webnovel

0102 เป็นอีกครั้ง

ตอนที่ 102 เป็นอีกครั้ง

 ด้วยสภาวะนี้ จึงกล่าวได้ว่าเขามีคุณสมบัติมากพอที่จะทะลวงขอบเขตต่อไปได้อย่างแท้จริง

 ณ ตอนนี้พลังวิญญาณจากภายในตันเถียนของกู่ฉิงซานได้เวียนว่ายไปทั่วทั้งร่างกาย มันไหลผ่านไปตลอดทั้งจุดชีพจรลมปราณ และในที่สุดก็มาบรรจบหมุนวนกันจนกลายเป็นจันทร์เต็มดวง

 “จงเปิด!” กู่ฉิงซานตะโกนกึกก้องออกมาคำหนึ่ง

 พริบตานั้นรัศมีของจันทร์เต็มดวงก็พลันแตกเป็นเสี่ยง กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยล่องลอยอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่า

 ผลกระทบจากการระเบิดออกของพลังวิญญาณอันเข้มข้น ส่งผลให้เกิดการก่อตัวของพายุขึ้นภายในเตาหลอม จนเสื้อผ้าของกู่ฉิงซานโบกสะบัดไปมา

 ทันใดนั้นท่ามกลางความว่างเปล่าก็ปรากฏหลุมทะมึนขึ้นอย่างฉับพลัน

 กู่ฉิงซานรู้สึกถึงจิตใจของเขาที่สั่นสะท้าน และกำลังจะถูกดูดเข้าไปในหลุมทะมึนดังกล่าว

 นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

 กู้ฉิงซานรู้สึกประหม่าเล็กน้อย 

 นั่นก็เพราะในอดีตช่วงชีวิตก่อนหน้า แม้การทะลวงสู่ขอบเขตก่อตั้งจะยากลำบากยิ่ง ทว่ามันกลับมิได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

 กู่ฉิงซานก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว

 ก่อนจะพบว่ากายหยาบของเขายังคงนั่งนิ่งภายในเตาหลอม และมันก็เป็นภาพสุดท้ายก่อนที่เขาจะหายเข้าไปในความว่างเปล่า

 “นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย!”

 ห่านขาวดีดตัวขึ้นอย่างแรง และรีบโฉบลงมาตรงโถงทางเดิน

 “เกิดอะไรขึ้น?” คู่ดวงตาของฉินเซี่ยวโหลวเบิกออกอย่างฉับพลัน เอ่ยถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

 “หากข้ายังอยู่ที่นี่ มารสวรรค์ย่อมไม่กล้าที่ย่างกรายเข้ามาวุ่นวาย แต่สุดท้ายจิตเทวะของฉิงซานกลับหายเข้าไปในความว่างเปล่า!” ห่านขาวเอ่ยด้วยความกระวนกระวาย

 “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร...เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร! ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” ฉินเซี่ยวโหลวพึมพำ

 “ตอนนี้ไม่มีทางเลือกให้ช่วยเหลือแล้ว เขาทำได้เพียงต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น” ห่านขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

 ซิวซิวขบคิดก่อนจะกล่าว “ท่านอาจารย์ได้บอกแก่ข้าว่า การก้าวข้ามเข้าสู่ขอบเขตอื่น มันจะมีความเกี่ยวข้องกับกรรมหรือกระแสกรรมของตัวเขาเอง”

 ดวงตาของฉินเซี่ยวโหลวสว่างวาบ “บางที อาจมิใช่ฝีมือของมารสวรรค์ แต่เป็นกรรมของเขาที่ต้องการให้กระทำบางสิ่งบางอย่าง จึงถูกลากจิตเทวะออกไปก็ได้”

 ห่านขาว ถอนหายใจ “อนิจจา ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใด แต่นั่นก็หมายถึงพวกเราไม่สามารถปกป้องเขาได้อยู่ดี ข้าคงได้แต่หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร”

 กู่ฉิงซานที่หายเข้าไปในความว่างเปล่า บัดนี้กำลังถูกลากดึงโดยพลังลึกลับ มุ่งตรงไปยังทิศทางเดียว

 ภาพใบหน้าแปลกๆ วาบผ่านตลอดเส้นทาง

 กู่ฉิงซานมองไปที่มัน และเขาก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่านั่นคือหน้าของมารสวรรค์

 ทว่ามารสวรรค์ทั้งหมดดูเหมือนจะหวาดกลัวเขา ไม่สิ คงหวาดกลัวต่อพลังที่กำลังฉุดลากเขาเสียมากกว่า ทันทีที่กู่ฉิงซานบินเข้าไปใกล้ พวกมันก็รีบถอยฉากออกไปซ่อนอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลในทันที

 ระหว่างนั้นเอง กู่ฉิงซานที่กำลังล่องลอยก็เริ่มรู้สึกไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ

 เนื่องเพราะทิศทางดังกล่าวนี้ช่างเป็นทิศทางที่เขาแสนจะคุ้นเคย

 และนั่นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่พลังลึกลับที่ฉุดลากเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลง มันเริ่มจะทรงพลังยิ่งขึ้น

 พลังนี้ เปรียบดั่งสายน้ำที่ไหลผ่านลำธารอย่างรวดเร็ว มันโอบล้อมเขาอย่างเกรี้ยวกราดราวกับพายุ ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ‘ก่อเกิดการสั่นสะเทือนและผิดแผกไปของห้วงเวลา’

 เบื้องหน้าของกู่ฉิงซานพลันปรากฏภาพดงดอกไม้ ก่อนที่เขาจะถูกผลักหายเข้าไปภาพดังกล่าวนี้

 หากยังจำกันได้ ทิศทางดังกล่าวช่างให้ความรู้สึกอันแสนคุ้นเคย

 กู่ฉิงซานถูกผลักเข้าไปในดงดอกไม้ ก่อนที่วิสัยทัศน์ของเขาจะมืดบอด

 เมื่อสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง เสายักษ์ก็ปรากฏสู่สายตาของเขา

 ถูกต้อง มันคือเสาสีทองแดงในยามก่อน

 เสาสีทองแดงสูงเสียดฟ้าขึ้นไปราวกับมันต้องการเชื่อมสวรรค์และโลก มิอาจมองเห็นหัวหรือหางของมันได้

 บนเสายักษ์ ปรากฏร่างที่สูงราวๆ ตึกสิบชั้นถูกตอกตรึงอยู่

 ร่างดังกล่าวอยู่ในสภาพห้อยหัว และสวมชุดเกราะสีดำหมึก

 เบื้องล่างของร่างดังกล่าว บนพื้นดินแออัดไปด้วยโครงกระดูกสีดำ

 เหล่าโครงกระดูกเพียรพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหมายจะปีนป่ายขึ้นไปบนเสาสีทองแดงขนาดยักษ์

 และสิ่งที่พวกมันทั้งหมดต้องการก็คือร่างที่ถูกตอกตรึง

 ในหัวใจของกู่ฉิงซานพลันหนาวสะท้าน เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงได้ถูกฉุดลากกลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง

 นี่คือสถานที่ที่เขาผ่านเข้ามาโดยบังเอิญก่อนจะข้ามผ่านสู่ห้วงกระแสมิติและเวลา มุ่งเข้าสู่โลกเทวะ

 “ในที่สุดเจ้าก็มาซะที”

 ปรากฏเสียงดังขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน

 “ท่านเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกล่าว “การที่เจ้าไม่รู้ มันจึงจะสมควรเป็นการดีกว่า หากชื่อของข้าถูกเปิดเผย ทั้งเจ้าและข้าคงต้องถูกค้นพบเป็นแน่”

 กู่ฉิงซานมองจ้องออกไป และเห็นว่าร่างกายอันใหญ่โตที่ซ่อนอยู่ในชุดเกราะนั้นไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ จากนั้นก็หันไปสำรวจโดยรอบ

 มิติและห้วงเวลาอันแปลกประหลาดแห่งนี้ เขาไม่สามารถอธิบายถึงการดำรงอยู่ของมันได้ และคงไม่มีใครรู้ว่ามันคือสิ่งใด เหตุใดจึงตั้งอยู่ที่นี่

 กู่ฉิงซานรับรู้เพียงแค่ว่า เฉพาะช่วงเวลาที่เกิดความปั่นป่วนของมิติและกระแสเวลาเท่านั้น ฉากนี้จึงจะปรากฏขึ้น

 เสียงดังกล่าวเริ่มเอ่ยต่อ “แม้จะไม่อาจบอกกล่าวถึงชื่อ ทว่าข้าก็พอจะบอกเจ้าได้ว่า ข้าได้พบเจอกับการถือกำเนิดและแตกดับลงของโลกมากมาย ตัวข้านั้นครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล แม้ว่านั่นจะผ่านมากว่าพันล้านปีแล้ว ทว่าหากเอ่ยชื่อของข้า กลับเพียงพอที่จะสามารถสั่นคลอนโลกทั้งสิบได้”

 “แล้วท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานถาม

 เสียงนั้นเงียบไปสักพักแล้วเริ่มเอ่ยงึมงำ “เพราะบางสิ่งบางอย่าง ทว่าหากแม้กระทั่งข้าก็ยังไม่อาจต้านทานบางสิ่งบางอย่างนั้นได้ ก็ย่อมที่จะไม่มีใครสามารถต้านทานมันได้เช่นกัน ฉะนั้นเวลานี้จึงยังไม่สมควรจะกล่าวถึง”

 “เช่นนั้นขอเปลี่ยนคำถาม เป็นท่านใช่หรือไม่ที่พาข้ามายังที่นี่” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

 “ถูกต้อง” เสียงเอ่ยรับ “เรื่องนี้เจ้าไม่สมควรจะตำหนิข้า ก็ข้าไม่ได้พบเจอสิ่งมีชีวิตมายาวนานกว่าสองร้อยล้านปีมาแล้ว...เจ้าทราบหรือไม่เล่าว่ามันรู้สึกเช่นไร”

 กู่ฉิงซาน “แต่ตอนนี้ข้าก็ได้มาปรากฏตัวขึ้นแล้ว สิ่งใดกันที่ท่านต้องการ?”

 เสียงเอ่ย “เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด มิฉะนั้นคงมิอาจผ่านกรงในที่แห่งนี้เข้ามาได้ ทว่าเจ้ากลับก้าวเข้ามาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ”

 “เวลากำลังจะหมดลงแล้ว ข้าจำต้องกล่าวกระชับเพียงสั้นๆ” เสียงเอ่ยต่อเนื่อง “ข้าต้องการที่จะหารือเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนระหว่างข้ากับเจ้า เมื่อวันใดวันหนึ่งที่เจ้าน่าเกรงขามมากพอ ขอจงช่วยข้าออกไปจากที่นี่”

 กู่ฉิงซานลอบประเมินฝ่ายตรงข้ามได้ว่า หากอีกฝ่ายสามารถขยับได้แม้เพียงกระดิกนิ้ว เขาก็คงไม่อาจต่อต้านและต้องทิ้งจิตของตนเอาไว้ที่นี่เป็นแน่

 ถึงแม้ว่าเขาจะถูกนำตัวมาที่นี่แค่เพียงจิตเทวะก็ตามที แต่ก็ไม่อยากจะทำให้สิ่งต่างๆ กลายเป็นเรื่องยุ่งยากเกี่ยวกับตนเอง มันก็คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเออออแลกเปลี่ยนไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ

 กู่ฉิงซานจงใจถามออกมา “แล้วให้ข้าช่วยตอนนี้เลยมิได้หรือ?”

 น้ำเสียงของอีกฝ่ายพลันเปล่งออกมาด้วยความสุข “มันยังเร็วเกินไป ยามนี้เจ้ายังคงอ่อนแอเกินกว่าที่จะช่วยเหลือข้า แต่ข้าก็มิมีทางอื่นใดนอกจากฝากความหวังไว้บนบ่าของเจ้า”

 “แล้วสิ่งใดที่ข้าจะได้รับตอบแทน?” กู่ฉิงซานถาม

 “แล้วอะไรที่เจ้าต้องการเล่า?” เสียงกล่าว

 “จากที่รับฟังเมื่อครู่ ท่านเอ่ยออกมาว่าได้เฝ้าดูการก่อเกิดและแตกดับลงของโลกจำนวนมาก แต่ข้ายังมีสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน”

 “สิ่งอันใด”

 “ทำไม...” กู่ฉิงซานจัดเรียงความคิด “ทำไมโลกของข้าจึงเกิดภัยพิบัติหลายอย่างขึ้นพร้อมๆกัน?” ทำไมกัน?

 เสียงดังกล่าวคอยรับฟัง ก่อนจะเอ่ยพึมพำ “เกิดภัยพิบัติขึ้นพร้อมกัน? สถานการณ์เช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง มิน่าเล่าพวกเผ่ามารถึงได้...”

 “สิ่งสำคัญที่พอจะทราบถึงสาเหตุทั้งหมดและผลกระทบที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ พวกมารได้รับความเดือดร้อนและพ่ายแพ้จากในสถานที่อื่นๆ”

 “เผ่ามารมักจะรังแกพวกอ่อนแอและหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง เหมือนดั่งเช่นเวลาเราเลือกลูกพลับ ก็จะเลือกกินอันที่มันอ่อนนุ่มก่อน”

 ประสบความเดือดร้อนและพ่ายแพ้ในสถานที่อื่นๆ อย่างนั้นหรือ

 เลือกกินลูกพลับที่อ่อนนุ่มที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก!?

 สองประโยคเหล่านี้เปรียบดั่งเสียงของสายฟ้าฟาด แม้จะฟังดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทว่ามันกลับได้สลายหมอกควันที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของเขา เผยให้เห็นถึงความลับ ความจริงบางอย่างของวันสิ้นโลก

 การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและกะทันหันในโลกจริงของกู่ฉิงซาน คำตอบของมันกะพริบผ่านก้นบึ้งในหัวใจของเขาอย่างรวดเร็ว

 กู่ฉิงซานสามารถตระหนักได้อย่างชัดเจน

 ประเดี๋ยวก่อน บางทีหากคิดดูดีๆ แล้วมันก็สมควรจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

 เนื่องเพราะการปรากฏตัวขึ้นโดยบังเอิญของฉัน ทำให้กงซุนซีและหนิงเยว่ฉานยังคงมีชีวิตอยู่ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้โลกเทวะถูกตีแผ่ออกไปยังผู้คนทั้งหมดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

 เนื่องเพราะเขาได้นางเซียนไป่ฮั่วเป็นอาจารย์ ดังนั้นเธอจึงออกหน้าลงมือเป็นการส่วนตัว ฆ่าสังหารมารนักปราชญ์ในแนวหน้าทั้งสี่ และยังรวมไปถึงสายลับคนทรยศของมนุษยชาติอีกด้วย

 นั่นจึงเป็นเหตุให้มนุษยชาติในโลกใบนี้สามารถตระหนักถึงเรื่องราวต่างๆ ได้ล่วงหน้า พวกเขาตื่นตัวและเริ่มเกาะกลุ่มกัน เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเป็นเช่นเดียวกันกับการดำรงอยู่ของโลกเทวะ เริ่มต้นร่วมมือกันอย่างเต็มกำลัง

 เผ่ามารที่ได้รับความเดือดร้อนจากความพ่ายแพ้นี้ จึงมุ่งเน้นพยายามที่จะแทรกซึมเข้าสู่โลกใบอื่นที่อ่อนแอยิ่งกว่า...และนั่นก็หมายถึงโลกจริง!

 ดังนั้น วันสิ้นโลกในโลกของกู่ฉิงซานจึงคืบคลานใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง

 ในชีวิตก่อนหน้า ผู้ฝึกยุทธในโลกแห่งนี้ที่ได้ตกตายลงในสนามรบนั้นมีมากมายเกินไป โลกจริงจึงกลายเป็นขุมกำลังใหม่ที่คอยเกื้อหนุนโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ จวบจนกระทั่งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธถูกทำลายลง โลกจริงจึงเริ่มค่อยๆ ถูกแทรกแซง และเข้ายึดครองโดยเผ่ามาร

 ทุกสิ่งอย่างนี้ เป็นผลมาจากการที่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธเกิดการเปลี่ยนแปลง โลกจริงจึงกลายเป็นเป้าหมายหลักที่เผ่ามารใช้มุ่งโจมตีแทน

 โชคชะตาของทั้งสองโลกพลันกลับหัวกลับหาง ชะตากรรมสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกัน นี่มันช่างเป็นพล็อตเรื่องอันยากจะเอ่ยพรรณนา

 กู่ฉิงซานรีบเอ่ยถาม “แล้วมีวิธีใดบ้างที่จะสามารถหยุดเผ่ามารลงได้?”

 เสียงกล่าว “ย่อมแน่นอนว่ามี ตราบใดที่ธาตุทั้งห้าของทั้งสองโลก” 

 เสียงพลันหยุดลงอย่างกะทันหัน 

“อะไร? ที่กล่าวว่าธาตุทั้งห้านั่น หมายถึงให้ใช้ธาตุทั้งห้าทำอะไร?” กู่ฉิงซานตะโกนลั่น

 เห็นเพียงแค่เบื้องบนของเสาทองแดงขนาดยักษ์ ปรากฏสายฟ้าคะนอง

 ทันใดนั้นเสายักษ์ทั้งหมดก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้า

 ตูม!

 กู่ฉิงซานที่กำลังเฝ้ามองฉากนี้ ในหัวใจของเขาตื่นตระหนกจนแทบจะไม่อาจอธิบายได้

 นี่มันมิใช่เป็นเพียงสายฟ้าธรรมดา หากแต่พลังของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ตั้งไม่รู้กี่เท่า!

 มันเป็นพลังที่รุนแรงมากพอจะทำลายล้างโลก เป็นพลังที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถต้านทานได้!

 ร่างดังกล่าวที่ถูกติดตรึงยังคงนิ่งสงบไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว ทว่าเขามิอาจเปล่งเสียงออกมาได้อีกต่อไป และทำได้เพียงปล่อยให้สายฟ้าเข้าปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย

 กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นได้ว่าเลือดสีดำหยดย้อยลงจากมุมปากของเขา ทว่ามันก็สลายหายไปในชั่วพริบตาแทบจะในทันที

 โครงกระดูกดำบนพื้นดินถูกทำลายล้างโดยสายฟ้าฟาด แตกกระจัดกระจายทั่วทั้งบริเวณก็กลายเป็นทะเลดำที่ถูกปกคลุมไปด้วยชิ้นส่วนกระดูก

 ทันใดนั้น จู่ๆ กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าพลังที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาได้จางหายไป

 พลังงานอันมหาศาล กระชากกู่ฉิงซานออกจากโลกใบนี้อย่างกะทันหัน และมุ่งตรงบินกลับไปยังทิศทางเดิมอย่างรวดเร็ว

 เกือบจะในวินาทีต่อมา เมื่อวิสัยทัศน์กลับคืน กู่ฉิงซานก็พบว่าตนกลับมาอยู่ในเตาหลอมแล้ว

 ปากของเขาเผยออ้าออกคายพลังงานวิญญาณออกมาทางลมหายใจ

 พลังงานวิญญาณม้วนจับตัวกันเป็นก้อนกลางอากาศ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นสัญลักษณ์ของพลังวิญญาณธรรมชาติ

 ลวดลายสัญลักษณ์ของพลังวิญญาณ แปรเปลี่ยนไปบ่งบอกถึงการเข้าสู่ขอบเขตก่อตั้ง

 ในเวลาเดียวกัน วงแหวนในหน้าต่างระบบเทพสงครามก็เริ่มเปล่งประกายแสงทวีความรุนแรงมากขึ้น

 ปรากฏเส้นแสงตัวอักษรขนาดใหญ่ขึ้นสองบรรทัด

 “ค้นพบว่าผู้เล่นได้ทะลวงฝ่าขอบเขต ก้าวขึ้นสู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อตั้ง”

 “เริ่มต้นการปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์”

 “ตรวจพบว่า ภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพสงคราม เสร็จสมบูรณ์ลงแล้ว”

 “ตรวจพบว่า การประเมินความสมบูรณ์ในการปฏิบัติภารกิจอยู่ในระดับ เอส”

 “เริ่มมอบหมายรางวัล ทำการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์”

 ทุกสิ่งอย่างกระแทกกระทั้นเข้ามาราวกระแสน้ำจากเขื่อนแตก ทำให้กู่ฉิงซานไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะคิดเกี่ยวกับมันเลย

 ........................................