ตอนที่ 101 การประชุม
เมื่อยามเที่ยงวันมาถึง ทุกอย่างก็ได้ถูกเตรียมการเอาได้โดยพร้อมเพรียงแล้ว
ห่านขาวถือแผ่นหยกและวางมันลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
นี่คือหนึ่งในวิธีการที่จะสามารถปกป้องจิตเทวะของเจ้าได้แม้ว่าจะทำการทะลวงขอบเขตใหญ่ล้มเหลว จงทำความเข้าใจมันอย่างถี่ถ้วน เพื่อที่จะได้เริ่มทะลวงมันเสียที
ห่านขาวกล่าวแนะนำอย่างจริงจัง
“ตกลง ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่”
กู่ฉิงซานหยิบแผ่นหยกและกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป
“ร้อยบัญญัติสู่ประทับเทพ”
กู่ฉิงซานอ่านมันทั้งหมดในลมหายใจเดียว
เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน และหลังจากที่ดูเนื้อหาภายในแผ่นหยก เขากลับพบว่าบางส่วนของมันได้ถูกลบออกไปแล้ว และถูกเขียนขึ้นใหม่อีกครั้งด้วยจิตสัมผัสเทวะ
ดูจากการปรับเปลี่ยนและแก้ไขจากภายในแผ่นหยก และสีที่กว่าครึ่งยังดูไม่สมบูรณ์เนื่องจากไอความร้อน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นแผ่นหยกที่พึ่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างใหม่เอี่ยม
ส่วนชื่อที่ดูทรงพลังเช่นนี้ของมัน เกรงว่าคงไม่พ้นจะเป็นความคิดของนางเซียนไป่ฮั่ว
บางทีเนื้อหาทั้งหมดนี้คงเป็นสิ่งที่เธอพึ่งคิดค้นขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามเนื้อหาส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความก้าวหน้าในการทะลวงขอบเขตของผู้ฝึกดาบ และยังรวมไปถึงวิธีการฝึกฝนเทคนิคปราณปรับแต่งทางทหารตั้งแต่ต้นจนจบ แถมยังระบุวิธีปรับปรุงและขยายความจุของพลังงานวิญญาณอีกด้วย
นี่คือเทคนิคลับที่ใช้ในการฝึกฝน ที่นางเซียนไป่ฮั่วจัดทำขึ้นเพื่อกู่ฉิงซานเป็นการส่วนตัว
ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าไปในจิตใจของเขา ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
จะมีสักกี่คนกันบนโลกใบนี้กัน ที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากนักปราชญ์
“จ่ายสิบแต้มพลังวิญญาณเพื่อเรียนรู้ร้อยบัญญัติสู่ประทับเทพ”
เขามองไปยังแผ่นหยก และเลือกที่จะจ่ายสิบแต้มพลังวิญญาณเพื่อเรียนรู้ทำความเข้าใจเนื้อหา
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานกลับไม่อาจลุกยืนขึ้นได้ในทันที เนื่องเพราะในโลกใบนี้ ไม่มีเทคนิควรยุทธอันใดหรือคนใดจะสามารถทำความเข้าใจกับมันได้อย่างถ่องแท้ได้ในทันที
เขาจำเป็นต้องแสร้งถือแผ่นหยก นั่งลงบนฟูก หลับตาลง และเริ่มทำทีเป็นตรึกตรองอย่างหนักหนา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจำเป็นต้องใช้เตาหลอมเม็ดยาขนาดใหญ่ที่มีอายุอย่างน้อยสองร้อยปีขึ้นไป” ฉินเซี่ยวโหลวเข้าสู่โหมดจริงจังในที่สุด
“ต้องการใหญ่แค่ไหน?” ห่านขาวถาม
“เอ่อ อย่างน้อยก็ซักประมาณเทียบเท่ากับความสูงของคนหนึ่งคน” ฉินเซี่ยวโหลวขบคิดและกล่าว
“ตกลง ข้าจะไปตามหามันจากคลังเก็บของ” ห่านขาวบินจากไป
“ศิษย์พี่สอง แล้วข้าเล่า ข้าสามารถช่วยอะไรได้บ้าง?” ซิวซิวกระโดดมาเบื้องหน้าเขาและเอ่ยถาม
“ซิวซิว เจ้าจงไปยังสวนหน้าที่พำนักของอาจารย์และเลือกหยิบน้ำตามังกรมา” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว
“ตกลง!” ซิวซิว เดินกระโดดออกไปพร้อมกับฮัมเพลง
ฉินเซี่ยวโหลว ยกมือขึ้นและเริ่มจีบคาดคำนวณอย่างรวดเร็ว
เขาเอียงคอเล็กน้อยและเอ่ยงึมงำกับตนเอง “ตอนนี้คือเวลาเที่ยงสี่สิบห้านาที เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทะลวงด่าน ทว่าเวลานี้โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นช่วงเวลาที่ใช้ประหารหัวคน ศิษย์น้องอาจจะไม่สบายใจ ฉะนั้นลองคำนวณอีกรอบ...”
ฉินเซี่ยวโหลวกำลังใช้เทคนิคทำนายดวงชะตาคาดคำนวณ และในเวลานั้นเองเสียงดังปัง! ก็กังวานไปทั่วทั้งวังร้อยบุปผา
คนรับใช้สามคนนำเตาหลอมเม็ดยาขนาดใหญ่มาวางลงบนห้องโถง สองขาของพวกเขาส่ายไปมาไม่หยุด
ห่านขาวโฉบเกาะลงเหนือเตาหลอม และสำรวจมันรอบๆ
“อืม...มันไม่ได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ดูเหมือนว่านี่จะไม่นับว่าเป็นปัญหาใดๆ” ห่านขาวกล่าวด้วยความพึงพอใจ
ฉินเซี่ยวโหลวทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งใด ในปากยังคงเอ่ยงึมงำ “ทำนายชะตาหมายเลขเก้าสิบสามสุภาพบุรุษจะพึงฟันฝ่าอย่างไม่หยุดยั้งตลอดทั้งวี่วัน ตกเย็นจงพึงระวัง หากผ่านพ้นก็ไม่นับว่ามีอันใดให้ผิดพลาดอีก เอาล่ะ ตัดสินใจได้แล้ว”
จากนั้นเขาก็หยิบดิสก์ค่ายกลออกมาและเริ่มต้นจัดแจงค่ายกลรอบๆ เตาหลอมเม็ดยา
“ลม ไฟ สายฟ้า น้ำ สวรรค์และโลก...รวบรวมวิญญาณ!”
“ไม้ น้ำ จงชำระล้างให้บริสุทธิ์ ยกระดับวิญญาณ!”
เขาจัดเรียงค่ายกลนี้ ก็ผลัดเปลี่ยนไปจัดเรียงค่ายกลอื่นต่อ ก่อนจะพักสักเล็กน้อยเพื่อเช็ดเหงื่อไคล และหันไปทางห่านขาวพร้อมเอ่ยออกมา “เจ้าช่วยข้าสักหน่อย ไปยังคลังเก็บของแล้วช่วยค้นหาวัตถุดิบไฟหลอมทั้งเก้านำมายังที่นี่”
“ข้าจะไปนำมันมาในทันที” ห่านขาวตอบรับอย่างว่าง่ายเกินคาด และโผบินออกไป
ซิวซิววิ่งสวนกลับเข้ามาพร้อมกับดอกไม้ช่อหนึ่ง เธอหอบหายใจและกล่าว “ศิษย์พี่สอง ข้านำมันมาแล้ว”
ฉินเซี่ยวโหลวมองไปยังปริมาณมากมายของมันและเอ่ย “ข้าให้เจ้าเลือกมาเพียงหนึ่ง ไม่ใช่ถือได้เท่าไหร่ก็นำมันมา”
“ก็ข้าเกรงว่ามันจะไม่เพียงพอต่อศิษย์พี่สามนี่นา” ซิวซิวเอ่ยอย่างเขินอาย ขณะเดียวกันใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เอาเถอะ หากท่านอาจารย์กลับมาแล้วกล่าวตำหนิ เจ้าก็บอกไปว่าข้าเป็นคนหยิบมันมาเองก็แล้วกัน” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว
“มันเลอค่ามากเลยกระนั้นหรือ?”
“เปล่าหรอกซิวซิว เพียงแค่ท่านอาจารย์เป็นคนที่ค่อนข้างตระหนี่ถี่เหนียวน่ะ”
ห่านขาวที่กำลังบินออกไป หรี่ตาลงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว
...
กู่ฉิงซานแกล้งทำท่าทีเป็นกำลังนั่งสมาธิ ทว่าหูของเขากลับเบนความสนใจไปกับเสียงและทุกๆ การเคลื่อนไหวในห้องโถงอย่างเงียบๆ และฉากการกระทำของผู้คนเหล่านี้ก็ได้ติดตรึงอยู่ในจิตใจของเขาอย่างลึกซึ้ง
ในชีวิตก่อนหน้า ไม่เคยมีใครจะเป็นกังวลเกี่ยวกับเขามากมายถึงขนาดนี้เลย
ในช่วงเวลานั้น ที่เขาทะลวงเข้าสู่ระดับก่อตั้ง เขาเกือบจะถูกกัดกินจิตวิญญาณจนแทบตกตายโดยมารสวรรค์ อาจกล่าวได้ว่ารอดมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
หลังจากผ่านพ้นไปได้หนึ่งชั่วยาม
กู่ฉิงซานก็เงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสาม พร้อมทั้งเตาหลอมเม็ดยาขนาดใหญ่ ด้วยคำพูดที่จุกแน่นอยู่ในลำคอ
“ศิษย์พี่สอง ท่านไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้…”
“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าภายในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ติดตั้งไว้ด้วยค่ายกลปกปัก ส่วนข้าและศิษย์พี่ใหญ่ก็จะทำหน้าที่เป็น ธรรมพิทักษ์ ทั้งซ้ายและขวา และเหนือสิ่งอื่นใดคือเตาหลอมนี้มีมีอายุกว่าสองร้อยปี สรรพคุณของมันจึงย่อมไม่ธรรมดา เจ้าจงวางใจลงไปในเตาหลอม รับรองว่ามารสวรรค์จะไม่อาจทำอะไรเจ้าได้” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวพลางจดจ้อง
กู่ฉิงซานเผยยิ้มออกมาและกล่าว “เช่นนั้นจะเริ่มต้นกันเมื่อใด?”
“รออีกครึ่งชั่วยาม ช่วงเวลานั้นคือนิมิตหมายจากเทคนิคทำนายชะตาที่ดีที่สุดของวัน”
สามคนหนึ่งห่านเฝ้ารอเวลาอีกครึ่งชั่วยาม
กู่ฉิงซานเดินตรงไปยังเตาหลอม ทว่ากับรู้สึกได้ว่าแขนเสื้อถูกกระตุก
เขาก้มลงมองและพบกับซิวซิว
“ศิษย์พี่สามสู้เขานะ” ซิวซิวเงยหน้าขึ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“มั่นใจได้เลย” กู่ฉิงซานสัมผัสลงบนหัวของเธอ
เขากระโจนเข้าไปในเตาหลอม
“งั้นเริ่มล่ะนะ”
ฉินเซี่ยวโหลวคว้าจับดิสก์ค่ายกล มือทั้งสองวูบไหวไม่หยุดยั้ง และเปิดใช้งานค่ายกลถึงเจ็ดสิบค่าย
ร่างเขาโซเซเล็กน้อย ก่อนจะหอบหายใจอีกครั้ง พักเพียงครู่จึงเริ่มใช้ออกด้วยศาสตร์ลับ และวางรูนป้องกันรอบๆ เตาหลอมอย่างเงียบๆ
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดนี้ ฉินเซี่ยวโหลว ก็เดินไปทางซ้ายของเตาหลอม
“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?” ห่านขาวเอ่ยถาม
“ข้าจะปกปักทางซ้าย เจ้าไปก็ปกปักทางขวา นี่จึงจะนับว่าเป็นการป้องกันไม่ให้มารสวรรค์ฉกฉวยผลประโยชน์จากสถานที่ในตอนนี้” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว
“เจ้ามิจำเป็นต้องทำเช่นนั้น”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะเจ้าทำดีมามากพอแล้วในวันนี้” ห่านขาวมองเขาและกล่าวด้วยความพึงใจ “ส่วนที่เหลือ ไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
“เหอะ! วันนี้เจ้าดูจะใจดีเป็นพิเศษนะ”
ฉินเซียวโหลวถอยฉากออกไปหลายฝีเท้า ก่อนจะนั่งลงบนพื้น หลับตาลงและเริ่มควบคุมลมหายใจ
ส่วนห่านขาวก็กำลังยืนนิ่งอยู่ใจกลางห้องโถง คอยเฝ้าปกปักเตาหลอมอย่างเงียบๆ
ณ แนวหน้า
ย้อนกลับมาในช่วงเช้า ไตรภาคีกล่าวหารือกันเป็นระยะเวลานาน แต่ก็ยังไม่ได้คุยอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เดิมทีพวกเขาคิดว่าการประชุมหารือจะเสร็จสิ้นลงในยามเที่ยง ทว่าเวลานี้ก็ข้ามเลยมาช่วงบ่ายคล้อยแล้ว
ผู้ฝึกยุทธมากมายเอ่ยถามไปหลายครั้งแล้ว ทว่านางเซียนกลับไม่ยอมเอ่ยคำใดออกมาเลย
“ท่านนักปราชญ์ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีนะวันนี้ว่าไหม?” นายพลเอ่ยถามกระซิบ
ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเอ่ยตอบ
แม้ในฉากนี้จะท่วมท้นไปด้วยผู้ฝึกยุทธระดับสูงมากมาย ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเอ่ยติเตียนนางออกมา
“ไม่หรอก นางเพียงแค่ไม่มีกะจิตกะใจที่จะประชุมหารือ มิใช่อารมณ์ไม่ดี” เสียงเสียงหนึ่งเอ่ยดังขึ้น
เจ้าของเสียงเป็นชายที่มีใบหน้าสีแดงสวมชุดนักบวชเต๋าสีฟ้า เขานั่งอยู่บนหนึ่งในสามที่นั่งกิตติมศักดิ์ ก่อนจะหันไปหานักพรตชราที่อยู่ข้างๆ และเอ่ยกล่าวต่อ “ท่านนักพรต คิดเห็นเช่นไร?”
“อามิตตาพุทธ” นักพรตชรายิ้มอย่างอ่อนโยนและเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งราวกับสายน้ำ “ในสายตาของอาตมา นางเซียนดูจะมีสิ่งสำคัญบางอย่างที่ต้องจัดการอย่างแน่แท้ พวกเรารอกันก่อนเถิด”
ในโลกใบนี้ ผู้ที่สามารถทำให้ชายชราเอ่ยปากบอกให้เฝ้ารอได้ นอกเหนือไปจากนักบวชเต๋าที่มีใบหน้าสีแดงก่ำ ก็คงจะมีเพียงนางเซียนไป่ฮั่วเท่านั้น
“นั่นสินะ ข้าก็เห็นด้วย ดูเหมือนว่านางจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จำเป็นต้องเร่งทำภายในวันนี้จริงๆ”
“บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของมนุษยชาติ ในขณะนี้ พวกเราทุกคนต้องรู้นะว่า เรื่องราวที่ทำให้เกิดการประชุมในครั้งนี้ขึ้นได้ นั่นก็เป็นเพราะนางเซียนไป่ฮั่วเป็นคนค้นพบ”
ผู้ฝึกยุทธมากมายต่างเผยให้เห็นถึงความตระหนักรู้ออกมาโดยพร้อมเพรียง
สมควรเป็นเช่นนั้น หากนางเซียนไม่ปรากฏขึ้น การหารือแผนวางอันสั่นสะเทือนสวรรค์นี้ก็คงไม่มีทางเกิดขึ้น ดังนั้นหากในช่วงวิกฤตเช่นนี้เธอยังคงเงียบ นั่นหมายความว่ามีเรื่องสำคัญยิ่งกว่าที่เธอจำต้องให้ความสนใจ
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในหัวใจของผู้คนก็ต่างพากันยกย่องเธอจนไม่รู้จะเอ่ยกล่าวอธิบายออกมาเช่นไร
กล่าวกันว่านางเซียนไป่ฮั่วนั้นไม่เคยที่จะสนใจปัญหาใดๆ ทว่าเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เธอกลับเป็นคนวิ่งเต้นด้วยตัวเองทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นบุกไปยังอาณาเขตเผ่ามารในแนวหน้า ทำการช่วยเหลือหนิงเยว่ฉานและกงซุนซี ฆ่าสังหารสี่มารนักปราชญ์ และมีหนึ่งในนั้นยอมจำนน แถมยังเป็นคนค้นพบจ้าวกระบี่ สายลับคนทรยศอีกด้วย
ด้วยเรื่องดังกล่าวนี้ ในโลกทั้งใบจะมีสักกี่คนกันเชียวเล่าที่กระทำได้!?
คิดได้ดังนี้ นักบวชหน้าแดงก็ถอนหายใจออกมาและบ่นอุบกับตนเองในจิตใจว่าตนคงด้อยกว่านางเสียแล้ว
เขาตบแขนลงบนคานที่นั่งและกล่าว “งั้นก็รอแล้วกัน!”
ด้วยเหตุนี้ มนุษยชาติระดับสูงทั้งหมดที่มารวมตัวกัน จึงได้แต่เฝ้ารอนางอย่างอดทนในเต็นท์ทหาร…
ภายในเตาหลอม กู่ฉิงซานเริ่มขับเคลื่อนเทคนิคลับที่นางเซียนไป่ฮั่วมอบให้อย่างสงบ เพื่อเริ่มต้นทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อตั้ง
ทุกสิ่งอย่างเป็นไปด้วยดี พลังวิญญาณก็อิ่มตัว สติอารมณ์ก็สมดุลอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด
ภายในเตาหลอมอันมืดมิด ปรากฏแสงเรืองรองสลัวๆ อันน่าอัศจรรย์ขึ้น
แสงเรืองรองอันน่าอัศจรรย์นี้ ค่อยๆ เปล่งประกายขึ้นจากเบื้องหลังของกู่ฉิงซาน ยามแรกมันแลดูคล้ายหมอกสักพักก็ค่อยจับตัวกันแน่นจนกลายเป็นน้ำค้างแข็ง
ยิ่งเวลาผ่านไป รัศมีแสงก็ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น เรืองรองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ยามเมื่อรัศมีแสงเรืองรองทั้งหมดเปลี่ยนไปกลายเป็นน้ำค้างแข็ง น้ำค้างแข็งก็สาดแสงรังสีแสงสีขาวน้ำนมออกมา ทั่วทั้งเตาหลอมขณะนี้เจิดจ้าไปด้วยแสงสีขาวนวล
ตามด้วยปรากฏจันทร์เต็มดวงแขวนเด่นอยู่เหนือศีรษะเบื้องหลังของกู่ฉิงซาน
นี่คือรังสีแสงแห่งจิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวแทนบ่งบอกว่าผู้ฝึกยุทธได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตใหม่อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว!
........................................