webnovel

วิหคเคียงพยัคฆ์ 小鳥 老虎

เป็นเรื่องราวของจิ้งเจียวเจี๋ย หญิงสาวในโลกปัจจุบันได้ทะลุมิติย้อนอดีตไปในยุคจีนโบราณอย่างปาฏิหาริย์ ซึ่งต่อมาได้อาศัยร่างของจางเสียวเหนี่ยว คุณหนูสตรีสูงศักดิ์ในการใช้ชีวิต และได้พบกับหานหนิงหลง อี้หลางหนุ่มผู้มากความสามารถแต่เขาค่อนข้างเป็นคนที่เข้าถึงจิตใจได้ยาก อีกทั้งนางยังเข้าไปพัวพันการแก่งแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก จึงจำต้องคิดหาวิธีและใช้ความรู้ทุกอย่างที่มีเพื่อเอาชีวิตรอดในยุคอดีตให้ได้ ยังดีที่นางได้ขโมยหัวใจของอี้หลางหนุ่มมาไว้ครอบครอง ทั้งสองจึงเป็นทั้งคู่คิดและคอยปกป้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้ฝ่าฝันวิกฤติต่าง ๆ มาได้ แต่ในช่วงที่ความรักกำลังจะสุขสมราบรื่นนั้น นางต้องตัดสินใจเลือกครั้งใหญ่อีกครั้ง นั่นคือการกลับไปยังยุคสมัยที่จากมา หรือจะละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและใช้ชีวิตอยู่กับคนรักในยุคโบราณแห่งสมัยนี้

Anastazia23_Boss · History
Not enough ratings
22 Chs

ตอนที่ ๑๕ จางเส้าชุน พ้นข้อกล่าวหา

ที่ว่าการศาลเมืองเป่ยเยี่ยน

ผ่านไปราวชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย [1]

 ผู้ว่าการศาล ได้ม้วนเอกสารเข้าหากัน ความกังวลใจถูกแสดงออกมาทางสีหน้ามากขึ้น และยื่นหลักฐานนั้นส่งให้กับเลขาผู้จดบันทึกช่วยตรวจสอบเพิ่มเติม

 

 ผ่านไปไม่ถึงครึ่งก้านธูป เลขาผู้จดบันทึกก็ตรวจสอบเรียบร้อย และหันไปพยักหน้าให้กับผู้ว่าการศาลด้วยสีหน้าเจื่อน 

 "ใต้เท้า เอกสารทั้งหมดนี้ ถูกต้องทุกประการ ขออภัยที่ข้าผู้น้อย มิอาจจะหาหลักฐานหรือถ้อยคำใด มาโต้แย้งได้ขอรับ"

 

 เมื่อมีหลักฐานชัดเจนยืนยันว่าจางเส้าชุน ไม่ใช่ผู้กระทำผิด ส่วนทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ของศาลเองก็ขาดพยานมายืนยันและโต้แย้งในหลักฐานของอี้หลาง 

 ทว่าผู้ว่าการศาลยังไม่ยอมลดละ เขาดื้อดึง สรรหาคำพูดมาบ่ายเบี่ยงอยู่อีกพักใหญ่

 

 ด้านจางหลิวฮัว ก็รู้สึกตัวได้ทันช่วงเวลาสำคัญพอดี 

 

 สุดท้ายแล้ว เขาก็ต้องจำยอมปล่อยตัวของบิดาจางเสียวเหนี่ยว และกล่าวปิดศาลอย่างขุ่นเคืองใจ

 

 นั่นก็แปลว่า ขางเส้าชุนและคนสกุลจาง เป็นผู้บริสุทธิ์ 

 

 เสี่ยวโหย่ว อาฉี และบ่าวไพร่คนอื่น ๆ ส่งเสียงเฮลั่นศาลด้วยความดีใจ อย่างลืมตัว

 

 จางเสียวเหนี่ยว และครอบครัว โผเข้าสวมกอดกันกลม บ่าวและสาวใช้ ต่างก็ปาดน้ำตาแห่งความดีใจ บางคนถึงกับปล่อยโฮ ร้องไห้เสียงดังด้วยความอัดอั้นใจ

 

 จางเส้าชุน ถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาเต็มเบ้าตา แต่ก็อดกลั้นไว้ได้ทัน เขาถอนหายใจเสียงดังเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ ที่ครอบครัวปลอดภัย 

 และไม่ลืม หันไปหน้าทางหานหนิงเหอ แววตาเต็มเปี่ยม เอ่อล้นไปด้วยความซาบซึ้งใจ จนไม่รู้จะสรรหาคำใดมากล่าว

 "ข้า จางเส้าชุน ขอเป็นตัวแทนของคนสกุลจาง และบ่าวไพร่ทุกคน กล่าวขอบคุณ ต่อน้ำใจของท่านอี้หลาง ที่ให้ความเป็นธรรม และช่วยคืนความบริสุทธิ์ให้แก่พวกเราในครั้งนี้ ผู้น้อยขอบคุณจากใจจริง"

 นายใหญ่กลาง ถึงกับนั่งคุกเข่าทั้งสองข้างลงบนพื้น ต่อหน้าของอี้หลางหนุ่ม แม้กระทั่งภรรยา และบ่าวไพร่ เมื่อเห็นนายใหญ่ของตระกูลทำเยี่ยงนั้น พวเขาก็ทำตามทันที 

 

 ทว่าหานหนิงเหอ รีบนั่งลงและเข้าไปช้อนรับตรงข้อศอกของนายใหญ่จางและฮูหยินจางไว้ได้ทัน 

 "ท่านจางและฮูหยินจาง โปรดอย่าทำเยี่ยงนี้ หากยอมให้ผู้ที่อาวุโสกว่า มาคุกเข่าให้ตน เห็นทีข้าน้อยคงจะอายุสั้นเป็นแน่"

 อี้หลางหนุ่ม กล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม น้ำเสียงจริงใจ พร้อมกับพยุงตัวจางเส้าชุน ให้กลับไปนั่งในท่าเดิม 

 

 "การกระทำนี้ นับว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ ท่านอี้หลางเป็นผู้มีพระคุณต่อคนสกุลจาง หากมิได้ท่านยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ตระกูลของพวกเรา คงสิ้นชื่อในวันนี้อย่างแน่นอน" นายใหญ่จางยังคงกล่าวต่อ

 

 "ท่านทั้งสองโปรดอย่าได้คิดเช่นนั้น ข้าหาได้กระทำการเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ถูกผิด...ก็ล้วนว่ากันไปตามหลักฐาน ดังนั้นก็ไม่นับว่าเป็นบุญคุณอันใดต่อกัน"

 

 ทุกถ้อยคำที่หานหนิงเหอกล่าวออกมา ล้วนเป็นความจริง เขาเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริตเที่ยงตรงและยึดมั่นในหลักคุณธรรม การยื่นมือเข้าช่วยเหลือสกุลจางในครั้งนี้ ก็ไม่ต่างจากอีกหลายเหตุการณ์ที่เคยช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนคนอื่น ๆ อย่างในอดีตที่ผ่านมา

 

 "ไม่ว่าจะอย่างไร สำหรับพวกเรา ท่านถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ" นายใหญ่จาง ยังคงกล่าวย้ำชื่นชมและสำนึกในบุญคุณครั้งนี้เป็นที่สุด

 

 มีเพียงจางเสียวเหนี่ยว ซึ่งนั่งอยู่ในท่าเดิม นางเองก็รู้สึกขอบคุณอี้หลางหนุ่มผู้นี้จากใจ แต่ด้วยนิสัยของคนที่มีสายเลือดทหารในตัว การคุกเข่าให้ผู้อื่น สำหรับนาง ถือว่าเป็นเรื่องไกลตัวมาก เว้นเสียจากว่า คนผู้นั้น คือฮ่องเต้ หรือคนที่ตนนับถือในฐานะผู้อาวุโสจริง ๆ 

 นางจึงเพียงแค่ขอบคุณเขาผ่านแววตาอย่างลึกซึ้งคู่นั้นของตน 

 

 หานหนิงเหอ ได้สบตาดรุณีน้อย เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ดูแตกต่าง และมีความแปลกประหลาดหลายอย่างในสตรีผู้นี้ 

 และในใจของเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตนนั้นเกิดความรู้สึกประทับใจในความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของนางยิ่งนัก

...

 

 บ้านสกุลจาง

 

 หลายวันต่อมา บิดาของจางเสียวเหนี่ยวที่ได้พ้นผิดในข้อกล่าวหา ทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตปกติเช่นเดิม 

 

 ช่วงสายของยามซื่อ ตรงศาลาไม้ในสวนด้านหลังของเรือน [2] จางเสียวเหนี่ยวกำลังนั่งจิบน้ำชาและทานอาหารว่าง และพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับสาวใช้และบ่าวคนสนิท

 

 ในขณะนั้นเอง

 

 จางหลิวฮัว กำลังเดินเคียงคู่มาพร้อมกับสามี ดวงหน้านิ่งตึง คิ้วขมวดปมยกขึ้นสูง มองตาเขียวมาแต่ไกล 

 ทั้งสองได้ยินเสียงหัวเราะร่าของบุตรี มารดาจึงรู้สึกว่าเป็นการไม่สำรวมจึงส่งเสียงตำหนิขึ้น

 "รู้สึกว่าช่วงนี้เจ้าจะหย่อนยานเรื่องการฝึกมารยาทมากเกินไปสินะ ถึงหัวเราะร่าเสียงดังลั่น ได้ยินไกลไปทั่วเรือนแบบนี้ สงสัยแม่คงจะต้องเข้มงวดกับเจ้าให้มากขึ้นกว่านี้แล้วกระมัง"

 น้ำเสียงเข้ม ของนายหญิงบ้านสกุลจางลอยมาแต่ไกล ก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึงศาลาไม้ด้วยซ้ำ 

 

 ทั้งสามคนหยุดชะงักและเงียบเสียงลงทันควัน พลันหันกลับไปมองตรงทางเดินของสวนอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

 จางเสียวเหนี่ยวเห็นสีหน้าดุของมารดา ใบหน้าสดใสน่ารักฉีกยิ้มแฉ่ง และกล่าวทักทายคนทั้งสอง ราวกับไม่ได้สะทกสะท้านหรือเกรงกลัวต่อคำตำหนินั้น

 "ท่านพ่อ ท่านแม่ วันนี้ว่างหรือเจ้าคะ ถึงได้เดินถึงศาลาพักใจของลูกได้ แวะนั่งดื่มชาอุ่น ๆ และทานขนมดอกกุ้ยฮัวด้วยกันไหม" 

 จิ้งเจียวเจี๋ยในร่างของจางเสียวเหนี่ยว ค่อนข้างที่จะไม่รู้ขนบธรรมเนียมการถือปฏิบัติของคนยุคโบราณสมัยนี้มากนัก นางจึงได้กล่าวทักทายและพูดในสิ่งที่ใจคิด แต่ผู้เป็นมารดากลับแสดงสีหน้าขุ่นเคืองไม่พอใจหนักเข้าไปใหญ่ 

 

 "หึ ดูเอาเถิด บุตรีสุดที่รักของท่านพี่ แม้การทำความเคารพต่อบิดามารดา นางยังหลงลืมไปแล้ว เป็นเช่นนี้ท่านยังจะเข้าข้างนางอยู่อีกกระนั้นหรือ"

 จางหลิวฮัวกล่าวค่อนแคะ [3] ตำหนิในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของบุตรี แต่กระนั้นก็ยอมเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หัวกลมหัวตัด ตรงโต๊ะหินอ่อนสีขาวในศาลา ข้าง ๆ ดรุณีน้อย

 

 นายใหญ่จาง ผู้เป็นคนกลาง ทางขวาก็ฮูหยิน ทางซ้ายก็บุตรี สตรีทั้งสองล้วนเป็นคนที่เขานั้นรักมาก จึงไม่อาจที่จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้

 แม้เขาจะเห็นด้วยกับคำพูดของภรรยา และก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าเขาเองรู้สึกแปลกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของบุตรี

 โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นกับคนสกุลจางเมื่อหลายวันก่อน มันยิ่งทำให้เขาเริ่มสงสัยมากยิ่งขึ้น และก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้เลย

 ทว่าคนสกุลจางพึ่งผ่านเรื่องร้าย ๆ มาไม่นาน เขาจึงยังไม่อยากจะผลีผลาม พูดหรือทำอะไรโดยพลการ และอยากรอปรึกษาหารือกับบุตรชายคนโต ซึ่งประจำอยู่ยังชายแดนเสียก่อน

 เพื่อไม่ให้ครอบครัวเกิดการทะเลาะเบาะแว้งและผิดใจกัน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัวที่ดี ควรคิดหาวิธีให้ประนีประนอมกัน

 

 จางเส้าชุน นั่งลงยังเก้าอี้อีกตัวข้าง ๆ ฮูหยินของตน ใบหน้ายิ้มปริ่มหน้าบาน จนเผยให้เห็นริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เพิ่มขึ้นมาหลายเส้น 

 "ฮูหยิน เจ้าก็ปล่อยวางบ้างเถอะ ถึงช่วงนี้เหนียวเหนี่ยวจะดื้อรั้นและหย่อนยานเรื่องงานบ้านการเรือนและมารยาทของสตรีไปบ้าง แต่ข้ากลับดีใจ ที่ได้เห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะร่าเริงสดใส สนุกสนาน แถมสุขภาพร่างกายของนางก็แข็งแรงกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ที่สำคัญ ลูกของเราได้แสดงความกล้าหาญ พยายามปกป้องข้าและคนสกุลจาง สมกับที่มีสายเลือดของตระกูลทหารอยู่ในตัว" 

 เขาพูดหว่านล้อม พร้อมหยิบยกเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลัง เกี่ยวกับพฤติกรรมและอุปนิสัยที่เปลี่ยนไปของบุตรี เพื่อหวังให้ภรรยาได้คลายความโกรธลง แต่ไม่นึกเลย ว่ามันกลับเป็นการเติมเชื้อไฟลงไปแทน

 

 "ได้! ท่านพี่กล่าวขึ้นมาเยี่ยงนี้ยิ่งดี ข้าจะได้สะสางคดีเก่า ๆ ของนางให้จบเสียคราวเดียว"

 จางหลิวฮัว เสียงเข้มขึ้น พลางชำเลือง มองตาเขียวไปยังบุตรีและบ่าวคนสนิททั้งสองของนาง 

 

 "คดีเก่างั้นรึ?" ผู้เป็นสามีทวนถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

 

 นาทีต่อมา สองพ่อลูก รวมไปถึงบ่าวและสาวรับใช้ ต่างก็สัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตรายจากแววตาพิฆาตคู่นี้ของจางหลินฮัว ให้ความรู้สึกรังสีอำมหิตเล็ก ๆ คุกรุ่นขึ้น 

 พวกเขารู้สึกว่ามันน่ากลัว มากกว่าตอนที่ประจันหน้ากับผู้ว่าการศาลเสียอีก

 

 "ผู้ใดจะเป็นคนอธิบายให้ข้าฟัง ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตรงชายป่าตรงนอกเมือง เมื่อหลายวันก่อน" จางหลินฮัวเอ่ยถามเสียงเข้ม 

 

 (....)

 เมื่อนางเห็นทุกคนยังนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดตอบคำถาม เจ้าตัวจึงเบนสายตามองลงต่ำไปยังพื้น และพุ่งตรงไปยังข้อเท้าของบุตรี

 "นั่นใช่ไหม ที่เป็นสาเหตุให้เจ้าต้องเดินขาเขผกอยู่นานหลายวัน"

 

 ดรุณีน้อย สะดุ้งตัวเล็กน้อย หันมองหน้ามารดา และทำตาเบิกโตทันที เพราะที่ผ่านมานางพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดและไม่แสดงอาการเจ็บปวดใด ๆ ออกมาต่อหน้าผู้อื่น 

 'ฮูหยินจาง ผู้นี้รู้ได้ยังไงว่าเราบาดเจ็บตรงข้อเท้า ทั้ง ๆ ที่เราพยายามปกปิดอาการปวดไว้ขนาดนั้น แต่ก็ยังถูกคนผู้นี้จับผิดได้ ทำให้รู้สึกว่าคนสมัยนี้ช่างมีสายตาคมกริบและช่างสังเกตเสียจริง ไม่ได้การละ เราต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ เพราะถ้าหากทุกคนรู้ว่าความลับเข้า คงได้ถูกจับขังเพราะคิดว่าจางเสียวเหนี่ยวเป็นบ้าไปแล้วแน่'

 

 จางเสียวเหนี่ยว ตั้งสติและวางตัวให้ปกติที่สุด พร้อมฉีกยิ้มแฉ่งหน้าบานสดใส แม้ในใจยังคงคิดกังวลอยู่ในที ว่าอาจจะถูกคนผู้นี้ จับผิดได้สักวัน

 "ท่านแม่พูดถึงเรื่องอันใด ข้าไม่เห็นเข้าใจเลยเจ้าค่ะ นี่ดูสิ ขาทั้งสองข้างของข้า ก็ยังดูปกติ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนเลย"

 ดรุณีน้อย ทำหน้าตาใสซื่อ ถามมารดากลับอย่างเฉไฉ อีกทั้งยังลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น เพื่อยืนยันในคำพูดของตน แม้จะยังรู้สึกเสียวแปล๊บ ๆ อยู่บ้าง แต่ความเจ็บปวดแค่มดกัดนี้ มันทำอะไรนางไม่ได้เช่นกัน

 

 จางเส้าชุน ไม่รู้ว่าฮูหยินของตนกำลังกล่าวถึงเรื่องใด และเห็นท่าทางเคืองโกรธที่จ้องมองบุตรี ด้วยสายตาคาดคั้นถามหาความจริง เผลอ ๆ อาจจะสั่งลงโทษเหมือนทุกครั้ง เขาจึงรีบออกตัวปกป้องอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

 แผ่นมือหนาของผู้เป็นสามี ถูกวางทาบลงบนหลังมือเนียนนุ่มของภรรยา และลูบคลำเบา ๆ ด้วยความละมุนละม่อม

 "ฮูหยิน ไหน ๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว อีกอย่างตอนนี้เหนียวเหนี่ยวยังดูสุขภาพแข็งแรงดีครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่บาดเจ็บตรงไหนและไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง เจ้าเองก็ช่วยปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเถอะนะ"

 เขาหยุดพูดครู่หนึ่ง สายตาแอบสังเกตดูปฏิกริยาของภรรยา แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนางสีหน้าเรียบตึง เขาจึงกล่าวต่อ

 "...ข้ารู้ ว่าเจ้ารักและเป็นห่วงเหนียวเหนี่ยวมาก จึงได้ดุด่า ว่ากล่าวตักเตือน และเข้มงวดเช่นนี้ เอางี้ ข้ารับปากเจ้า หากวันหน้า ลูกของเรายังกล้าทำผิด แอบหนีออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้านจนทำให้ตัวเองเจ็บตัวกลับมา ข้านี่แหละ จะเป็นคนสั่งลงโทษนางเอง ตกลงไหม"

 

 จางหลินฮัวมองสามีด้วยสายตาค้อน เพราะแม้เขาจะกล่าวเช่นนั้น นางก็รู้ดีว่า เจ้าตัวรักและถนอมบุตรีคนนี้ยิ่งกล้าไข่ในหินเสียอีก ดังนั้นคำพูดนี้ของเขา คนทั้งสกุลจาง ไม่มีใครเชื่อแน่นอน

 "ฮึ ถือว่าครั้งนี้พวกเจ้ายังโชคดี ที่ได้ทำคุณไถ่โทษตอนอยู่ในศาลนั่นแล้ว ช่างเถอะ อย่างไรเสียคำพูดของข้า คงไม่มีน้ำหนักและความหมายอันใด คำสอน คำตำหนิว่ากล่าตักเตือนเหล่านั้น มันคงเป็นเพียงแค่ลมปากให้ทุกคนรำคาญใจ และระคายเคืองหูเสียมากกว่า"

 น้ำเสียงค่อนแคะ และเต็มไปด้วยความน้อยใจของมารดา ได้สื่อผ่านออกมาทางถ้อยคำมากมาย 

 

 อันที่จริง จางหลิวฮัว ไม่ใช่มารดาที่ใจร้าย ตรงกันข้าม นางรักและเป็นห่วงบุตรีคนนี้มากยิ่งกว่าชีวิตของตนเสียอีก 

 แต่หากยังขืนตามใจจางเสียวเหนี่ยวเพิ่มไปอีกคน เห็นทีว่าในวันหน้า การกระทำนี้ของบุตรี อาจจะนำภัยมาสู่เจ้าตัวได้ นั่นคือความกังวลใจของผู้เป็นมารดา

 "เหนียวหนี่ยว ถ้าเจ้ายังทำตัวเหลวไหล ไม่รู้จักโตเช่นนี้ ในภายภาคหน้า หากไร้ซึ่งอำนาจและบารมีของบิดามารดาปกป้อง แล้วใครเล่าจะช่วยดูแลคุ้มครองเจ้าได้ สิ่งเดียวที่พ่อแม่จะมอบให้ นั่นคือตัวเจ้าได้ผ่านการบ่มเพาะ ขัดเกลานิสัยมาอย่างเข้มงวด และถูกปลูกฝังความรับผิดชอบ รู้ผิด รู้ถูก รู้สิ่งใด ควรมิควรกระทำ สิ่งนั้นต่างหาก ถึงจะเป็นเกราะป้องกันภัยให้เจ้าได้อย่างแท้จริง"

 ประโยคของจางหลิวฮัว ช่างกินใจและสร้างความประทับใจต่อดรุณีน้อย พานให้นางหวนคิดถึง คำดุด่า สั่งสอน ว่ากล่าวตักเตือนของผู้บัญชาการ ในโลกปัจจุบัน

 น้ำตารื้นขึ้นมาในดวงตากลมโตใส นางจึงรีบหันไปทางอื่น ๆ และกะพริบตาปริบ ๆ สองสามที

 

 จางฮูหยิน ชำเลืองมองสามีและบุตรีสลับกัน และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนขอด น้อยใจ

 "ช่างเถอะเจ้าค่ะ ถึงท่านพี่จะรับปากข้าเช่นนั้น แต่ประเดี๋ยว ท่านก็คงจะเข้าข้างนางอยู่ดี รีบพูดธุระกับนางเสียเถอะ มิเช่นนั้นจะไม่มีเวลาเพียงพอให้เตรียมตัว"

 

 จางเสียวเหนี่ยว เห็นท่าทีของมารดาเริ่มใจอ่อน นางจึงฉวยโอกาสนั้นเปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียดนั้นลง

 "ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านทั้งสองมีเรื่องอันใดต้องการคุยกับข้า เชิญกล่าวมาได้เลยเจ้าค่ะ"

 

 จางเส้าชุน ดูมีท่าทีกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย

 ภรรยาเห็นท่าทีอิดออดของผู้เป็นสามี นางจึงยกข้อศอกขึ้นมาสะกิดไปที่สีข้างของเขาเพื่อกระตุ้นอีกครั้ง 

 เจ้าตัวจึงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดฟอดใหญ่ และจ้องดวงหน้างามของบุตรีอย่างตั้งใจ

 "พ่อจะมาบอกเจ้า จงเตรียมตัวให้พร้อมแต่เนิ่น ๆ เพื่อรอต้อนรับแขกคนสำคัญที่จะมาเยือน ในช่วงเย็นของวันนี้"

 เขาเริ่มกล่าวในเรื่องที่ตั้งใจไว้ พลางสังเกตปฏิกิริยาตอบกลับของบุตรี

 

 "แขกคนสำคัญ! จากที่ไหนกันเจ้าคะ?" 

 จางเสียวเหนี่ยวด้วยกลับ ดวงตากลมโตฉายแววสงสัยชัดเจนมาก เพราะตั้งแต่ที่ตนฟื้นสติรู้สึกตัวขึ้นมาในยุคโบราณ บ้านนี้ก็ไม่เคยเปิดประตูต้อนรับแขกคนใดมานานมากแล้ว 

[1] "ชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย" คือช่วงเวลาตั้งแต่น้ำชาถูกยกเข้ามา จากนั้นค่อย ๆ จิบจดหมด ความจริงแล้วก็คือ ช่วงเวลาที่น้ำชาหนึ่งถ้วยเย็นลงจนสามารถดื่มได้ หรือก็คือประมาณ 15 นาทีสำหรับฤดูร้อน และไม่ถึง 10 นาทีสำหรับฤดูหนาว

วลี "ชั่วจิบชาหนึ่งถ้วย" จึงกินความได้ทั้ง 10 นาที และ 15 นาที แต่ส่วนมากจะใช้ความหมาย 15 นาที

[2] ยามซื่อ (巳:sì) คือ 09.00 - 10.59 น.

[3] ติ ว่าให้สะเทือนใจ 

...

เซียงไค 盛開