มฉายแววตาเจ้าเล่ห์น่าถีบส่งให้ไปคุยกับรากมะม่วง
"ไอ้นิ่ง เด็กแว่นสาขาญี่ปุ่นคนนั้นไง หงิม ๆ เงียบ ๆ หน้าบากคนนั้น"
"ได้!" ผมตอบกลับทันที ทำเอาสนอึ้งกับคำตอบเล็กน้อย มันคงไม่คิดว่าผมจะตอบกลับมาเร็วขนาดนี้
"ตกลงตามนี้" สนพูดแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เตรียมตัวเดินออกไป แต่ยังไม่ทันเดินไปได้ไกลนัก สนมันก็เอี่ยวหัวกลับมา "ครั้งนี้...มึงอย่าโกงกูเหมือนครั้งก่อนล่ะ" พูดจบก็หันหลังเดินจากไปทันที
โกง?
ผมเคยโกงมันด้วยเหรอ
ถ้าผมโกง แล้วมันจะได้ตำแหน่งเดือนได้ยังไง
อะไรของมันวะ