บทที่ 12 ต้องหาเงินก้อนใหญ่
ไฟแรงเกินไป เนื้อไหม้เกรียมเสียแล้ว
“อร่อยไหม” อวี๋หวั่นเอ่ยถามเถี่ยตั้นน้อย
เถี่ยตั้นน้อยตักเนื้อหมูสามชั้นและต้นกระเทียมที่กำลังเดือดปุดๆ เข้าปาก เขากล่าวจากใจจริงว่า “อร่อย! อาหารที่ท่านพี่ทำนั้นอร่อยที่สุด!”
อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?
อวี๋หวั่นหัวเราะเบาๆ แล้วคีบหมูสามชั้นแผ่นหนึ่งเข้าปาก
อื้อหือ...หากไม่ลืมใส่เกลือก็คงอร่อยกว่านี้
วันนี้มีทั้งฟืนทั้งน้ำ อวี๋หวั่นต้มน้ำหม้อใหญ่ให้เถี่ยตั้นน้อยแช่อย่างสำราญใจ
หลังจากแช่เสร็จ เถี่ยตั้น[footnoteRef:1]น้อยก็กลายร่างเป็นไป๋ตั้น[footnoteRef:2]น้อยแล้ว [1: เถี่ยตั้น หรือ ‘ไข่เหล็ก’ อาหารชนิดหนึ่ง ทำจากไข่นำไปต้มกับเครื่องเทศและเครื่องปรุงรสจนเป็นสีดำ ] [2: ไป๋ตั้น หมายถึงไข่สีขาว]
เถี่ยตั้นน้อยเปลี่ยนเป็นสวมรองเท้าที่อวี๋หวั่นซื้อให้ใหม่ เขาตื่นเต้นจนวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในบ้าน ไม่ยอมหวีผมให้เรียบร้อยเสียแล้ว
“ท่านพี่! รองเท้าคู่นี้อุ่นเหลือเกิน!”
“นุ่มจริงๆ!”
“นุ่มมากๆ เลย!”
เขาสวมเพียงเสื้อตัวในบางๆ แต่กลับวิ่งอย่างร่าเริงจนเหงื่อซ่ก
การอาบน้ำในครั้งนี้ จะเรียกว่าการฟอกขาวก็ย่อมได้
อวี๋หวั่นเรียกเขาให้กลับมา จับเขานั่งลงและลงมือหวีผมให้
แท้จริงแล้วเจ้าเด็กคนนี้ มิได้รู้จักความเดือดเนื้อร้อนใจ ขอเพียงมีเนื้อให้กิน มีรองเท้าให้ใส่ มีท่านพี่คอยเป็นห่วงในตอนที่ท่านแม่ไม่ได้สตินั้น ก็นับว่าสงบสุขเป็นที่สุด
“ท่านพี่ ท่านเป็นคนดีเหลือเกิน” ศีรษะน้อยๆ ของเขาพิงอยู่กับหัวไหล่ของอวี๋หวั่น ภายใต้ลมหายใจของพี่สาว เขาผล็อยหลับไปอย่างสบายอุรา
อวี๋หวั่นดึงแก้มแดงๆ ของเถี่ยตั้นน้อย เธออุ้มเขาไปไว้ใต้ผ้าห่ม จัดแจงให้นอนในท่าที่สบาย
สองวันถัดมาไม่มีตลาด หากจะนำปลาและหน่อไม้ไปขาย ก็จำต้องไปตลาดที่ใหญ่กว่านั้น
อวี๋เฟิงมารออวี๋หวั่นแต่เช้า
เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าไม่มีทางหาเงินมาคืนได้ทัน เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องมาทำเรื่องไร้สาระกับเธอด้วย
อวี๋หวั่นให้เถี่ยตั้นน้อยอยู่บ้าน ส่วนตนออกไปกับอวี๋เฟิง
สองพี่น้องมิได้ไปไหนมาไหนด้วยกันมาหลายปีเห็นจะได้ ถ้าหากชาวบ้านตื่นมาเห็นพวกเขาสองเช่นนี้...ไม่สิ เมื่อวานชาวบ้านก็เห็นแล้วมิใช่หรือ
คนเหล่านั้นวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาว่าอย่างไรบ้างนะ อาจกล่าวว่าพี่ชายน้องสาวสกุลอวี๋แตกคอกัน และอยู่ๆ ก็กลับมาคืนดีกันเสียแล้ว?
คิดเพียงเท่านี้ จิตใต้สำนึกของอวี๋เฟิงบอกเขาว่าควรเว้นระยะห่างจากอวี๋หวั่นสักหน่อย
สีหน้าของอวี๋หวั่นยังคงสงบนิ่ง ราวกับว่ามิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของอวี๋เฟิง
อวี๋เฟิงจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า ไม่ว่าตนจะหมางเมินเธอเพียงใด เธอก็ยังคงเยือกเย็นอยู่เสมอ
เธอมิได้สังเกต หรือมิได้ใส่ใจเลยกันแน่?
“พี่ใหญ่” อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้น เมื่อพวกเขาเข้าไปในตำบลเหลียนฮวา “ภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในตำบลคือหอหยกขาวใช่หรือไม่”
อวี๋เฟิงตอบว่า “ถูกต้องแล้ว เจ้าถามทำไมหรือ เจ้าคงไม่ได้กำลังคิดว่าจะนำวัตถุดิบเหล่านี้ไปขายพวกเขาใช่ไหม อย่าโกรธที่ข้าเตือนเจ้าเลย เป็นไปไม่ได้หรอก วัตถุดิบของเจ้าแม้จะดี ทว่าหอหยกขาวไม่ใช่ภัตตาคารธรรมดา แขกที่พวกเขารับรองก็ไม่ใช่คนทั่วไป พวกเขาให้ความสำคัญกับคุณภาพ ลูกค้ากินแล้วไม่มีปัญหา วัตถุดิบที่ไม่มีที่มาที่ไปเช่นนี้ อย่าหวังจะได้นำไปขายในร้านของพวกเขา”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าอวี๋เฟิงนึกถึงสิ่งใด ความผิดหวังปรากฏให้เห็นบนใบหน้า
“เช่นนั้น ภัตตาคารที่ใหญ่เป็นลำดับที่สองเล่า?” อวี่หวั่นถามต่อ
“เจ้าหมายถึงหอมรกต? เจ้ากำลังคิดอะไรที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว” แม้ว่าหอมรกตจะเป็นร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่ถึงครึ่งปี แต่ทว่าทางร้านได้ขอยืมตัวพ่อครัวคนหนึ่งมาจากวังหลวง ช่วงชิงลูกค้าจากหอหยกขาวมาได้เป็นจำนวนมาก ไม่นานมานี้ถึงกับแซงหน้าหอหยกขาวจนได้
อาหารของหอมรกตนั้นเหนือชั้นกว่าอาหารของหอหยกขาวถึงสามส่วน ไม่ต้องเอ่ยถึงเธอที่เพียงขุดหน่อไม้หรือตกปลาจี้อวี๋ ต่อให้จับเสือหรือหมีมาได้แล้วอย่างไร หอมรกตนั้นร่ำรวย จะถึงกับไม่มีวัตถุดิบเช่นนี้เลยหรือ?
“เป็นเช่นนี้เอง” อวี๋หวั่นพึมพำราวกับกำลังใช้ความคิด
“เจ้าพูดว่าอะไร” อวี๋เฟิงได้ยินไม่ชัดเจน
อวี๋หวั่นหัวเราะพลางส่ายหน้า “ไม่มีอะไร พี่ชายมั่นใจว่าข้าจะขายของไม่ได้ใช่ไหม”
อวี๋เฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากไม่เชื่อ เจ้าก็ลองดู”
“วันนี้คงไม่ไหว” อวี๋หวั่นตอบ
กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าพรุ่งนี้เจ้าจะลอง?
ระหว่างที่สนทนากัน ทั้งสองก็เดินถึงตลาดที่คึกคักที่สุดในตำบล
ตลาดแห่งนี้ราคาสินค้าสูงกว่าตลาดครั้งก่อน ค่าเช่าแผงก็แพงมากเช่นกัน
“ข้าไม่มีเงินติดตัวเลย” อวี๋หวั่นกล่าว
ทั้งยังไม่สามารถนำสินค้ามาจ่ายแทนค่าเช่าแผงที่นี่ได้
อวี๋เฟิงล้วงถุงเงินออกมาจากอกเสื้อ และนำเงินมาจ่ายเป็นค่าเช่าแผงเล็กๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ตัวตำบลก็คือตัวตำบล ต่อให้สินค้าหายากเพียงใดก็ยังมีขาย กระทั่งหน่อไม้ฤดูหนาวที่ขุดยากแสนยาก อวี๋หวั่นมองไปปราดเดียว ก็เห็นถึงสามร้าน
เห็นที วันนี้คงไม่ราบรื่นเท่าไรนัก
ทันทีที่ความคิดเช่นนี้ผ่านเข้ามาในหัว อวี๋เฟิงก็ได้ยินเสียงเล็กแหลม “ไอหยา อยู่นี่เอง! ข้าเพิ่งพูดไปว่าไม่เห็นเจ้าเสียหลายวัน!”
เป็นสตรีที่มาซื้อสินค้าไปเมื่อวันก่อนนั่นเอง
นางซื้อปลาไปสองตัว ซื้อหน่อไม้ไปสองหน่อ นำกลับบ้านไปตุ๋น ครอบครัวของนางต่างทุกข์ทรมานกับรสชาติอาหารมาสองปีเห็นจะได้ ทว่าคืนก่อนกลับเอ่ยชมว่าน้ำแกงปลาของนางทำได้รสดียิ่ง ถึงกับต้องแย่งกันกิน
ฝีมือการทำอาหารของนางเป็นอย่างไรนางรู้ดี แย่เสียยิ่งกระไร และยังไม่ทีท่าว่าจะดีขึ้นด้วย
แม้แต่เกลือ นางก็มิกล้าใส่มาก แต่น้ำแกงก็ยังรสชาติดี
นางไม่ได้เห็นรอยยิ้มบนโต๊ะอาหารมานานเหลือเกิน
วันนี้นางจึงมาหาซื้อปลาและหน่อไม้อีก
แน่นอนว่านางต้องการซื้อจากร้านเดิม ตามหาอยู่นาน จนนางคิดว่าคงต้องกลับมาตามหาครั้งหน้าเสียแล้ว ทว่าช่างบังเอิญนัก ได้พบกับดรุณีน้อยผู้นี้!
นางกล่าวว่า “ข้าต้องการปลาสองตัว หน่อไม้มากสักหน่อย หน่อไม้ของเจ้าราคาย่อมเยา อีกทั้งหน่อใหญ่ หลังจากนี้เจ้าต้องมาบ่อยๆ ข้าจะมาซื้อร้านเจ้า!”
อวี๋หวั่นถามมาจากอวี๋เฟิง จึงรู้ว่าหน่อไม้ของตนนั้นถูกกว่าราคาตลาดถึงสองเหรียญทองแดง แต่ว่าหน่อไม้ของร้านอื่นนั้นรับซื้อมา หน่อไม้ของเธอ เธอเป็นคนขุดขึ้นมาเอง เมื่อคิดเช่นนี้ เธอควรหาเงินเพิ่มเสียหน่อย
นางแนะนำแผงของอวี๋หวั่นให้กับคนรู้จักอีกสองสามคน ลูกค้ามีมากขึ้น แผงของเธอก็คึกคัก สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเพิ่มด้วย
สินค้ามีมากกว่าเมื่อวานหนึ่งเท่าตัว แต่ใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งของเมื่อวานเท่านั้น ก็ขายหมดเกลี้ยง
ที่กล่าวว่า ‘หน่อไม้ของร้านข้า นำไปผัดก็อร่อย’
‘นำไปตุ๋นกับไก่ เสริมพลังหยินหยาง ทำให้ผิวพรรณดี’
‘นี่เป็นปลาจี้อวี๋จากธรรมชาติ สตรีกำลังให้นมบุตรกินดี นำไปให้ลูกสะใภ้ท่านกิน รับรองว่ามีน้ำนม หลานของท่านก็จะอ้วนจ้ำม่ำ’
อะไรต่อมิอะไร!
อวี๋เฟิงฟังจนหน้าแดงก่ำ
นอกเหนือจากค่าแผงที่ต้องจ่าย วันนี้ได้เงินมาสองตำลึงถ้วน
สามารถหารายได้ของทั้งเดือนมาได้ภายในวันเดียว หากเป็นก่อนหน้านี้ อวี๋เฟิงคงเอ่ยชมนางเป็นการใหญ่ ทว่าเมื่อนึกถึงหนี้ก้อนใหญ่จำนวนยี่สิบตำลึงนี้ อวี๋เฟิงถึงกับกล่าวชมไม่ออก
ช่วงบ่าย อวี๋หวั่นขึ้นเขาไปอีกครั้งหนึ่ง
อวี๋เฟิงเรียกอวี๋ซงตามขึ้นไปด้วย ไม่รู้ว่าพี่น้องคู่นี้ไปถักแหมาจากไหน นำแหไปดักจนได้ปลามาเป็นจำนวนมาก รวมกับหน่อไม้ที่อวี๋หวั่นขุด วันถัดมาจึงได้เงินอีกสองตำลึง
วันที่สาม ก็ได้มาอีกสองตำลึง
พรุ่งนี้เป็นวันนัดหมาย แต่ในตอนนี้พวกเขามีเงินเพียงห้าตำลึง จิตใจของอวี๋เฟิงดำดิ่งสู่หุบเหว
เมื่อปลาตัวสุดท้ายขายหมด กิจการจบสิ้น...พวกเขาหมดหนทางแล้ว…
“ใครบอกว่าจบสิ้นแล้วกัน” อวี๋หวั่นหันไปยิ้มให้ พลางพึมพำว่า “กิจการ เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”
...................................