webnovel

วิหคเคียงพยัคฆ์ 小鳥 老虎

เป็นเรื่องราวของจิ้งเจียวเจี๋ย หญิงสาวในโลกปัจจุบันได้ทะลุมิติย้อนอดีตไปในยุคจีนโบราณอย่างปาฏิหาริย์ ซึ่งต่อมาได้อาศัยร่างของจางเสียวเหนี่ยว คุณหนูสตรีสูงศักดิ์ในการใช้ชีวิต และได้พบกับหานหนิงหลง อี้หลางหนุ่มผู้มากความสามารถแต่เขาค่อนข้างเป็นคนที่เข้าถึงจิตใจได้ยาก อีกทั้งนางยังเข้าไปพัวพันการแก่งแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก จึงจำต้องคิดหาวิธีและใช้ความรู้ทุกอย่างที่มีเพื่อเอาชีวิตรอดในยุคอดีตให้ได้ ยังดีที่นางได้ขโมยหัวใจของอี้หลางหนุ่มมาไว้ครอบครอง ทั้งสองจึงเป็นทั้งคู่คิดและคอยปกป้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้ฝ่าฝันวิกฤติต่าง ๆ มาได้ แต่ในช่วงที่ความรักกำลังจะสุขสมราบรื่นนั้น นางต้องตัดสินใจเลือกครั้งใหญ่อีกครั้ง นั่นคือการกลับไปยังยุคสมัยที่จากมา หรือจะละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและใช้ชีวิตอยู่กับคนรักในยุคโบราณแห่งสมัยนี้

Anastazia23_Boss · Sejarah
Peringkat tidak cukup
22 Chs

ตอนที่ ๑๔ บัณทิตผู้มาเยือนศาล

ที่ทำการศาลเมืองเป่ยเยี่ยน

 

 จิ้งเจียวเจี๋ย ตั้งสติได้ดีมากกว่าใคร ๆ และยิ่งเห็นท่าทีของผู้ว่าการศาล เผยพิรุธดูลนลานผิดปกติ นางจึงคิดฉวยโอกาสนั้น ยืมมือของหานหนิงเหอ เพื่อช่วยเหลือบิดาของตน แม้จะไม่รู้ว่า ตำแหน่งอี้หลาง คือตำแหน่งขุนนางขั้นใดในเมืองหลวง หากเทียบกับข้าราชการในยุคปัจจุบันก็ตาม

 "ท่านอี้หลาง โปรดให้ความเป็นธรรมต่อคนสกุลจางด้วย ท่านผู้ว่าการศาลได้กล่าวหาว่าบิดาของข้า ว่ากระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองและต้องการจะสั่งลงโทษอย่างหนัก และจะยึดทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดไปเป็นของทางการ"

 

 หานหนิงเหอ แกล้งทำเป็นจำจางเสียวเหนี่ยวไม่ได้ จึงแสร้งถามนางออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 "ไม่ทราบว่าแม่นางคือ.."

 

 ดรุณีน้อย ได้ยินคำถามของเขา รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อถูกอีกฝ่าย แสร้งทำเหมือนตน 

 'ทำตัวเนียนเหลือเกินนะพ่อคุณ จำฉันได้ตั้งแต่แรก ยังแกล้งตีหน้ามึนไม่รู้จักกัน'

 "ข้าชื่อจางเสียวเหนี่ยว บุตรีของจางเส้าชุน ชายผู้ที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้"

 น้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาด รวมถึงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของนาง ทำให้อี้หลางหนุ่มเลิกแกล้งเจ้าตัว และเริ่มจริงจังทันที

 "ขออภัยคุณหนูจาง ว่าแต่เหตุใด ท่านจึงคิดว่าบิดาถูกกล่าวหาใส่ความเล่า"

 

 "ก็เพราะว่าพวกเขาไม่มีหลักฐานหรือแม้แต่พยานมายืนยันในความผิดครั้งนี้ มีเพียงคำกล่าวอ้างทางวาจาจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ศาลเท่านั้น ทำให้พวกเรา รู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม"

 ดรุณีน้อย น้ำเสียงและถ้อยคำของดรุณีน้อย กล่าวต่ออี้หลางหนุ่มอย่างชัดถ้อยชัดคำ แววตายังคงฉายประกายเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น

 

 หานหนิงเหอ ดูไม่ได้แปลกใจในถ้อยคำของจางเสียวเหนี่ยวเลยสักนิด และยังคงวางตัวสุขุม นิ่งเฉย ฟังอีกฝ่ายพูดจนจบ 

 แม้แต่คนในศาลต่างไม่อาจคาดเดาได้ว่า ตอนนี้อี้หลางหนุ่มผู้นี้ กำลังคิดอ่านสิ่งใดอยู่ในใจกันแน่ 

 

 กระทั่ง หานหนิงเหอได้หันกลับไปยังเบื้องหน้า ซึ่งเป็นตำแหน่งของผู้ที่มีอำนาจใหญ่สุดในศาล 

 "ท่านผู้ว่าการศาล มิทราบทางท่าน มีสิ่งใดจะอธิบายในเรื่องที่คุณหนูจางกล่าวมาเมื่อสักครู่หรือไม่"

 น้ำเสียงเย็นเยียบ รวมไปถึงสายตาอันคมกริบคู่นั้น ทำให้ผู้ที่กำลังถูกจ้องมอง รับรู้ได้ถึงความทรงพลังในอำนาจและบารมีของอี้หลางหนุ่มผู้นี้ ช่างสมกับคำร่ำลือ

 ผู้ว่าการศาล พยายามข่มอารมณ์ของตนไม่ให้คล้อยตามความต้องการของอี้หลางหนุ่ม จึงได้ตอบสวนกลับเสียงแข็ง 

 "เรื่องนี้ข้าได้พิจารณาความเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถคัดค้านคำตัดสินของข้าได้!"

 

 จากนั้นเขาก็หันไปตะเบ็งเสียงเข้มดุดัน สั่งคนของตนดังลั่นไปทั่วศาล

 "เจ้าหน้าที่! จงรีบไปนำตัวจางเส้าชุนออกมารับฟังคำตัดสินตัดสินโทษของเขา บัดเดี๋ยวนี้!"

 เมื่อคนสกุลจาง รวมไปถึงบ่าวไพร่ ได้ยินเช่นนั้น ต่างพากันหน้าถอดสี สีหน้าดูเศร้าสลดใจลงทันควัน 

 

 โดยเฉพาะจางหลิวฮัว ถึงกับลมจับ หงายหลังล้มตึงไปทางด้านหลัง

 

 "นายหญิง!..." บ่าวและสาวใช้ร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจพร้อมกัน

 

 "ท่านแม่!..."

 โชคดีที่จางเสียวเหนี่ยว มีปฏิกิริยาตอบรับดี จึงมองเห็นและเข้าช้อนรับตัวมารดาไว้ได้ทัน ศีรษะของนางจึงไม่ได้กระแทกลงไปบนพื้น

 

 ดรุณีน้อยส่งมารดาของตนไว้ให้เสี่ยวโหย่วและอาฉีช่วยดูแลต่อ จากนั้นนางก็หันขวับ ไปมองสบตากับอี้หลางหนุ่ม ดวงตากลมโตสื่อความในใจ ร้องขอความช่วยเหลือจากเขา

 

 หานหนิงเหอ ไม่ได้แสดงท่าทีใดตอบกลับ 

 

 นาทีต่อมา เขากล่าวแสดงความจำนง ขออาสาช่วยสืบหาความจริง เพื่อแก้ไขคดีนี้ให้กระจ่างแจ้ง ไร้ซึ่งข้อกังขาของประชาชน

 

 ทว่าแม้อี้หลางหนุ่มจะยืนกรานหนักแน่น ว่าจะช่วยแก้ไขคดีด้วยความเต็มใจ และไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน 

 แต่ผู้ว่าการศาลกลับปฏิเสธเสียงแข็งทันควัน โดยไม่คิดไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ ยิ่งทำให้อีกฝ่ายเห็นพิรุธเขาหนักมากขึ้น

 

 เมื่ออี้หลางหนุ่ม ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างเสียงแข็ง อย่างไม่มีท่าทีอ่อนข้อลงสักนิด อีกทั้งยังยกข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นมาโต้แย้งตลอดเวลา

 ตอนนี้ หานหนิงเหอเริ่มหมดความอดทน 

 เขาตัดสินใจใช้อำนาจในตำแหน่งขุนนางของราชสำนัก ยื่นคำขาดแกมข่มขู่ ในการรื้อคดีนี้ใหม่อีกครั้ง 

 ซึ่งตำแหน่ง อี้หลาง คือตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของฮ่องเต้ รวมไปถึงเหล่าเชื้อพระวงศ์ และยังสามารถวิจารณ์การทำงานของขุนนางน้อยใหญ่ในวังหลวงได้ด้วย 

 หากเมื่อใดที่เขาได้เริ่มกล่าววิจารณ์หรือให้ข้อคิดต่อผู้ใดอย่างตรงไปตรงมาแล้ว คนผู้นั้น ย่อมอยู่ไม่เป็นสุข กระทั่งและตำแหน่งหน้าที่การงานของพวกเขา ยังอาจจะต้องพลอยสั่นคลอนไปด้วยเช่นกัน 

 

 ดังนั้นผู้ว่าการศาล จึงจำใจต้องยอมอนุญาตให้หาน-หนิงเหอ เข้าร่วมตรวจสอบและพิจารณาคดีอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

 ไม่นาน จางเส้าชุน ผู้นำของตระกูลจาง ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหา ได้ถูกนำตัวเข้ามาภายในศาล

 

 จางเสียวเหนี่ยวและหานหนิงเหอเห็นนายใหญ่จาง ทั้งสองคนถึงกับขมวดปมคิ้วขึ้นพร้อมกัน เพราะสภาพร่างกายภายนอกของเขา ดูย่ำแย่หนักมากกว่าเดิมหลายเท่า 

 

 ดรุณีน้อยกำหมัดแน่น และรู้สึกโกรธตัวเอง ที่เมื่อคืนไม่พาตัวเขา หนีออกมาจากคุกใต้ดินด้วยกัน

และทันทีที่บิดานั่งคุกเข่าลงบนพื้นข้าง ๆ กัน นางก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

 "ท่านพ่อ! นี่พวกเขาซ้อมและทารุณร่างกายของท่านรุนแรงหนักมือมากขึ้นจนสภาพหน้าตาเขียวคล้ำม่วง ปูดบวม สะบักสะบอม จนแทบจะจดจำใบหน้าเดิมไม่ได้เช่นนี้เชียวหรือ" 

 ไม่ทันที่บิดาจะตอบกลับ นางก็หันขวับอย่างแรง พร้อมกับถลึงตา มองไปยังผู้ว่าการศาล ดวงหน้างามแดงก่ำ เต็มไปด้วยอารมณ์เดือดดาล อย่างแค้นเคือง

 ผู้เป็นบิดาเห็นอากัปกิริยาของบุตรี เขากลัวว่านางจะควบคุมอารมณ์หัวร้อนเอาไว้ไม่อยู่ และอาจพานกระทำสิ่งใดที่จะนำภัยมาสู่ตัว จึงได้พยายามฝืนและปรับอารมณ์ของตน เพื่อให้อีกฝ่ายคลายความโกรธลง พลางกล่าวขึ้น

 "เหนียวเหนี่ยว พ่อไม่เป็นไร แค่นี้ยังไกลหัวใจนัก ว่าแต่แม่ของเจ้าทำไมถึงได้มีสภาพกลายเป็นเช่นนั้นได้กัน" 

 น้ำเสียงที่แหบพร่าของเขาระคนความเจ็บปวด หลังจากที่เห็นภรรยาสุดที่รัก นอนไม่ได้สติ พิงไหล่ของเสี่ยวโหย่วเอาไว้

 

 ดรุณีน้อยหันกลับมาทางบิดา และยื่นมือไปวางทับมือหนาของเขาไว้แน่น โดยไม่สนใจสายตาของผู้คุมตรงนั้น พลางกุมไว้แน่น

 "ท่านพ่อโปรดสบายใจได้ ท่านแม่แค่เป็นลมไปเท่านั้น สาเหตุเพราะได้ยินตัดสินคดีอย่างไม่เป็นธรรม"

 

 พอได้ยินเช่นนั้น ผู้เป็นบิดาก็วางใจลงเล็กน้อย 

 และหลังจากสองพ่อลูกถามไถ่ทุกข์สุขกันเสร็จ จางเส้าชุน ก็หันหน้าไปทางบุรุษแปลกหน้าทั้งสองคน ด้วยแววตาประหลาดใจ

 "เหนียวเหนี่ยว บุรุษสองท่านนี้คือผู้ใดกัน หรือว่าพวกเขาคือผู้ที่มากล่าวหา ร้องทุกข์แจ้งความเอาผิดต่อพ่อกระนั้นรึ" 

 จางเส้าชุนเข้าใจผิด คิดว่าอี้หลางหนุ่มกับผู้ติดตาม คือคนที่แจ้งความจับตน

 และก่อนที่เขาจะคิดเตลิดไปไกลกว่านี้ บุตรีจึงได้รีบอธิบาย

 "ไม่ใช่ บุรุษรูปงามตรงหน้าของพวกเราท่านนี้ คืออี้หลาง เป็นขุนนางจากราชสำนักในวังหลวง ส่วนอีกคน คือผู้ติดตาม พวกเขาสองคนต้องการรื้อคดีของท่านขึ้นมาสืบใหม่อีกครั้ง เพื่อความจริงจะได้ปรากฏต่อทุกคน"

 

 จางเส้าชุนได้ฟังคำกล่าวของบุตรี แววตาเขาก็เกิดประกายแห่งความหวังขึ้นมา 

 "โอ้จริงหรือ ท่านได้โปรดช่วยให้ความเป็นธรรมแก่คนสกุลจางของพวกเราด้วย หากพวกท่านมีหลักฐานยืนยัน ว่าตัวข้านั้นกระทำความผิดจริง ข้ายินดีรับโทษตามกฎหมายของบ้านเมืองโดยไม่มีข้อบิดพลิ้ว" 

 เขานิ่งไปชั่วอึดใจ และเบนหน้า กวาดสายตามองไปยังครอบครัวและคนของตน จากนั้นก็หันกลับมากล่าวต่อ

 "แต่ภรรยาและบุตรีของข้า รวมถึงบ่าวไพร่ในสกุลจางทุกคน พวกเขาล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ ได้โปรดปล่อยพวกเขาไปด้วยเถิด"

 นายใหญ่ของบ้านสกุลจาง ไม่ได้ห่วงความปลอดภัยของตนเลยสักนิด แม้ภัยอันตรายมาเยือนตรงหน้า แต่ก็ยังคงพยายามปกป้องครอบครัวและบ่าวไพร่คนสกุลจางทุกคน

 

 หานหนิงเหอ รู้สึกนับถือในความกล้าหาญและยังมองเห็นถึงความเป็นผู้นำ อีกทั้งจิตใจที่เมตตากรุณาของคนผู้นี้ต่อคนในปกครอง จึงได้ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างมีมิตรไมตรีและกล่าวถามขึ้นอย่างสุภาพนอบน้อม

 "ท่านจาง ข้าขอสอบถามท่าน สักบางประการเพิ่มเติมได้หรือไม่"

 

 นายใหญ่จางพยักหน้า และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 "ท่านขุนนาง ต้องการสอบถามเรื่องใด หากตอบได้ ข้ายินดีตอบท่านทุกข้อ"

 

 อี้หลางหนุ่ม พยักหน้าตอบเบา ๆ แววตาอันเด็ดเดี่ยวของนายใหญ่จางผู้นี้ ทำให้เขาเข้าใจทันทีว่าจางเสียวเหนี่ยว คงได้รับความกล้าหาญมาจากบิดา

 "ท่านจางได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหานี้หรือไม่ ได้โปรดตอบออกมาตามความจริงด้วย"

 อี้หลางหนุ่มเน้นโทนเสียงหนักแน่น และจ้องมองเข้าไปในแววตาหรี่เล็กของนายใหญ่สกุลจาง ผู้ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น โดยข้างกายยังมีครอบครัวของเขากำลังนั่งรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่ออยู่เช่นกัน 

 

 "ด้วยความสัตย์จริง ชั่วชีวิตนี้ ข้าไม่เคยทำผิดต่อผู้ใด ทั้งต่อครอบครัวหรือคนเมืองเป่ยเยี่ยน กระทั่งคนสกุลจาง ตลอดทุกรุ่นชั่วอายุคน พวกเราจะไม่กระทำในเรื่องที่ผิดศีลธรรมและขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองเป็นอันขาด"

 คำตอบอันหนักแน่นของนายใหญ่จาง สื่อสารผ่านออกมาทางสีหน้าและแววตามุ่งมั่น ทำให้อี้หลางหนุ่ม เผยยิ้มอ่อน เพื่อหวังให้เขาอย่างผ่อนคลายความกังวลใจลง

 "ถ้าเช่นนั้น ข้าจะช่วยพิสูจน์ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดเอง แต่หากว่ามีหลักฐานแน่นหนา ว่าท่านได้กระทำผิดจริงตามที่ทางการกล่าวหามา ท่านและคนสกุลจางทุกคน จะต้องยอมรับในการตัดสินอย่างไม่มีข้อกังขาโต้แย้งใด ๆ เช่นกัน ตกลงหรือไม่?"

 "ได้ ข้าผู้น้อยตกลง! สกุลจางของข้าน้อย เป็นเพียงปุถุชนชาวบ้านทั่วไป และแม้ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ใดในราชสำนัก แต่พวกเราก็ยึดมั่นในหลักคุณธรรมและถือปฏิบัติต่อยึดมั่นในคุณความดีมาทุกชั่วรุ่นอายุคน ถ้ามีหลักฐานใด มาแสดงได้ว่าข้ากระทำผิดจริง ข้ายินดีรับโทษทัณฑ์นั้น"

 จางเส้าชุนตอบรับคำของอี้หลางหนุ่มอย่างหนักแน่น

 

 แววตากลมโตของจางสียวเหนี่ยว ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจและเชื่อใจในบิดา พร้อมกล่าวเสริมทัพอย่างหนักแน่นอีกคน

 "ข้าก็เช่นกัน! หากท่านอี้หลางมีหลักฐานยืนยันว่าบิดาของข้ากระทำผิดจริง ข้าก็จะยินยอมรับโทษนั้นไปพร้อมกับเขา"

 แม้แต่บ่าวและสาวใช้ของสกุลจาง ต่างก็ประสานเสียง ยินยอมรับโทษไปพร้อมกับผู้เป็นนาย

 

 อี้หลางหนุ่มหันไปมองทุกคน และยืนเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง 

 'คนเหล่านี้ เป็นเพียงสามัญชน แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเชื่อใจ สมานสามัคคี กล้าหาญเด็ดเดี่ยว แม้ภัยอันตรายมาเยือนตรงหน้า แต่ก็ไม่มีผู้ใดรักตัวกลัวตาย ช่างน่านับถือในจิตใจอันเข้มแข็งของพวกเขายิ่งนัก'

 

 "ได้ งั้นพวกเรามาคอยดูกัน ว่าความจริงที่จะปรากฏหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร"

 

 จากนั้น หานหนิงเหอได้หันไปทางผู้ติดตามของเขา ซึ่งยืนทำหน้านิ่ง วางมาดเข้ม เคร่งขรึม ซึ่งถอยร่นไปทางด้านหลัง ห่างเพียงแค่ก้าวครึ่ง 

 "อี้หลง รบกวนเจ้าช่วยนำหลักฐานทั้งหมดที่พวกเราได้มา ไปส่งมอบให้กับท่านผู้ว่าการศาลแทนข้าที"

 ผู้ติดตามพยักหน้ารับคำสั่ง เหมือนรออยู่นานแล้ว พร้อมกับนำเอกสารที่เตรียมมา ส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ศาล 

 

 จากนั้นเจ้าหน้าที่ศาล ก็ได้นำเอกสารนั้นส่งมอบต่อให้กับผู้ว่าการศาล 

 โดยขุนนางใหญ่ของศาลผู้นี้ ยื่นมือออกมารับเอกสาร จากเจ้าหน้าที่ผู้น้อยด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนไม่เต็มใจนัก แต่ในที่สุดเขาก็ยอมหยิบแผ่นกระดาษนั้นไปถือไว้

 

 และทันทีที่เอกสารถูกคลี่กางออก ดวงตาอันหรี่เล็กของผู้ว่าการศาล ถึงกับถลึงตาเบิกโพลงขึ้น มือทั้งสองสั่นระริกราวดูไร้เรี่ยวแรงในบัดดล สีหน้าซีดเผือด 

 เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องมองเนื้อความบนนั้นอย่างใจจดจ่อ

...

....

เซียงไค 盛開