webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Classificações insuficientes
56 Chs

บทที่ 3.2

วันรุ่งขึ้นมาถึง ผมและเพื่อนนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ในโรงอาหารหน้าหอใน ไอความร้อนแผ่กระจายมามากขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงสายของวัน

ช่วงนี้เป็นวันว่างที่ปล่อยให้ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องพักผ่อนจากกิจกรรมที่ติดต่อกันมาหกวันติดก่อนที่นรกที่แท้จริงอย่างการเปิดเทอมจะมาถึง

แต่ก็ยังมีภารกิจที่น้องต้องทำอยู่ดี นั่นคือการตามล่าลายเซ็นของรุ่นพี่ทุกคนในสาขาเพื่อทำความรู้จักเป็นรายบุคคล

และเพื่อเป็นการช่วยให้น้องหาตัวเองให้เจอได้ง่าย ๆ พวกผมและรุ่นพี่ส่วนมากจึงพากันมานั่งที่โรงอาหารแห่งนี้ เพราะปีหนึ่งทุกคนอยู่หอในกันอยู่แล้ว แค่ลงมากินข้าวก็เจอกันได้

โรงอาหารแห่งนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นของอาหารนานาชนิด ทั้งกลิ่นกะเพรา กลิ่นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ กลิ่นควันหมูปิ้ง กลิ่นทั้งหมดคละคลุ้งกระตุ้นความอยากอาหารของผู้เข้ามาเยือนได้ดีตลอด ถ้าคิดจะมานั่งเล่นที่นี่เฉย ๆ แล้ว ไม่มีวันที่จะหยุดเสียงเรียกร้องของปากตัวเองได้หรอก จนท้ายที่สุดก็ต้องจบลงด้วยของกินอะไรบางอย่างอยู่ดี

พวกเราที่จัดการมื้อเช้าเสร็จแล้วจึงต้องไปหาของหวานระงับความอยากอาหารที่มี และตอนนี้ตรงกลางโต๊ะมีโทสต์จานยักษ์ หน้าขนมปังราดด้วยนมข้นหวานตัดกับช็อกโกแลตเหลว กลิ่นหอมจากวิปครีมลอยฟุ้งเข้าจมูกกระตุ้นต่อมน้ำลายของทุกคนในวงสนทนา

"โอเค คำเดียวก็พอแล้ว" ลักษณ์ประกาศขึ้นหลังจากกินโทสต์ที่ตั้งกลางวงไปได้เพียงคำเดียว เธอเป็นสาวหมวยร่างอวบผิวขาวนวลที่กำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ เธอเชื่อว่าถ้าเธอผอมเธอจะสวยกว่านี้ ทั้งที่ตอนนี้ก็ดูดีมากพออยู่แล้ว

"ตอนนี้ลักษณ์ก็สวยอยู่แล้วนะ" ผมพูดให้กำลังใจตามที่คิดจริง

"จริง! ผู้ชายหลายคนก็ชอบสาวร่างอวบนะมึง" บอลสนับสนุนคำพูดของผมในเสียงทุ้มต่ำแต่ดัดให้แหลมสูง

บอล เป็นหนุ่มสวยร่างใหญ่กว่าลักษณ์และเป็นพิธีกรนันทนาการที่ทุกคนรัก อาจเรียกได้ว่าเป็นคุณแม่ประจำรุ่นของผมเลยก็ว่าได้

"ไม่เห็นมีใครมาจีบเลยแม่"

"จริงป๊ะน่ะ อวบ ๆ ก็ดีนะ มีนมใหญ่ ๆ ไม่ดีแงะ" กุ้งพูดแล้วเหล่ไปมองแฟนสาวที่นั่งข้างกัน "ไม่แบนเหมือนคนข้าง ๆ เนี่ย"

โป๊ก!! เสียงจากมะเหงกกระทบกระโหลกศีรษะกุ้งดังขึ้น มันเจ็บจนร้องโอดโอยตามด้วยเสียงไอสำลักโทสต์ที่เพิ่งตักเข้าปากไป

"นี่! กูเขกให้ อย่าพูดถึงผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศได้ไหมไอ้กุ้ง ไอ้เวร รู้จักไหมเฟมินิสต์น่ะ" เนตรสาวสวยร่างเล็กผู้ยึดมั่นในความชอบธรรมของพลังหญิงเอ่ยขึ้น เธอไม่ได้โกรธกุ้งจริงจัง จริง ๆ เธอชินกับนิสัยของกุ้งที่เป็นแบบนี้มานานแล้ว"

กุ้ง เนตร และผมรู้จักกันมาตั้งแต่ ม.4 และเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่นั้นมา พอเข้ามหา'ลัยก็พบว่าเลือกเรียนคณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัยเดียวกันอีก

พวกมันทั้งคู่เป็นแฟนกันตั้งแต่ ม.6 แม้จะมีทะเลาะกันบ้างบางครั้ง แต่ทั้งคู่ก็ดูเหมาะสมกันดี ทั้งคู่หวานกันมากถึงขั้นมีคนเอาพวกเขาไปแต่งเป็นรื่องสั้นลงนิตยสารมหา'ลัยชื่อ 'สาวราพันเซลกับหนุ่มไกรทอง'

ที่ได้ชื่อนี้เพราะเนตรมีผมที่ยาวสยายไปถึงกลางหลัง เธอเลี้ยงผมไว้ไม่เคยตัดเลยตั้งแต่สมัย ม.ต้น ส่วนกุ้งเป็นหนุ่มพิจิตรผิวแทนรูปร่างสมส่วน มีกล้ามเนื้อแน่นกระชับ หน้าตาหล่อเข้มเหมือนหลุดออกมาจากโลกวรรณคดีไทย

"ว่าแต่ว่า ไอ้กุ้งมันเล่าให้ฟังเรื่องน้องนิ่งคนนั้น ตกลงน้องเขาโอเคไหมวะ" เนตรหันมาถามผมก่อนจะตักโทสต์เข้าปากมาเคี้ยวหมับ ๆ

น้องคนนั้นได้รับฉายาว่า น้องนิ่ง ในหมู่รุ่นพี่ไปซะแล้ว...

"มึงหมายความว่าไง ที่ว่าโอเคไหมนี่คืออะไรวะ" ผมขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย

"ก็...กูแค่คิดว่า...แบบ...น้องเขาไม่เต็มรึเปล่า ไรงี้"

ผมหัวเราะลั่น "ไม่หรอกมั้ง น้องเขาก็คงขี้อายเฉย ๆ แหละ"

"อืม ถ้าเป็นงั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวอยู่ไปเรื่อย ๆ ก็ใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นมาเองแหละนะ"

"มาให้เป็นนันฯ ดูซิ มึงเอ้ย รับรองได้หายขี้อายแน่นอนมึง" บอลกล่าวเสริม

"อย่าเลย สงสารน้องมัน" กุ้งพูดขัดก่อนจะโดนบอลตบกระหม่อมไปอีกครั้ง

"อีกุ้ง"

ตอนนี้โทสต์ที่ตั้งอยู่กลางวงนั้นถูกจัดการหมดแล้วเรียบร้อย เหลือเพียงจานเปล่าและกลิ่นหอมนมเนยที่ฟุ้งลอยอยู่ในอากาศโดยรอบ

"จะมีเพื่อนบ้างรึยังนะ..." ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แต่ก็ดังกว่าที่คิดไว้ จนทุกคนในวงสนทนาได้ยินกันหมด

"ว่าไงนะอีเบ็น"

"ลูกเป็นห่วงน้องมันอะแม่" ผมตอบบอลไปแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

"จ้ะ ไม่บอกก็รู้ แกเล่นมองน้องทุกวันเลยนี่" ลักษณ์ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้ชิดกับผมมากที่สุดตอนทำกิจกรรมน่าจะจับสังเกตได้ เธอทำสายตาเจ้าเล่ห์มองผมอย่างมีลับลมคมใน "ฉัน-เห็น-นะ"

"อะไรเล่า ก็กู...ฉันเป็นห่วงน้องมันนี่" ผมเกือบหลุดใช้คำหยาบกับลักษณ์ไปแล้ว ถึงจะไม่ได้หยาบมากสำหรับคำว่า กู หรือ มึง แต่ผมคิดว่าควรละคำพวกนั้นไปเพราะคู่สนทนาที่ว่าไม่เคยพูดกูมึงกับใครเลย

"เออ รู้แล้ว มึงพูดซ้ำรอบสองแล้วเนี่ย" กุ้งหัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วยื่นมือมากดหัวผมลง

"เดี๋ยวน้อง ๆ ก็มาล่ารายเซ็นรุ่นพี่กันแล้ว ได้ข่าวว่าน้องนิ่งอยู่สาขาภาษาญี่ปุ่นที่เพิ่งเปิดปีนี้เป็นปีแรกนี่ มึงก็ทำความรู้จักกับน้องในสาขามึงไว้ จะได้ดูแลน้องได้" ราพันเซลในคราบผมสีน้ำตาลแนะนำ

"งั้นน้องมันก็ต้องมาให้กูเซ็นด้วยอะดิ" ผมถามเนตรไปด้วยเสียงสดใสขึ้นกว่าเดิมจนกุ้งอดที่จะแซวผมไม่ได้ มันเอาศอกมากระทุ้งสีข้างแล้วแสยะยิ้มน่าเกลียดใส่

ผมอยู่สาขาภาษาอังกฤษซึ่งมีหลักสูตรมานานหลายรุ่นแล้ว ผิดจากสาขาภาษาญี่ปุ่นที่เพิ่งรับรุ่นนี้เป็นรุ่นแรก เพื่อให้รุ่นน้องสาขาภาษาญี่ปุ่นมีพี่คอยดูแลเหมือนคนอื่น ๆ ทุกคนจึงลงความเห็นว่าสาขาภาษาอังกฤษสมควรที่จะดูแลน้องในสาขาภาษาญี่ปุ่นด้วย เหตุเพราะความใกล้เคียงกันทางหลักสูตร

พอรู้ว่าเจ้าหนูนั่นจะได้เป็นน้องในสาขาแล้ว ผมก็ยิ้มได้อีกครั้ง เพราะตั้งแต่เจอกันวันแรก ผมสัญญาไว้ซะดิบดีเลยว่าจะดูแล แต่มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ทำตามที่ได้สัญญาไว้เลย ผมนี่มันแย่จริง ๆ

ถ้าเจ้านั่นไม่มีเพื่อนคบเลย อย่างน้อยก็ยังมีผมที่คอยอยู่เป็นเพื่อนคนนึงละนะ

"เฮ้ย น้องมา ๆ" บอลกระซิบแล้วบุ้ยปากไปทางกลุ่มรุ่นน้องสามคนเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมตัว

ปรากฏว่าสามคนนั้นเป็นน้องในสาขาชีววิทยาที่ตรงกับเนตรและบอล ทั้งคู่ที่ไม่ใช่รุ่นพี่ขี้แกล้งเท่าไหร่ จึงบอกให้น้องแนะนำตัวแบบธรรมดาแล้วเซ็นให้อย่างง่ายดาย

ต่อมามีรุ่นน้องอีกกลุ่มเดินเข้ามาหา เป็นน้องในสาขาคณิตศาสตร์ที่ตรงกับลักษณ์ พวกเขาจับกลุ่มกันมาเป็นขบวนพาเหรด แทบจะขนกันมาทั้งสาขาเลยก็ว่าได้

ด้วยความภูมิใจในนันทนาการ ลักษณ์ให้น้อง ๆ ร้องและเต้นเพลงนันฯ หนึ่งเพลงพร้อมกัน เพื่อแลกกับลายเซ็น

น้อง ๆ ไม่อายที่จะเต้นในที่สาธารณะอย่างโรงอาหารแห่งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

สักพักมีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเดินลุยเดี่ยวเข้ามาที่กลุ่มของพวกเรา เธอเป็นน้องในสาขาภาษาไทยที่กุ้งเรียนอยู่

กุ้งมันขี้แกล้ง จัดการสั่งให้ไปตะโกนหน้าโรงอาหารว่า 'พี่กุ้งหล่อที่สุดในโลกเลยค่า' ให้เสียงดังชัดเจนจนได้ยินมาถึงพวกเราให้ได้

น้องผู้หญิงคนนั้นก็บ้าจี้ทำตาม เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ จึงได้ลายเซ็นงาม ๆ จากไอ้กุ้งไป

"หล่อตายละไอ้ห่ากุ้ง" เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังผม

เสียงทุ้มต่ำแฝงน้ำเสียงเหน็บแนมขนาดนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้สนปากหมา

"เอ่อ พี่สน พูดไม่เพราะเลยนะครับ" กุ้งที่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าน้องจำเป็นจะต้องพูดด้วยภาษาสุภาพกลับไป มันจ้องตาสนแล้วเน้นคำว่า ครับ เพื่อเตือนให้ระวังการพูดขณะอยู่ต่อหน้ารุ่นน้อง

"พี่สน...คะ ช...ช่วยเซ็นให้หนูด้วยค่ะ" หญิงสาวที่เพิ่งได้รับลายเซ็นจากกุ้ง ได้โอกาสขอพี่ในสาขาอีกคน จากที่คุยกับกุ้งได้โดยไม่ประหม่าเลยซักนิด กลับพูดติด ๆ ขัด ๆ กับสน

แน่ละ หล่อระดับเดือนคณะ ที่สามของเดือนมหาวิทยาลัยอย่าง ต้นสน สาวน้อยสาวใหญ่เวลาคุยด้วยก็ประหม่าหน้าแดงกันทั้งนั้น

"ได้สิคะ เดี๋ยวพี่เซ็นให้โดยไม่ต้องให้ทำอะไรเลยนะ" สนพูดยิ้ม ๆ พูดจาคะขากับผู้หญิงตามปกติที่เคยทำ

เด็กสาวยิ้มแป้นบนใบหน้าที่แดงก่ำ เธอแสดงอาการขัดเขินอย่างชัดเจนด้วยการบิดตัวบิดแขนไปมา

เมื่อสาวน้อยได้รับลายเซ็นจากกุ้งและสนเรียบร้อยจึงเดินออกไปหากลุ่มรุ่นพี่ที่อื่น

ก่อนไป เธอได้ไหว้ลาสนอย่างสวยงามและกล่าวลาด้วยเสียงหวานใส

แล้วเธอก็หันควับเดินออกไปเลย ไม่ได้ล่ำราพวกเราหรือแม้แต่กุ้งแต่อย่างใด

"ให้ตายเถอะ คนมันหล่อทำอะไรก็หล่อ แค่เซ็นชื่อก็หล่อได้นะพ่อคุณ" กุ้งเอ่ยแซวสนที่เป็นเพื่อนร่วมสาขากันตามปกติที่ทำกัน

สนกับกุ้งเป็นเพื่อนที่เรียนในสาขาเดียวกัน จึงดูสนิทกันพอสมควร ผิดกับผมที่ไม่ถูกกับสนโดยสิ้นเชิง ไม่ว่ามันจะฉีดน้ำหอมกลิ่นอะไรมา สำหรับผมมันก็แค่ขี้หมาเปียก ๆ แค่นั้นเอง

"ก็คนมันหล่อนี่คร้าบ" สนพูดแล้วย้ายก้นลงนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่โดยไม่ได้ขอสักคำ

"เป็นไงบ้างสน มีน้องมาขอให้เซ็นเยอะหรือยังจ๊ะ" ลักษณ์ทักทายผู้มาเยือน

"ก็เยอะใช้ได้อยู่นะ" สนพูดยิ้ม ๆ แล้วหันหัวมาพูดกับผม มุมปากหุบลงทันที "แล้วมึงจะเลิกส่งสายตาอาฆาตใส่กูได้หรือยัง ไอ้เหี้ยเบ็น ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ"

ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมองค้อนสนไปอย่างที่มันอ้าง แต่จากความรู้สึกที่มีเมื่อครู่ก็คงเดาได้ว่าสิ่งที่มันพูดคงจะเป็นความจริง

"ดูปากกูนะ" ผมชี้ไปที่ปากตัวเอง "เรื่อง-ของ-กู"

กุ้งขำแห้งใส่พวกเรา "พวกมึงนี่ตลกเนอะ" แต่ทั้งผมและสนไม่ได้หัวเราะตามมันเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะกระตุกยิ้มด้วยซ้ำ

ไม่นานเสียงหัวเราะของกุ้งก็ค่อย ๆ เงียบหายไป ทำบรรยากาศให้ดูน่าอึดอัดขึ้นมาทันที

ผมเขม็งตามองตอบโต้ไอ้สนไป ตอนนี้เราเหมือนกำลังเล่นเกมจ้องตากันอยู่ ใครหลบตาก่อนคนนั้นแพ้

"มึง น้องนิ่งมา!"

บอลรีบเอามือตบปากกุ้งเบา ๆ และปิดไว้อย่างนั้นสักพักเพราะกลัวเด็กนั่นจะได้ยินฉายาที่รุ่นพี่ตั้งขึ้นมานินทา

ผมหันไปมอง พบเด็กน้อยสวมแว่นตาหนาเตอะคนเดิมในเสื้อยืดลายการ์ตูนยุค 90 ที่ดูขัดกันกับวัยขึ้นมหา'ลัยชอบกล ร่างบาง ๆ นั้นกึ่งวิ่งกึ่งเดินมุ่งตรงมาหาพวกเรา ในมือถือสมุดล่ารายเซ็นไว้แน่น ดูท่าทางจะกังวลเล็กน้อยที่ต้องเข้าหารุ่นพี่กว่าหกชีวิต

เมื่อน้องเข้ามาใกล้ ผมจึงสังเกตได้ว่าสีหน้าของเขาดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อวานนิดหน่อย แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ทุกอย่างบนหน้ายังคงมืดครึ้มเป็นเมฆที่เตรียมตัวจะปล่อยน้ำฝนลงมา

แต่เมื่อผมยิ้มทักน้องเขาไป ใบหน้านั้นก็เบิกบานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

น้องเขายิ้มมุมปากน้อย ๆ พร้อมไหว้รุ่นพี่ทุกคน ทำเอาพวกเพื่อนของผมและไอ้สนอึ้งไปเลย เพราะตั้งแต่ไอ้หนูนี่เข้ามา ยังไม่เคยมีใครได้เห็นรอยยิ้มน้อย ๆ จากปากสีซีดนี้เลยนอกจากผม

"พี่เบ็น...ซ...ห...น...ครับ" เสียงนั้นเบามากจนจับใจความไม่ได้เลย

"หืม?" ผมยื่นหัวตัวเองเข้าไปใกล้หน้าของน้องเขา อยู่ ๆ หน้าเขาก็แดงก่ำขึ้นมา

"พี่เบ็น...เซ็นชื่อให้หน่อยครับ"

"มาครับ" ผมยิ้มตอบพร้อมรับสมุดจากรุ่นน้องที่น่ารักเบื้องหน้ามาเซ็นชื่อตัวเองลงไป "เบ็น-คา-มิ้น"

…BENJAMÍN…

ลายเซ็นที่ผมบรรจงเขียนให้ หวังว่าน้องจะชอบนะ

เมื่อเขียนเสร็จ ผมยื่นสมุดคืนน้องไป ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามน้องว่าชื่ออะไร เขาก็รีบพูดขอบคุณแล้วหันหลังวิ่งหนีออกไปเลย

อะไรจะขี้อายขนาดนั้น บ๊องจริง ๆ