webnovel

0149 ตั้งรกราก

ตอนที่ 149 ตั้งรกราก 

อีกด้านหนึ่ง 

กู่ฉิงซานและคนอื่นๆ ติดตามผู้ฝึกยุทธบังคับกฎออกมายังเบื้องนอก 

ระหว่างนำทางไป ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎก็เอ่ยถามออกมา “พวกเจ้าสังกัดนิกายใดกันบ้าง?” 

“นิกายร้อยบุปผา” 

“สำนักเหยากวาง” 

“นิกายเทียนจี” 

ผู้บังคับกฎหันกลับมา มองไปยังเกราะรบชั้นพันตรีของกู่ฉิงซานและกล่าว “ที่แท้เจ้าก็คือสิบห้าดาบแห่งนิกายร้อยบุปผานี่เอง” 

สีหน้าของเขาเริ่มร้อนแรงขึ้น เอ่ยกล่าวอย่างลังเล “ค่ายแห่งนี้ มีเจ้าเพียงคนเดียวที่อยู่นิกายร้อยบุปผา ส่วนคนจากนิกายเทียนจีนั้นหามีไม่ ทว่ามีผู้ฝึกยุทธหลายคนจากสำนักเหยากวางพึ่งมาถึงเมื่อวานนี้” 

“หนึ่งในนั้นมีผู้ฝึกยุทธที่มีนามว่าเหลิงเทียนสิงหรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

“เจ้าพันเอกหน้าตายอย่างกับน้ำแข็งผู้นั้นน่ะหรือ?” ผู้บังคับกฎกล่าว “เจ้าต้องการให้ข้าพาไปพบเขาหรือไม่?” 

“ทางเรามีผู้ฝึกยุทธหญิงหลายคนที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ ท่านโปรดช่วยจัดหาสถานที่พักฟื้นให้แก่พวกนางก่อนเถิด เรื่องของข้าเอาไว้ทีหลังก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเร่งรีบ 

ผู้บังคับกฎพยักหน้า และนำพวกเขาไปยังสถานที่ที่ผู้ฝึกยุทธรวมตัวกันอยู่ 

ในสถานที่แห่งนี้ ตามพื้นดินประปรายไปด้วยเลือดสีดำส่งกลิ่นสาบตลบอบอวล ปรากฏร่างของผู้ฝึกยุทธที่ได้รับบาดเจ็บกระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณ หลายคนกำลังถูกรักษา เสียงครวญครางดังออกมาไม่หยุดหย่อนจนคนฟังแสบแก้วหู 

มองไปยังฉากอันน่าอนาถและยุ่งเหยิงโดยรอบ 

คิ้วของกู่ฉิงซานขมวดมุ่น หนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือ หันไปกล่าวกับผู้บังคับกฎ “โปรดท่านช่วยหาสถานที่ที่ดีกว่านี้จะได้หรือไม่ พวกนางได้รับบาดเจ็บสาหัส ค่อนข้างน่าวิตกยิ่ง หากให้อยู่ทำสมาธิพักฟื้นที่นี่ เกรงว่าแม้กระทั่งการปรับลมหายใจยังเป็นการยาก” 

ระหว่างกล่าว เขาก็ยื่นมือออกไปพร้อมกับศิลาวิญญาณที่เต็มกำมือ 

“อย่าเรื่องมากนักเจ้า โอ๋?” 

ผู้บังคับกฎแสร้งทำเป็นปฏิเสธ ใช้มือข้างหนึ่งที่แนบถุงสัมภาระเอาไว้ ปัดมายังมือของกู่ฉิงซาน พร้อมกับศิลาวิญญาณในมือเขาได้หายวับไป 

ผู้บังคับกฎขบคิด ปากเอ่ยกล่าวอย่างยากลำบาก “แต่ในค่ายทหารมีผู้คนอยู่มากเกินไป บางที...” 

กู่ฉิงหยิบยันต์สื่อสารออกมาและกล่าว “นี่คือยันต์สื่อสารของข้า หลังจากนี้ หากท่านรับมัน พวกเราก็จะถือได้ว่าเป็นสหายเต๋าร่วมกัน และข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อนรับท่านในฐานะแขกของนิกายร้อยบุปผา” 

ได้รับคำเชื้อเชิญจากนิกายร้อยบุปผา! 

ผู้บังคับกฎไม่แสร้งอมพะนำเยิ่นเย้ออีกต่อไป เขาคว้าจับมันในทันที 

เขามองไปยังเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงและเห็นตามเสื้อผ้าของพวกนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด สีหน้าแลดูซีดเซียว แข้งขาแม้จะยังยืนและเดินไหว แต่ก็สั่นไม่หยุดจนเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า ทั้งหมดกำลังช่วยพยุงและประคับประคองกันและกัน 

และหนึ่งในนั้นดูจะอ่อนแอมากเป็นพิเศษ เห็นได้จากทั่วทั้งร่างของเธอที่สั่นสะท้าน จนต้องให้สองคนช่วยพยุง 

ด้วยสภาวะเช่นนี้ การฝืนพักฟื้นอยู่ที่นี่มันก็ไม่เหมาะสมจริงๆ อาจกล่าวได้ว่าหากเกิดอุบัติเหตุใดๆ ที่ทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกขึ้นมาล่ะก็ มิเพียงจะเป็นการทำร้ายชีวิตของพวกนาง แต่ยังก่อให้เกิดปัญหาอันน่าลำบากใจมากยิ่งขึ้นตามมาอีกด้วย  

ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่รู้ตัว 

เขาไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว “นั่นสินะ พวกเจ้าห้ำหั่นตัดสะบั้นศีรษะมารไปมากมายจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ แท้จริงแล้วก็สมควรจะได้รับสถานที่พักฟื้นที่ดีเป็นพิเศษ…ข้าว่าข้านึกออกแล้วว่าพวกเจ้าสมควรไปยังสถานที่ใด จงตามข้ามา” 

ทั้งหมดติดตามผู้บังคับกฎ ข้ามผ่านพื้นที่ส่วนกลาง จนกระทั่งมาถึงมุมทางทิศตะวันตกของค่าย 

มิจำเป็นต้องสำรวจอย่างถี่ถ้วนก็พอจะบอกได้ว่าสถานที่แห่งนี้เหมาะสมแก่การพักฟื้นอย่างแท้จริง เสียงของผู้คนและเสียงรบกวนต่างๆ มิได้ดังลอดมาจนถึงที่นี่ ส่งผลให้บริเวณโดยรอบค่อนข้างเงียบสงบและผ่อนคลาย 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปเล็กน้อย และพบว่าที่มุมแห่งนี้ เป็นสถานที่ตั้งของค่ายกลที่ใช้ฟื้นฟูพลังวิญญาณ มันจึงมีพลังงานวิญญาณมากมายไม่มีที่สิ้นสุด 

ผู้ฝึกยุทธหญิง มองฉากตรงหน้า  บังเกิดความพึงใจขึ้นในจิตใจ 

กู่ฉิงซานหันไปกล่าวขอบคุณผู้ฝึกยุทธบังคับกฎ 

จากนั้นก็หันกลับมามองเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงและกล่าวอย่างอ่อนโยน “อันดับแรก มิจำเป็นต้องคิดสิ่งอื่นใด พวกเจ้าสมควรพักรักษาตัวก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยกล่าวกันทีหลัง” 

“ขอบพระคุณศิษย์พี่กู่” 

ผู้ฝึกยุทธหญิงหลายคนมองมายังเขา ระลึกย้อนถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายอันน่าหวาดหวั่นที่พึ่งผ่านพ้นมา ในจิตใจบังเกิดความรู้สึกรู้คุณอยู่หลายส่วน 

หวังหนิงเซี่ยงยื่นมือออกไปเบื้องหน้า ส่งยันต์สื่อสารให้แก่เขา 

กู่ฉิงซานรับมันมา ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป ภายในปรากฏคำกล่าวของหนิงเยว่ฉานไม่กี่คำ “เจ้าจงบอกเขาด้วยว่า หากเขาว่างเว้นจากกิจทางทหารเมื่อใด ขอจงส่งข่าวมาหาข้า” 

เขายื่นยันต์สื่อสารกลับคืนแก่หวังหนิงเซี่ยง ปากเอ่ยกล่าว “เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว อีกครู่หนึ่ง ข้าจะติดต่อไปหานางเอง”

กู่ฉิงซานพยักหน้าให้เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิง จากนั้นจึงพาไป่ไฮ่ตงตามติดผู้บังคับกฎออกไปยังภายนอก 

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังเดิน เขาก็หยิบเอายันต์สื่อสารออกมา สองคิ้วขมวดเข้าหากัน พลังวิญญาณหลั่งไหลตรงเข้าไปในยันต์สื่อสาร 

บนตัวยันต์สื่อสาร ปรากฏตราสัญลักษณ์ต้นกล้วยไม้ขนาดเล็ก 

ผู้ฝึกยุทธหญิงหลายคนที่อยู่ห่างออกไป เพียงแค่มองเห็นตรานั่น ก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันคือยันต์สื่อสารของหนิงเยว่ฉาน 

สลับกลับมามองกู่ฉิงซานอีกครั้ง พวกเธอก็พบว่าสีหน้าของเขาช่างดูเคร่งเครียดยิ่ง ราวกับกำลังจะถ่ายทอดคำกล่าวที่เป็นเรื่องสำคัญลงไป 

เห็นได้ชัดว่าเขาได้ช่วยเหลือชีวิตของทุกคนออกมาจากวงล้อมเผ่ามารอย่างเต็มกำลัง ทว่าเขากลับหาได้หยิ่งทะนงใดๆ เลย มิได้แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิในตนเองแม้เพียงน้อย 

เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงผู้ฝึกยุทธชายในนิกายของตนเอง ที่เพียงแค่กระทำสิ่งดีๆ เล็กๆ น้อยๆ ก็นำมาโอ้อวดกับหนิงเยว่ฉานเสียแล้ว โอ้อวดราวกับตัวโง่งมเพียงเพราะแค่ต้องการได้ใกล้ชิดกับนักบุญหญิง 

หวังหนิงเซี่ยงเอียงตัว วางคางเรียวของเธอลงบนไหล่ของหลิวฉิงหยาน จ้องมองไปยังแผ่นหลังของชายชาตรีที่ค่อยๆเดินจากไป และถอนหายใจออกมา 

“เจ้าเป็นอะไรงั้นหรือ?” ซางฉุ่ยเหวยกับดงซูเอ่ยปากถามขึ้นพร้อมกัน 

ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง ลางสังหรณ์ของพวกเธอที่มีต่ออีกฝ่ายจึงย่อมดีมากเป็นพิเศษ เพียงได้ยินเสียงถอนหายใจ และสีหน้าที่เผยออกมา ก็พอจะรับรู้ถึงอะไรบางอย่างได้ 

“เดิมทีตัวข้าเคยคิดว่า มีเพียงตัวตนที่มีพรสวรรค์โดยธรรมชาติอันโดดเด่นอย่างนักบุญหญิงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้จิตใจของข้าหวั่นไหวได้” หวังเซี่ยงหนิงกล่าว “ทว่าปัจจุบันนี้ดูเหมือนจะหาได้เป็นเช่นนั้นไม่” 

“เจ้ากำลังหมายถึงสิ่งใด?” ดงซูเอ่ยถาม 

“อยากรู้งั้นหรือ? ลองมองเข้ามาในตาข้าสิ เห็นภาพของผู้ใดสะท้อนออกมาหรือไม่” หวังหนิงเซี่ยงพึมพำอย่างเงียบๆ  

...  

กู่ฉิงซานกับไป่ไฮ่ตงเดินไปตามเส้นทางในค่ายทหาร โดยมีผู้บังคับกฎคอยนำทาง มุ่งหน้าไปหาเหลิงเทียนสิง 

“จงหยุดประเดี๋ยวนี้!” 

ทันใดนั้นเอง ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็วิ่งตรงออกมาจากมุมถนน ยืนกีดขวางเส้นทางของพวกเขาไว้ 

เขาเป็นผู้ฝึกยุทธหนุ่ม ในดวงตาปรากฏสีแดงระเรื่อ คล้ายกับว่าเขาพึ่งร่ำไห้มา 

ชายหนุ่มจดจ้องมายังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าว “เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลี่ชูเฉิน?” 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาของเขาเล็กน้อย และเห็นว่าในมือของอีกฝ่ายกำลังถือแส้ฝึกอสูร ขณะที่ตรงเอวแขวนถุงอสูรวิญญาณเอาไว้สี่ถึงห้าใบ เพียงเท่านี้ก็พอที่จะระบุสถานะของคนที่อยู่เบื้องหน้าได้แล้ว 

“ใช่แล้ว เป็นข้าเองที่ฆ่าเขา” กู่ฉิงซานพยักหน้ากล่าว 

“สารเลวเจ้ามันปีศาจร้าย” ผู้ฝึกยุทธหนุ่มตั้งท่าเตรียมต่อสู้ ทว่าเขาก็ถูกผู้บังคับกฎที่นำทางทั้งสองมาจับตัวเขาเสียก่อน 

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ผู้บังคับกฎเอ่ยถามอย่างดุดัน 

“ทำอะไรน่ะหรือ! เหตุใดท่านจึงมิถามมันเล่า มันสังหารพี่น้องของข้า!” ผู้ฝึกยุทธหนุ่มอุทานลั่น “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ข้าจะต้องล้างแค้นให้ศิษย์พี่ข้า!” 

ขณะนั้นเอง ผู้ฝึกยุทธกลุ่มหนึ่งบ้างยังเยาว์บ้างชราก็แทรกตัวออกมาจากฝูงชนโดยรอบที่เริ่มมามุงดู 

ผู้ฝึกยุทธอาวุโสเดินตรงเข้ามา ก่อนจะโค้งหัวลงให้แก่ผู้บังคับกฎและกล่าว “โปรดอย่าถือสา โปรดอย่าถือสา เขายังเยาว์นัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาเปิดหูเปิดตา ยังมิอาจเข้าใจถึงเรื่องวินัยทางทหาร” 

ผู้บังคับกฎเข้าใจอีกฝ่ายดี ดูก็รู้ว่าคนตรงหน้าคืออาวุโสแห่งนิกายหลิงเฉา ที่พึ่งได้รับรู้เรื่องราวผ่านยันต์สื่อสารไป “จงดูมันซี! ที่นี่คือค่ายทหารมิใช่สนามเด็กเล่น หากคนที่อ้ายทารกนี่ไปหาเรื่องเป็นทหารระดับนายพลขึ้นมา คงมิมีผู้ใดช่วยเขาได้แล้ว!” 

อาวุโสคนนั้นน้อมรับคำกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมองมายังกู่ฉิงซาน 

“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยู่สำนักใดกัน เหตุใดจึงไร้ความปรานีเยี่ยงนี้” เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูหม่นหมอง

เมื่อพบเจอกับคำถามเช่นนี้ คิ้วของกู่ฉิงซานก็พลันยกสูงขึ้น 

“ท่านมิจำเป็นต้องใส่ใจหรือกว่าข้ามาจากสำนักใด” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างช้าๆ “ทว่าคนของท่านน่ะ รักในชีวิต และหวาดกลัวความตาย หลบหนีซ่อนเร้นในยามที่ศัตรูบุกรุกเข้ามา เปิดทางให้พวกมันตรงเข้าไปในค่าย ฆ่าสังหารนายทหารชั้นพันตรีของเรา หากมิใช่เพราะพวกเรายังพอจะมีโชคอยู่เพียงเล็กน้อย ห้าผู้ฝึกยุทธหญิงที่กำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ คงตกตายก่อนวัยอันควรในที่แห่งนั้นไปแล้ว” 

“ดังนั้นข้าจึงสะบั้นหัวเขา ตามวินัยทางทหาร และได้ทำการสอบปากคำต่อหน้าท่านนายพลไปแล้ว จึงถูกปล่อยตัวออกมา เดินทางมาจนถึงที่นี่ โดยมิได้เป็นปัญหาใดๆ” 

เขาจ้องมองไปยังฝ่ายตรงข้ามและเอ่ยปากกล่าว “ทหารที่หลบหนีไปอย่างขลาดเขลา ข้าจึงลงมือสังหารตามความผิดที่สมควรจะได้รับ แต่ดูที่ท่านกำลังกล่าวกับข้าในตอนนี้ซี? ใช่ต้องการใช้พื้นฐานวรยุทธตนมาข่มข้าใช่หรือไม่?” 

คำกล่าวเหล่านี้ เมื่อถูกเปล่งออกมา เหล่าผู้ฝึกยุทธที่มุงดูอยู่คนแล้วคนเล่า ต่างก็พยักหน้าโดยพร้อมเพรียง ขณะที่บางคนก็โห่ร้อง 

ในค่ายทหาร ที่ทุกผู้คนสวมเครื่องแบบทางทหารเฉกเช่นเดียวกัน ไม่สมควรที่จะละทิ้งสหายเพียงเพราะรักในชีวิต หวาดกลัวความตาย การกระทำเช่นนั้นมีแต่จะทำให้โดนผู้อื่นดูถูกเหยียดหยันเท่านั้น

........................................