webnovel

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป... วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม...

เพียนฟางฟาง · History
Not enough ratings
946 Chs

013 ขายไปในราคาที่สูงลิบ

บทที่ 13 ขายไปในราคาที่สูงลิบ

อวี๋เฟิงมิได้คาดคิดว่าอวี๋หวั่นจะพาเขาไปที่หอมรกต

“มาที่นี่ทำไมหรือ” อวี๋เฟิงเดินตัวเกร็งพร้อมเอ่ยถามขึ้น

พวกเขาแต่งตัวมอซอ หิ้วถังไม้และหาบของไว้บนไหล่ เมื่อมาปรากฏกายในภัตตาคารหรูหราเช่นนี้ ย่อมตกเป็นที่ซุบซิบนินทา

อวี๋หวั่นกล่าวในใจว่า นี่สิจึงนับว่าเป็นจิตวิญญาณที่คนอายุสิบแปดสิบเก้าพึงมี อีกทั้งตนเองก็ยังเยาว์วัยนัก มิใช่เด็กชาวนาจริงๆ สักหน่อย

อวี๋หวั่นมองอวี๋เฟิงด้วยสายตาไร้เดียงสาราวกับเด็ก “แน่นอนว่ามากินข้าว”

อวี๋เฟิงถึงกับตกใจ “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เราจะกินข้าว!”

อย่างน้อยก็มิใช่สถานที่ที่พวกเขาจะมากินข้าว

“พวกเราไปกินบะหมี่กัน บะหมี่เนื้อตุ๋น!”

ก่อนหน้านี้ แม้แต่หมั่นโถวหนึ่งลูก เขายังทำใจซื้อไม่ลง บะหมี่เนื้อตุ๋นนี้ สำหรับอวี๋หวั่นก็นับว่าหรูหรามากแล้ว

ดูเหมือนอวี๋หวั่นกลับไม่ได้ยินคำพูดของเขา เธอมองหาโต๊ะที่อยู่ในมุมของร้าน

เธอชอบความเงียบสงบ ข้อนี้มิได้เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะในโลกนี้หรืออีกโลกหนึ่ง

อวี๋เฟิงรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก “ทำไมเจ้าถึง...”

กล่าวได้เพียงครึ่งเดียว เสี่ยวเอ้อร์[footnoteRef:1]ในร้านก็เดินเข้ามาอย่างอืดอาด “ทั้งสองท่านจะกินข้าวหรือ?” [1: เสี่ยวเอ้อร์ คำเรียกบริกรในร้านอาหาร โรงน้ำชา โรงเตี๊ยม ฯลฯ]

อวี๋หวั่นเทเงินก้อนจากในถุงลงบนโต๊ะ “เท่านี้ เพียงพอสำหรับอาหารสองสามอย่างหรือไม่”

เสี่ยวเอ้อร์สีหน้าเปลี่ยนในทันที เขากล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “พอๆๆๆ! พอแน่นอนขอรับ! ท่านทั้งสองจะสั่งอะไรหรือ”

“พี่ใหญ่อยากกินอะไร” อวี๋หวั่นกล่าว มุมปากพลางยกขึ้นเล็กน้อย

อวี๋เฟิงกล่าวด้วยเสียงกดต่ำว่า “พอสักที!”

อวี๋หวั่นยิ้ม “พี่ใหญ่ หากท่านไม่รู้ว่าจะกินอะไร เช่นนั้นข้าจะสั่งเอง ข้าชอบกินหมูสามชั้นน้ำแดง”

เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะ และกล่าวว่า “ท่านมาถูกที่แล้ว! ร้านเรามีหมูสามชั้นน้ำแดงหน่อไม้ดอง ใช้หน่อไม้ดองสูตรลับ

ของพ่อครัวหลวงหลิว ข้างนอกหากินไม่ได้! ยังมีไก่อบเกลือที่เป็นอาหารจานเด็ดของพ่อครัวหลวงหลิวด้วยขอรับ!”

“ได้” อวี๋หวั่นพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย ทั้งยังถามเสี่ยวเอ้อร์ถึงอาหารแนะนำของหอมรกต “เอามาทั้งหมดเลย”

“เจ้าพาข้ามากินอาหารมื้อสุดท้ายอย่างนั้นหรือ” อวี๋เฟิงกล่าวอย่างเย็นชา

อวี๋หวั่นชะงักไปเล็กน้อย เธอหัวเราะเบาๆ พร้อมกล่าวว่า “หากเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของพี่ใหญ่ ข้าจะเป็นคนทำให้เอง”

อวี๋เฟิงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงนึกถึงหมูสามชั้นน้ำแดงไหม้เกรียมหม้อนั้น เขารู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

เพียงครู่เดียว อาหารก็ถูกนำมาจัดวางลงบนโต๊ะ

อวี๋เฟิงไม่รู้ว่าเด็กคนนี้กำลังทำอะไรกันแน่ ทว่าเธอหาเงินมาได้ ตัวเขาลงแรงเพียงเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะใช้เงินเหล่านี้จนหมด เขาจะว่าอะไรได้?

อันที่จริง การฝากความหวังไว้กับเด็กคนนี้ คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไรนัก

อวี๋เฟิงไม่ค่อยรู้รสชาติอาหาร

อวี๋หวั่นกำลังตั้งอกตั้งใจกิน ชิมอาหารอย่างพินิจพิจารณา มิได้กินด้วยความตะกละตะกลาม เมื่อชิมครบทุกจานแล้ว เธอจึงวางตะเกียบลง

“อิ่มแล้วหรือ?” เมื่อกล่าวออกไปแล้ว อวี๋เฟิงกลับรู้สึกว่าตนเองไม่ควรเอ่ยถามแสดงความห่วงใยเช่นนี้ จึงวางสีหน้านิ่ง และกล่าวว่า “ตอนนี้ก็กลับบ้านได้แล้วใช่ไหม?”

อวี๋หวั่นส่ายหน้าพลางหัวเราะ “ยังมีหอหยกขาวอีกนะ พี่ใหญ่”

“เจ้า...” อวี๋เฟิงโมโหจนถึงกับลุกขึ้นยืน “หากเจ้าจะลากข้ามาเที่ยวเล่นเช่นนี้ ข้าไม่สนใจด้วยหรอก!”

กล่าวจบ ก็สาวเท้าเดินไป

“พี่ใหญ่ไม่อยากหาเงินยี่สิบตำลึงแล้วหรือ?”

อวี๋หวั่นกล่าวเสียงค่อย

เธอหัวเราะน้อยๆ “ถ้าอยาก ก็กินกับข้าวเหล่านี้ให้หมด”

“กินข้าว...แล้วจะได้เงินรึ?”

“ใช่แล้ว กินข้าวแล้วจึงจะได้เงิน”

หลายวันมานี้ อวี๋เฟิงทำเรื่องไร้สาระกับเธอมามากเหลือเกิน เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

เขานั่งลงอย่างเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ[footnoteRef:2] กินข้าวกับอวี๋หวั่นด้วยความเรียบร้อย อวี๋หวั่นกินไปไม่มาก อาหารส่วนใหญ่ล้วนลงไปอยู่ในท้องของเขา [2: เห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ หมายถึง เพื่อทำสิ่งหนึ่งให้บรรลุล่วง ย่อมไม่เกรงกลัวสิ่งใด]

จากนั้น ทั้งสองเข้าไปในหอหยกขาว และสั่งอาหารชนิดเดียวกัน

หลังจากที่ลองชิมแล้ว อวี๋หวั่นก็วางตะเกียบลง “พี่ใหญ่คิดว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”

อวี๋เฟิงคิดอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ก็ตอบกลับไปอย่างจริงจังว่า “ไม่ดีเท่าหอมรกต”

อวี๋หวั่นจึงชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะ “หนังของไก่ทอดเกลือนั้นยังกรอบไม่พอ น้ำแกงก็ติดรสฝาด”

“ไม่เลว” อวี๋เฟิงพยักหน้า รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เธอวิเคราะห์อาหารอย่างละเอียดเช่นนี้ ราวกับเคยกินอาหารเหล่านี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

“พี่ใหญ่คิดว่าเป็นเพราะเหตุใด” อวี๋หวั่นกล่าวแทรกความคิดของอวี๋เฟิง

อวี๋เฟิงตอบไปตามสัญชาตญาณว่า “จะมีเหตุผลอะไรอีก? ก็หอมรกตเชิญพ่อครัวจากวังหลวงมา...”

อวี๋หวั่นจึงกล่าวว่า “พี่ใหญ่คิดว่าพ่อครัวจากวังหลวงเพียงคนเดียวสามารถทำอาหารทั้งหมดของแขกในหอมรกตได้หรือ? พี่ใหญ่เชื่อหรือไม่ว่าอาหารที่พวกเรากินเมื่อครู่ ไม่มีสักจานที่พ่อครัวหลวงเป็นคนทำ”

พ่อครัวจากวังหลวงเป็นเพียงลูกเล่นหนึ่งของร้านเท่านั้น

หากมีลูกค้าตำแหน่งใหญ่โต แน่นอนว่าพวกเขาต้องแสดงฝีมือเอง แต่ว่าสามัญชนคนธรรมดา ไหนเลยจะมีโอกาสได้ลิ้มรสฝีมือพวกเขาเล่า

“พี่ใหญ่ไม่รู้สึกหรือว่า ผักที่ตัวเองผัดที่บ้านก็มีรสฝาดเช่นนี้เหมือนกัน”

เธอมิได้กล่าวว่าอวี๋เฟิงไม่รู้สึก หากคิดให้ดี ก็คงเป็นดังที่เธอกล่าว เพียงแต่ว่า เขาเคยชินกับรสชาติเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังมิได้รังเกียจก็เท่านั้นเอง

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเป็นเพราะเหตุใดเล่า” อวี๋เฟิงเอ่ยถาม ครั้งนี้น้ำเสียงผ่อนคลายกว่าเดิมมาก

อวี๋หวั่นเท้าคาง เธอหัวเราะเบาๆ “เดิมทีข้าคิดว่าคุณหนูไป๋เป็นเพียงถุงฟาง[footnoteRef:3] แต่เป็นข้าที่มองนางผิดไป ทุกคนต่างคิดว่าปัญหาทั้งหมดล้วนเกิดจากพ่อครัว แต่มีเพียงนาง ที่พบปัญหาที่แท้จริง ข้าต้องการพบคุณหนูไป๋ผู้นี้” [3: ถุงฟาง ใช้เปรียบกับคนที่ไร้ความสามารถ ไม่เฉลียวฉลาด ]

……

“เจ้าบอกว่าใครต้องการพบข้า?” คุณหนูไป๋ซึ่งเพิ่งกลับมาจากร้านขายเกลือ ส่งเสื้อคลุมให้กับสาวใช้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ผู้จัดการร้านกล่าวว่า “ลูกค้าท่านหนึ่ง บอกว่าคุณหนูรู้จักนางขอรับ ข้าดูแล้ว...คุณหนูเป็นคนจากวังหลวง เหตุใดจึงรู้จักหญิงชาวบ้านได้ หรือว่านางจะเป็นพวกต้มตุ๋น?”

ไป๋ถังแค่นหัวเราะ “หากเป็นพวกต้มตุ๋นจริง ข้าก็อยากเห็น คอยดูข้าเชือดนางก็แล้วกัน”

ผ่านไปครู่เดียว ผู้จัดการร้านก็พาสองพี่น้องสกุลอวี๋ไปที่ห้องบัญชีบนชั้นสอง

สกุลไป๋ทำกิจการภัตตาคาร แต่ละวันไป๋ถังพบปะผู้คนเป็นสิบเป็นร้อยคน คนทั่วไปเมื่อพบแล้วก็มิได้ใส่ใจ ทว่าสตรีที่มิได้มีอะไรสะดุดตาแม้แต่น้อยผู้นี้ นางเห็นเพียงครั้งเดียวกลับจดจำได้

“เป็นเจ้ารึ?”

ไป๋ถังตะลึงงัน

เมื่อผู้จัดการได้ยินจึงวางใจ ที่แท้ก็เคยพบกันมาก่อน

อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “คุณหนูไป๋ความจำดีเยี่ยม ข้าแซ่อวี๋ ผู้นี้คือพี่ใหญ่ข้า”

อวี๋เฟิงพยักหน้าน้อยๆ อย่างเกรงอกเกรงใจ

ไป๋ถังมิได้ชำเลืองมองเขาแม้แต่น้อย เพียงกล่าวกับอวี๋หวั่นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าอย่าคิดว่าข้าพูดกับเจ้าเพียงประโยคเดียวแล้วเจ้าจะผูกมิตรกับข้าได้ ข้าไม่ผูกมิตรกับคนอย่างพวกเจ้าหรอก!”

อวี๋หวั่นมิได้ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะออกมา “บังเอิญเหลือเกิน ข้าก็ไม่ได้มีเวลามาผูกมิตรกับท่านด้วยสิ คุณหนูไป๋กล่าวเช่นนี้ ข้าก็วางใจ”

“เจ้า...” ไป๋ถังชะงักไป

อวี๋หวั่นกล่าวอีกว่า “ข้ามาเจรจาการค้ากับคุณหนูไป๋”

ไป๋ถังมองเธอหัวจรดเท้า กล่าวถากถางว่า “เจ้ามีสิ่งใดมาเจรจาการค้ากับข้า ผัก? ปลา?”

นางมองเห็นหน่อไม้และเกล็ดปลาในตะกร้าและถังไม้

อวี๋หวั่นตอบ “เกลือ เป็นเกลือที่คุณภาพดีกว่าหอมรกต”

ไป๋ถังหน้าเปลี่ยนสี

อวี๋เฟิงมองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าเบี้ยวบูด ที่บ้านของพวกเขาจะไปหาเกลือมาจากที่ใด ไม่สิ จะกล่าวว่าบ้านของพวกเขาได้อย่างไร บ้านของนางต่างหาก เขาไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับนาง!

ผู้จัดการร้านตบโต๊ะ “บังอาจ! เจ้าลักลอบค้าเกลือรึ?! คุณหนู ลักลอบค้าเกลือเป็นโทษหนัก! อยากไปกินข้าวในคุกหรืออย่างไร!”

ไป๋ถังขมวดคิ้ว

อวี๋หวั่นส่ายหน้า คุณหนูไป๋เยาว์วัยนัก ยังพอทำเนา แต่เหตุใดผู้จัดการก็ช่างเลอะเลือน พวกเขานอกจากจะไม่ใจกล้าถึงกับทำเรื่องต้องห้าม ก็อยากถามเพียงแต่ว่า บนโลกนี้ไหนเลยจะมีใครกล้าลักลอบค้าเกลืออย่างเปิดเผยเช่นนี้?

อวี๋หวั่นมองไป๋ถัง และกล่าวว่า “คุณหนูไป๋โปรดวางใจ พวกเราไม่ได้ลักลอบค้าเกลือ พวกเราเพียงแต่กำลังหาทางทำให้เกลือราคาธรรมดาของพวกท่าน เปลี่ยนเป็นเกลือชั้นหนึ่งก็เท่านั้น”

เมื่อกล่าวออกไป ทุกคนต่างตกตะลึง

ไป๋ถังมองพวกเขาแวบหนึ่ง ราวกับกำลังพิจารณาว่าคำพูดของเธอนั้นเป็นจริงหรือเท็จ

อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นว่า “แน่นอนว่า ข้ามิได้ทำเปล่า ข้าต้องการเงินรางวัลก้อนหนึ่งจากคุณหนูไป๋”

ไป๋ถังหรี่ตา “เจ้าต้องการเท่าไหร่”

ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น

“คุณหนู!” ผู้ดูแลร้านเอ่ยปากยั้งนาง

ไป๋ถังยกมือขึ้นเชิงห้ามปรามเขา

“กิจการแรก ได้เงินมากเกินไปก็คงจะดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก...” อวี๋หวั่นพึมพำ

อวี๋เฟิงรู้สึกประหนึ่งหัวใจขึ้นมาจุกที่ลำคอ กลัวว่านางจะเรียกเงินจำนวนน้อยนิดจนจ่ายหนี้ไม่ไหว ขณะที่เขากำลังจะกัดฟันกล่าวออกไปว่า ‘สิบห้าตำลึง’ ก็ได้ยินเสียงเบาๆ ของอวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นห้าสิบตำลึงก็แล้วกัน”

……………………………………..