webnovel

0148 สอบปากคำ

ตอนที่ 148 สอบปากคำ 

“ช้าก่อน! ข้าขอไปกับเจ้าด้วย” หลิวฉิงหยานกัดริมฝีปาก ลุกขึ้นยืนอย่างฝืนทน 

กู่ฉิงซานหันหน้ากลับมา จ้องมองไปยังแววตาอันงดงามทว่าแลดูเจ็บปวดของเธอ ปากเอ่ยกล่าวอย่างจริงจัง “ไม่ได้ เจ้าไม่ได้รับอนุญาต จงรักษาตัวที่นี่เสีย” 

สิ้นเสียงก็เดินออกจากค่ายโดยทันใด หาได้คำนึงถึงท่าทีผิดหวังของอีกฝ่ายไม่  

ขณะนี้เขายืนอยู่หน้าค่ายเพียงลำพัง สองเท้าชะงักงันหยุดนิ่ง 

กู่ฉิงซานหยิบถุงอสูรวิญญาณขึ้นมา ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปและตบมันเบาๆ 

พร้อมกับจิ้งจอกหัวเพลิงปรากฏตัวออกมา 

“เจ้าเป็นใคร” เมื่อจิ้งจอกพบว่ามนุษย์ที่เรียกตนมาเป็นคนแปลกหน้า มันก็แยกเขี้ยวใส่เขาทันที 

“หลี่ชูเฉินได้ละเมิดคำสั่งทางทหารจึงถึงตัดหัวโดยข้า และตอนนี้ข้ากำลังมองหาผู้สมคบคิดกับเขา เจ้าเห็นได้ชัดว่ามิใช่ ฉะนั้นโปรดจงกลับเข้าไปยังถุงอสูรวิญญาณเสีย” กู่ฉิงซานกล่าว 

จิ้งจอกได้ฟัง สองตาของมันก็แปรเปลี่ยนไปและกล่าว “นับตั้งแต่ที่เขาสิ้นใจลง ตัวข้าก็จำต้องกลับไปยังนิกายหลิงเฉา” 

“ไม่ได้ เจ้าเป็นอสูรวิญญาณ ฉะนั้นย่อมมิอาจเคลื่อนย้ายหากยังไม่ได้รับอนุญาต” 

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ข้าสัญญาว่าจะหาหนทางที่เร็วที่สุด ในการส่งมอบถุงอสูรวิญญาณถึงมือผู้ฝึกยุทธของนิกายหลิงเฉา ดังนั้นเจ้าโปรดกลับลงไปยังถุงอสูรวิญญาณเสียก่อน” 

จิ้งจอกไม่ยอมฟัง มันหันหลังกลับเตรียมจะวิ่งหนี ในปากเอ่ยกล่าว “ข้าจะไปด้วยตัวเอง ส่วนถุงอสูรวิญญาณนั่น” 

ประกายเย็นวาบกะพริบผ่าน เจ้าจิ้งจอกที่กำลังจะกระโจนหลบหนีถูกประกายเย็นวาบตัดผ่าน ปรากฏฝนเลือดสายกระจายไปทั่ว 

กู่ฉิงซานโยนถุงอสูรวิญญาณใบนั้นทิ้งไป 

และทำการเปิดถุงอสูรวิญญาณอีกหลายใบที่เหลืออยู่ทั้งหมดออกมา 

พยัคฆ์ตาฟ้าลืมตาขึ้น มันหันไปมองอสูรวิญญาณตนอื่นๆ ก่อนจะกลับมามองกู่ฉิงซาน 

“เกิดอันใดขึ้น?” พยัคฆ์ตาฟ้าเอ่ยถาม 

“มิได้เกิดอันใด ข้าเพียงกำลังมองหาตัวฆาตกรที่อยู่ในค่าย” กู่ฉิงซานกวาดสายตามองพวกมันและเอ่ยถาม “อสูรวิญญาณที่แต่เดิมอยู่ภายในถุงเหล่านี้พวกมันคือตัวอันใดกัน และบัดนี้พวกมันหายไปไหน” 

ในมือของเขายังมีถุงอสูรวิญญาณอยู่อีกหลายใบ ทว่าภายในของมันกลับว่างเปล่า 

“นั่นเจ้าคงต้องไปถามกับเจ้านายของพวกเรา พวกเราเพียงอยู่แต่ในถุงอสูรวิญญาณ มิได้รับรู้ว่ามีถุงอสูรวิญญาณอื่นใดอีกบ้างที่เขาได้รับมันมา” 

พยัคฆ์ตาฟ้าเอ่ยกล่าว ขณะที่สายตาของมันเหลือบมองไปยังศพจิ้งจอก 

มันมองไปยังแววตาของกู่ฉิงซาน ก่อนจะสลับเปลี่ยนไปมองแววตาของอสูรวิญญาณตนอื่นๆ 

“ตกลง เช่นนั้นเจ้ากลับเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณได้” เมื่อเห็นว่าคงมิอาจถามถึงสิ่งใดได้อีก เขาจึงกล่าวออกมา 

อสูรวิญญาณเงียบงันโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะทยอยกลับเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณตามลำดับ 

ไป่ไฮ่ตงและเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงยังคงรออยู่ภายในค่ายด้วยความสงสัย ทว่าไม่นานนัก ทั้งหมดก็พบว่ากู่ฉิงซานได้เดินกลับมาแล้ว 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างวิตก “ทุกคนพักผ่อนเถอะ ยังเหลือเวลาอีกกว่าอาทิตย์จะสาดแสง ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” 

ทุกคนปฏิบัติตาม และเมื่อย่างเข้าสู่วันที่สอง ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นอีก 

คนในกลุ่มออกเดินทาง มุ่งไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนยามเที่ยงวัน จึงมาถึงค่ายได้ในที่สุด 

ทันทีที่มาถึง สองผู้ฝึกยุทธบังคับกฎก็ตรงเข้ามา และพาฝูงชนทั้งหลายตรงเข้าไปในค่ายต้าซาง 

ภายในค่ายต้าซาง นายพลจ้องมองมายังกู่ฉิงซานและคนอื่นๆ ก่อนจะเบนสายตาลงมองคำสั่งทางทหาร และทำการตรวจสอบบัตรยืนยันตัวตน 

นายพลผู้นี้สวมเสื้อคลุมเต๋าสีน้ำเงิน มิได้สวมใส่เกราะรบบนร่างกาย 

“เจ้าคือกู่ฉิงซาน?” นายพลหรี่ตาลงจ้องมองเขา 

“เป็นข้าเอง” 

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?” 

“ดูจากชุดที่ท่านสวมใส่ สมควรเป็นคนจากนิกายชิงหยุน (ฟ้ากระจ่าง)” 

นายพลเอนหลังพิงเก้าอี้ สายตาที่จ้องมองมายังเขาแฝงไว้ด้วยความหมาย 

“ข้าคือหวู่สิงเหวินจากนิกายชิงหยุน เป็นผู้รับผิดชอบในด้านการลงทัณฑ์หรือตกรางวัล สำหรับการสู้รบขั้นแตกหักในครั้งนี้” หวู่สิงเหวินกล่าว 

“โอ้ เช่นนั้นคงกล่าวได้ว่าท่านเป็นนายพลขั้นติงหยวนใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามราวกับว่าเขาไม่รู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ 

อันดับของยศนายพลแบ่งออกเป็นสี่ขั้น จากต่ำไปสูง ได้แก่ โหยวจี ติงหยวน หยงเซิ่น และสุดท้ายเฉินเหว่ย 

ในช่วงแรกที่ได้พบกับกงซุน อีกฝ่ายก็เป็นนายพลขั้นติงหยวนเช่นกัน ทว่าหนิงเยว่ฉานที่สวมใส่เกราะทองคำนั้นเป็นนายพลขั้นโหยวจี 

ปัจจุบันนี้ นายพลขั้นหยงเซิ่นที่หลงเหลือเพียงหนึ่งได้ตกตายลงก่อนเวลาอันควร ดังนั้น ในปัจจุบันนี้ นายทหารยศสูงสุดในมนุษยชาติ ย่อมต้องเป็นนายพลขั้นติงหยวน 

“กู่ฉิงซาน ข้ายังคงจดจำสิ่งที่เจ้ากระทำในช่วงทดสอบประจำปีได้อยู่นะ” หวู่สิงเหวินจ้องมองเขา เอ่ยปากกล่าวอีกครั้ง 

“กระนั้นหรือ ข้าได้ฆ่าคนของท่านไป แท้จริงแล้วท่านต้องการจะกล่าวถึงเรื่องนี้ใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างป่วยๆ 

หากเจ้าได้สร้างปัญหาใดๆ ขึ้น เจ้าย่อมต้องพร้อมที่จะเผชิญกับมันโดยมิคิดหลบเลี่ยง เพราะถึงอย่างไรก็หลบไม่พ้นอยู่ดี และที่สำคัญกู่ฉิงซานก็มิใช่ผู้คนที่อ่อนต่อโลกเช่นนั้น 

ปัง! หวู่สิงเหวินตบลงบนโต๊ะ ตะโกนเสียงดังฟังชัด “จำนวนคนที่มาถึงที่นี่ มิได้ตรงกับจำนวนเดิม นอกจากนี้เหตุใดเจ้าจึงได้ล่าช้านัก?” 

ล่าช้า? 

ในภารกิจทางทหาร หากพวกเขาถูกสวมหมวกใบที่เรียกกันว่า ‘ความล่าช้า’ ย่อมหมายความว่าจะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างแน่นอน 

กู่ฉิงซานแสยะยิ้ม เขาจะไม่ยอมให้ตนถูกสวมหมวกใบนั้นเด็ดขาด 

เขากล่าว “พวกเรามิได้ล่าช้า” 

“เช่นนั้นแล้วเรื่องจำนวนเล่า?” หวู่สิงเหวินจี้ถาม 

“ตายแล้ว” 

“ตายได้อย่างไร?” 

“หนึ่งถูกฆ่าลงโดยเผ่ามาร อีกหนึ่งถูกข้าบังคับวินัยทางทหารสะบั้นหัว” 

หวู่สิงเหวิ่นโบกมือ ปากเอ่ยสั่ง “ใครก็ได้ เข้ามาที่นี่ที จงมาสอบปากคำเขาเสีย” 

การสอบปากคำ เป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญมากในการสอบสวนของทหาร 

ผู้ฝึกยุทธออกไปต่อสู้กับเผ่ามารแล้วตกตายมันก็นับว่าไม่เป็นอะไร ทว่าหากเกิดสถานการณ์ทหารฆ่าคนฝ่ายเดียวกัน ไม่สำคัญว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ผู้สังหารจะต้องถูกสอบปากคำ 

หากเป็นจริงว่าผู้ถูกสังหารละเมิดวินัยทางทหาร ก็คงแล้วกันไป แต่ถ้าไม่ละก็… 

หากคุณจงใจฆ่าสังหารด้วยความรู้สึกส่วนตัว การฆ่าผู้อื่นด้วยแนวคิดเช่นนั้น ก็จำต้องชดใช้มันด้วยชีวิตตนเช่นกัน 

ไม่นานนัก ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามา และนั่งลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน 

ดวงตาทั้งสองของเขาเปล่งประกายสดใสเป็นพิเศษ ราวกับว่าจะสามารถมองลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจคนได้ 

“เอาล่ะ จงเอ่ยปากกล่าวมาเสีย จะจริงจะเท็จข้าจะเป็นคนสรุปด้วยตนเอง” ผู้ฝึกยุทธกล่าวอย่างสงบ สองมือของเขาขยับทำงานไม่หยุด 

กู่ฉิงซานรู้ดีในจิตใจว่าอีกฝ่ายมีเทคนิคเทียนซวนประเภทจับผิด เขาจึงเอ่ยทวนเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งอย่างละเอียด 

ผู้ฝึกยุทธคนนั้นเฝ้าตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ปากเอ่ยคำถามออกมาเป็นจำนวนมาก และให้กู่ฉิงซานคอยตอบทีละข้อ ทีละข้อ 

ในที่สุดผู้ฝึกยุทธก็พยักหน้า หันไปเอ่ยกล่าวทางหวูสิงเหวิน “เขาพูดความจริงทั้งหมด”

หวู่สิงเหวินมองไปยังผู้ฝึกยุทธรายนั้นด้วยความผิดหวัง และไม่เอ่ยปากกล่าวอะไรออกมาอยู่นาน 

ผู้ฝึกยุทธเห็นท่าทีเช่นนั้น จึงพยักหน้าอีกครั้งและกล่าว “เขามิได้โป้ปด” 

หวู่สิงเหวินโกรธจนตาเขียว ปากเอ่ยกล่าว “เจ้ารุ่นเยาว์ที่เรียกว่าหลี่ชูเฉินนั่น สมองมันมีปัญหาอันใดหรือเปล่า ถึงแอบฆ่าสหายร่วมทีมเช่นนี้” 

คิ้วของเขาขมวดกัน บนใบหน้าเผยถึงความอ่อนล้าและสับสนอย่างลึกซึ้ง 

คราวก่อนที่คนจากนิกายตนได้พ่ายแพ้และถูกสังหารลงโดยกู่ฉิงซาน เขาก็รู้สึกอัดอั้นตันใจมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว พอมายามนี้ ตนได้มีโอกาสได้ล้างแค้นโดยมิต้องสนว่าอีกฝ่ายเป็นคนของนิกายร้อยบุปผา ทว่าสุดท้ายก็มิอาจทำได้ จำต้องปล่อยเขาไปอย่างไม่เต็มใจ 

แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ เพราะตอนนี้ที่ต้องกังวลจริงๆ คือเรื่องงานต่างหาก 

ได้ยินแค่เพียงเสียงเอ่ยพึมพำเบาๆ ของหวู่สิงเหวิน “แนวหน้าเมื่อไม่นานมานี้แท้จริงแล้วเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ดิสก์ค่ายกลในค่ายทหารเกิดความผิดปกติขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่นนี้สมควรจะกล่าวว่าดิสก์ค่ายกลไม่ดี หรือว่าคนทรยศยังไม่ถูกจับตัวได้ทั้งหมดกันแน่?” 

การสู้รบขั้นแตกหักเหลืออีกเพียงแค่สองวัน 

ทว่าเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ อย่าได้เอ่ยถึงการสู้รบขั้นแตกหักเลย ตราบใดที่มิอาจยืนยันถึงเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้ มนุษยชาติย่อมไม่มีโอกาสที่จะชนะ 

แม้จะกระจ่างใจดีว่ามันถึงช่วงเวลาแห่งการสู้รบขั้นแตกหัก ทว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ มันยังเหมาะสมที่จะริเริ่มต่อสู้อยู่อีกหรือ? 

กู่ฉิงซานนั่งอยู่อย่างเงียบๆ มิได้เอ่ยแทรกใดๆ 

หวู่สิงเหวินวางบัตรยืนยันตัวตนของกู่ฉิงซานลง ตัวเขาขณะนี้ราวกับถูกทุบตีด้วยหลากวิชาลับ ปากเอ่ยกล่าวอย่างไม่เต็มใจ “ช่วยเปิดเผยถึงปัญหาคนทรยศ ช่วยชีวิตสมาชิกทหาร จากที่ประเมินดูแล้ว เจ้าสมควรได้รับสิบแต้มความสำเร็จ” 

ระหว่างกล่าว เขาก็โยนบัตรยืนยันตัวตนออกไป 

กู่ฉิงซานคว้ารับมัน กวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป และเห็นว่าในบัตรยืนยันตัวตนของเขา มีแต้มความสำเร็จทางทหาร รวมกันอยู่ทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยสิบห้าความสำเร็จ 

หากสะสมจนกระทั่งไปถึงหนึ่งร้อยแปดสิบความสำเร็จ เขาก็จะได้เลื่อนยศขึ้นเป็นนายทหารชั้นพันโท ตอนนี้ขาดเหลืออีกเพียงหกสิยห้าแต้มเท่านั้น 

“เอาเถอะ เจ้าพาพวกเขาออกไปได้” 

หวูสิงเหวินไม่คิดจะใช้สายตาเหลือบแลอีก เขาโบกมือส่งสัญญาณให้แก่ผู้ฝึกยุทธที่ยืนขนาบข้างซ้ายขวา ให้พากลุ่มของกู่ฉิงซานออกไป 

ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งผงกหัวรับ และเดินนำทางพวกเขาจากไป 

หวู่สิงเหวินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว 

“ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้น?” ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎที่ยืนขนาบข้างอีกคนเอ่ยถามอย่างสงบ 

ตอนนี้คนอื่นๆ ได้ออกไปแล้ว ทว่าพวกเขายังคงอยู่ในเต็นท์ทหาร  ภายในหลงเหลือเพียงคนจากนิกายชิงหยุน ยามเรียกขานจึงมิจำเป็นต้องเอ่ยถึงยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ 

หวู่สิงเหวินส่ายหัว เอ่ยปากกล่าวอย่างไม่เต็มใจ 

“น่าเศร้าใจนัก ศิษย์น้องเล็กของพวกเราเพียงต้องการไปเฉิดฉายในการทดสอบประจำปี ทว่ากลับต้องมาสิ้นชีพลง” 

เหล่าผู้ฝึกยุทธเหลือบมองกัน แต่ยังคงเงียบ 

ในหัวใจของพวกเขานั้นกระจ่างชัด ว่าคนที่ท่านนายพลกล่าวถึงนั้นคือหลี่ฉางอัน ที่สร้างความโกรธแค้นให้แก่กู่ฉิงซานแห่งนิกายร้อยบุปผาในการทดสอบประจำปี สุดท้ายจึงถูกสะบั้นหัวสิ้นชีพลงภายใต้คมดาบของอีกฝ่าย

........................................