เมื่อกิจกรรมช่วงบ่ายเสร็จสิ้น ก็ได้เวลากลับหอไปนอนพักสักที
แม้จะใกล้เวลาเย็นแล้ว แต่แสงแดดที่ขยันทำงานเกินหน้าที่ที่มันควรจะทำนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก คลื่นความร้อนเข้ากระทบกับผิวหน้าทันทีที่ออกจากห้องโถง ไม่นาน เหงื่อชื้นผุดขึ้นและไหลลงมาตามหน้าผากไปถึงปลายคาง
น้องปีหนึ่งคงกลับกันหมดแล้ว ส่วนพวกรุ่นพี่ก็ทยอยกลับกันไปบ้างแล้ว แต่เพราะผมต้องอยู่ช่วยจัดเก็บสถานที่ จึงได้ออกมาช้ากว่าคนอื่น
ผมถอดป้ายชื่อเก็บใส่เป้แล้วตรงดิ่งไปยังมอเตอร์ไซค์สีชมพูตัวเก่งของผม มอเตอร์ไซค์คันนี้อยู่กับผมมานานมากแล้ว แม้ตอนนี้มันจะดื้อสตาร์ทไม่ติดไปบ้าง แต่ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่
ผมขึ้นคร่อมมันแล้วเริ่มสตาร์ทรถ กว่าจะติดก็ต้องใช้เวลาสักพัก "ไป ไอ้ชมพูลูกพ่อ" ผมเผลอพูดกับมอเตอร์ไซค์ตามนิสัยที่ติดมาตั้งแต่ซื้อมันมาใหม่ ๆ ถ้าคนอื่นมาเห็นคงล้อยันลูกบวช โชคดีที่ตอนนี้รอบข้างไม่มีใครอยู่เลย
ซะที่ไหน...
"มึงยังคุยกับมอเตอร์ไซค์เหมือนมันมีชีวิตอยู่อีกงะ" เสียงเหน่อเสียงหนึ่งถามขึ้น
"เรื่องของกู" ผมหันควับมองค้อนเจ้าของเสียงพูดทันที กุ้งเพื่อนผมนั่นเอง สำเนียงเหน่อไสตล์คนพิจิตรนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากมัน ตอนนี้มันถอดป้ายชื่อกับเนคไทออกแล้ว ส่วนชายเสื้อนิสิตหลุดรุ่ยออกมานอกกางเกงจนหมด สภาพต่างจากตอนแสดงลิบลับ
"กูกลับด้วยดิคุณน้องชายที่น่ารัก" มันฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่
"เรื่องของมึง" ตอนนี้ไอ้ชมพูของผมรอนานจนงอนดับเครื่องใส่ผมไปแล้ว "แล้วเนตร แฟนมึงอะ"
"ก็มอเตอร์ไซค์เนตรมันเสีย กูเลยต้องให้มันเอารถกูไป แล้วกูก็ให้เพื่อนมันซ้อน"
"แล้วทำไมมึงต้องให้เขาซ้อนด้วยวะ แฟนมึงมีชู้แน่ไอ้กุ้ง" ผมแซวมัน ยักคิ้วกวนตีนแถมให้มันไปด้วย
"ก็เพื่อนมันเป็นผู้หญิง กูเป็นผู้ชาย เป็นสุภาพบุรุษพอจะเสียสละให้เลดี้ไงจ๊ะ"
"จ้า พ่อสุภาพบุรุษ" ผมชูนิ้วกลางขึ้นมาแล้วกวักเรียกมันให้มาซ้อน "เออ ขึ้นมา ๆ"
"แงะ? คุณเบ็นผมใจดีที่สุดเลยคร้าบ"
ว่าแล้วกุ้งก็ยกตัวขึ้นซ้อนข้างหลังผม เพราะมีหลายครั้งที่กุ้งจะมาขอติดรถผมไปด้วย ผมจึงมีหมวกกันน็อกสำรองไว้ที่ใต้เบาะรถเสมอ
ไอความร้อนไหลผ่านร่างผมไปอย่างรวดเร็วขณะขี่รถกลับ เสียงนกจำนวนมหาศาลส่งเสียงดังระงมตามต้นไม้ข้างทาง สีเขียวชะอุ่มจากใบไม้ลอยละล่องลงมาตัดกับสีชมพูหวานของกลีบเสลา
แม้ก่อนหน้านี้ภายในมหา'ลัยจะเงียบเหงาลงไปจากการปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมา แต่ตอนนี้กลับครึกครื้นไปด้วยเฟรชชี่สดใสหัวใจกุ๊งกิ๊งที่เดินถ่ายรูปตามแลนมาร์คจุดต่าง ๆ บ้างก็มาเป็นกลุ่มเดินเตร็ดเตร่สำรวจไปเรื่อย บางกลุ่มพากันถีบจักรยานพลางเหม่อมองไปข้างทางโดยไม่สนใจสภาพอากาศตอนนี้เลย
ชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าเหล่านั้นเคยเป็นของพวกเรา ผมกับกุ้ง รวมทั้งเพื่อนคนอื่น ๆ ก็เคยพากันมาชมวิวทิวทัศน์รอบมหา'ลัยด้วยเหมือนกัน ผมยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี มันช่างสดใสและสดชื่นไปหมด แม้อากาศจะเดือดประทุแค่ไหนก็ตาม
แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว ใบหน้าที่เห็นก็ตัดกลับมาเป็นรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามาปีนี้แล้ว ตอนนี้พวกเราไม่ใช่กล้าเสลาที่เริ่มผลิบานอีกต่อไป เราได้กลายเป็นต้นไม้สูงใหญ่ที่คอยบดบังแสงแดดแรงกล้าให้กับพวกเขาแทน
ผมเหม่อมองข้างทางไปเรื่อย แต่ก็ต้องสะดุ้งเพราะกุ้งสะกิดไหล่เรียกผม มันชี้ไปที่ข้างทางให้ผมมองตาม
ภาพเบื้องหน้าที่ลอยผ่านไปคือเจ้าหนูนั่นเดินหอบเป็นลูกหมา เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เอามือขึ้นมาดันแว่นตาไม่ให้หล่นตลอด
ใบหน้ากร้านแดดนั้นแดงก่ำจากการถูกแดดเผา เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้า ผมเปียกปอนไปหมดเหมือนเพิ่งสระผมเสร็จ เสื้อสีดำชุ่มเหงื่อแนบชิดติดกับลำตัว
ถ้าบอกว่าลุยฝนมา ผมก็เชื่อนะ เอาจริง ๆ
"นั่นไอ้น้องนิ่งที่เขาลือกันใช่ปะน่ะ" กุ้งหันกลับไปมองที่ด้านหลังอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดไป
"กูว่าใช่" ผมพูดขณะมองผ่านกระจกมองข้าง เจ้าเด็กนั่นคิดอะไรของมันอยู่นะ คิดจะเดินกลับไปถึงหอเลยหรือไงกัน สภาพอากาศแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นลมแดดตายเป็นผีเฝ้าถนนกันพอดี
เมื่อมั่นใจว่าไม่ผิดคนแน่ ผมจึงหันไอ้ชมพู เลี้ยวกลับรถ แล้วไปจอดเทียบข้างน้องเขา เจ้าลูกหมาเปียกน้ำหันมาทำหน้าตกใจ เขาหายใจหอบเร็วด้วยความเหนื่อยและอ่อนล้าใส่จนหน้ากากของหมวกกันน็อกผมเป็นรอยฝ้า
ผมเปิดหน้ากากหมวกกันน็อกออกแล้วอาสาจะพาเขาไปส่งถึงที่หอใน หน้าแดงก่ำภายใต้แว่นตานั้นส่ายไปมาปฏิเสธผม เราต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าจะยอมขึ้นมาซ้อนแต่โดยดี
แน่นอนว่าการซ้อนสามนั้นผิดกฎหมาย แต่เนื่องจากระยะทางที่ไม่ไกลมาก ประกอบกับผมขับขี่ช้าจนกุ้งด่าเป็นประจำอยู่แล้ว จึงไม่ได้อันตรายเท่าไหร่นัก อีกอย่าง ถ้าจะให้กุ้งยืนรอก็สงสารมันเหมือนกัน ขอโทษนะครับคุณตำรวจ
ด้วยความที่เราซ้อนกันสามคน จึงต้องนั่งเบียดกันยิ่งกว่าเดิม กุ้งนั่งหลังสุด มือจับที่จับด้านหลังไว้กันตก ผมนั่งตรงกลาง ส่วนไอ้หนูนั่นนั่งข้างหน้าสุด
ผมให้มันก้มหัวลงหน่อยเพื่อไม่ให้บดบังการมองเห็น ทำให้ตอนนี้คางของผมอยู่เหนือไรผมเปียกชื้นของเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตร กลิ่นแชมพูคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหงื่อจาง ๆ โชยเข้าจมูกเป็นกลิ่นหอมแปลก ๆ
ผมใช้มือขวาจับแฮนด์ ส่วนมือซ้ายกอดเอวเด็กน้อยไว้ไม่ให้ตกเบาะลงไปกลิ้งกลางถนน ท่าของเราสองคนดูเหมือนพ่ออุ้มลูกไม่มีผิด แผ่นหลังของเขาแนบชิดกับแผ่นอกของผมโดยมีเพียงแค่เสื้อของเราที่กั้นเอาไว้
หางตาผมสังเกตเห็นแก้มและหูของน้องแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม คงจะร้อนมากสิท่า ถ้าไม่พาขึ้นมาด้วยคงได้นอนตายเป็นกล้วยปิ้งอยู่ตรงนั้นแน่
ผมตัดสินใจไปส่งน้องที่หอในก่อนเพราะระยะทางใกล้กว่าหอของเราที่อยู่นอกรั้วมหา'ลัย เมื่อถึงที่หมาย ผมผละมือออกจากเอวบางปล่อยให้เจ้าตัวเป็นอิสระ
เจ้าหนูนั่นหันมาสบตา หลบตา แล้วก็สบตาผมอีกครั้ง
"อย่าลืมหาเวลาไปล่าลายเซ็นของพี่ในสาขาด้วยนะครับ" กุ้งบอกลาน้องเขาอย่างสุภาพ
"ครับ ข... ขอบคุณครับ พี่ ขอบคุณครับ...พี่เบ็น" เจ้าลูกหมาที่ตอนนี้ตัวเริ่มแห้งแล้วเอ่ยขึ้นขณะยกมือไหว้ผมและกุ้ง
"อ่าว รู้ชื่อพี่ได้ไง" ผมถามด้วยความสงสัย เพราะเราไม่เคยคุยกันจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง
น้องเขาชี้มาที่บริเวณอก ผมก้มมองตามแล้วใช้เวลาประมวลผลเกือบหนึ่งวินาทีถึงจะนึกออก น้องเขาคงจะหมายถึงป้ายชื่อที่ตอนนี้ผมถอดออกไปแล้ว
เมื่อชี้เสร็จ เขาก็วิ่งหลบหน้าแดง ๆ หายเข้าไปที่ประตูทางเข้าหอในทันที ปล่อยให้มนุษย์รุ่นพี่ทั้งสองคนสับสนกับอาการขัดเขินที่มากเกินพอดีของรุ่นน้องตัวเอง
กุ้งหัวเราะในลำคอพร้อมส่ายหัวด้วยความเอ็นดู "อะไรของมันวะ" ตามด้วยการบ่นตัดพ้อที่ผมเจอประจำจนชิน "น้องเขารู้ชื่อมึงด้วยงะ เออว่ะ กูมันก็แค่ลีด มึงมันเป็นถึงรองเดือน ใคร ๆ ก็รักมึงทั้งนั้นแหละน้า" กุ้งเบ้ปากถอนหายใจแสดงอาการงอนเล่น ๆ ใส่ผม
"ก็กูได้เจอมันวันนี้ไง มึงก็เห็น" ผมเล่าย้อนไปขณะที่ผมพาน้องไปห้องน้ำ "ตอนนั้นน้องมันคงสังเกตเห็นป้ายชื่อกู ไม่ได้เกี่ยวกับว่ากูเป็นรองเดือนอะไรนั่นเลย มึงเองก็ถอดป้ายไปแล้วด้วย"
"เออ ๆ" กุ้งตอบกลับแบบส่ง ๆ แล้วเลิกคิ้วสูงใส่ผมทันที "แล้วทำไมมึงไม่รู้ชื่อน้อง มึงไม่ใส่ใจน้องงะ เกิดอะไรขึ้นกับรุ่นพี่ดีเด่นของกูวะน่ะ"
ผมถอนหายใจ "ก็ป้ายน้องไม่ได้ถูกเขียนชื่อไว้ กูเลยไม่รู้ไง"
"เฮ้ย จริงป๊ะน่ะ แล้วมันไม่ได้ถูกเขียนป้ายชื่อได้ไงวะ ใครเป็นพี่กลุ่มมัน มึงรู้ไหม" กุ้งถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังจนผมตั้งตัวไม่ทัน
"จะใครล่ะ ก็ไอ้ห่าสนนั่นไง" ผมเผลอใส่อารมณ์โกรธมากกว่าที่ตั้งใจไว้ ทำเอากุ้งหันมามองแปลกใจ ส่วนใหญ่ผมจะใจเย็นเป็นน้ำแข็ง แต่ถ้าพูดถึงบุคคลที่ชื่อสนเมื่อไหร่ น้ำแข็งจะกลายเป็นไนโตรเจนเหลวทันที เตรียมพร้อมที่จะเผาไหม้ทุกอย่าง
"น่า ใจเย็น ๆ" กุ้งพูดปลอบพร้อมบีบไหล่ทั้งสองข้างของผมเบา ๆ "ถ้าเจอกันก็พูดกับมันดี ๆ แล้วกัน"
"เออ! ถ้าแม่งพูดจาภาษาดอกไม้กับกูก่อนอะนะ"