ตอนที่ 147 วินัยทางทหาร
มารงูหนามอาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในมารอสูรที่จัดการได้ยากที่สุดในขอบเขตก่อตั้ง!
“เจ้าผู้ฝึกดาบ เหตุใดจึงสามารถค้นพบตัวตนของข้าได้?” มันเอ่ยถามอย่างโหดเหี้ยม หนามแหลมตามตัวพ่นหมอกพิษออกมา
“การยังครองตนเป็นมารอยู่เช่นนี้ นับว่ามิใช่เรื่องที่ดีเลย วันเวลายิ่งผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่ ท่านก็จะยิ่งสูญเสียความคิดไปมากเท่านั้น เหตุใดผู้อาวุโสถึงไม่ยอมกลายเป็นอสูรวิญญาณเสียทีเล่า?” กู่ฉิงซานกล่าวเตือน
มารงูหนามเลื้อยวนไปรอบๆ ตัวกู่ฉิงซานเป็นวงกลมและกล่าว “เฮอะ! ข้าก็อยากจะเป็นอสูรวิญญาณเช่นกัน ทว่าพวกอสูรวิญญาณน่ะมันจะไม่สามารถกินเนื้อสดๆ ของมนุษย์ได้น่ะสิ!”
กู่ฉิงซานเหลือบมองไปยังค่ายเบื้องหลังเขา แต่กลับพบว่ายังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
‘พิกลนัก ภายนอกเกิดเสียงดังสนั่นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดก้าวออกมา?’
ทว่าเขาไม่มีเวลาเพียงพอที่จะได้ทันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมารงูหนามได้กระโจนเริ่มเปิดฉากโจมตีเขาอย่างกะทันหัน
พิษฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศ กู่ฉิงซานจำเป็นต้องล่าถอยไปยังจุดที่ห่างออกไป
งูหนามไม่คิดจะปล่อยเหยื่อผู้นี้ไปง่ายๆ มันไล่ตามติด หนึ่งคนหนึ่งงู หนึ่งโจมตีหนึ่งหลบเลี่ยง พัวพันกันชุลมุน เริ่มออกห่างจากค่ายที่พักไกลออกไป ไกลออกไปเรื่อยๆ
กู่ฉิงซานก้มมองลงมองตำแหน่งที่ตนอยู่ในขณะนี้ ก่อนที่ร่างจะกะพริบวูบ พุ่งตรงกลับไปยังทางประตูค่าย
“เจ้าผู้ฝึกดาบจอมเจ้าเล่ห์!” มารงูหนามคำรนเสียงต่ำ
ปง!
ทันใดนั้นเอง ภายในค่ายก็บังเกิดเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์อย่างฉับพลัน
แย่ล่ะสิ! สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย เขาหมุนตัวกลับมา ทว่าก็ต้องพบกับหนามแหลมของมารงูหนามอย่างกะทันหัน
มารงูหนามนั้นครอบครองพิษที่รุนแรงยิ่ง การไม่ปล่อยให้มันสัมผัสถูกร่างกายโดยตรงจะเป็นการดีที่สุด
กู่ฉิงซานจำต้องหันกลับไป เพื่อตอบโต้ศัตรู
รังสีดาบในมือพลันลุกไหม้ เปลวเพลิงท่วมท้นขึ้นเรื่อยๆ เพียงครู่ มันก็พร้อมที่จะระเบิดกระบวนท่าดาบออกไปได้ทุกเมื่อ
‘นี่มันมีอะไรแปลกๆ’ เขาสังเกตพลางขบคิด แม้ดูเหมือนว่ามารงูหนามจะทำการโจมตีใส่เขาอย่างต่อเนื่อง ทว่านั่นมันก็เปลี่ยนเพียงการโจมตีแบบสุ่มๆ และขณะเดียวกันมันก็คอยรักษาระยะห่างจากเขาอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
กู่ฉิงซานคาดคำนวณระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่าย และพบว่าระยะนี้ยังมิอาจใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วได้
ทำไมมันถึงรักษาระยะห่างกับฉัน หรือว่า...แท้จริงแล้วมันกำลังพยายามถ่วงเวลาเอาไว้!?
ในหัวใจของกู่ฉิงซานพลันกระจ่างแจ้ง โบกสะบัดดาบในมือปลดปล่อยรังสีดาบเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายต้องล่าถอยไป ขณะเดียวกันก็ปลีกตัววิ่งกลับไปยังค่าย
มารงูหลามเห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้า มันพ่นหมอกพิษออกมาทันใด กีดขวางเส้นทางเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
‘มันพยายามที่จะหยุดฉัน ชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องการให้ฉันกลับไปช่วยเหลือ!’
กู่ฉิงซานเข้าใจทุกอย่างแล้วอย่างถ่องแท้
เขาเอื้อมมือขึ้นคว้าจับธนูเย่หยู และเริ่มใช้สกิลโดยตรง
ระบำผันผวน!
ระบำผันผวน!
ระบำผันผวน!
สามสิบศรแปรเปลี่ยนเห็นเพียงเงา พุ่งฉีกอากาศตรงไปยังงูหนาม
มารงูหนามมิคาดคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีความสามารถในการต่อสู้ระยะไกลเช่นนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนฉับพลัน มันจึงมิอาจป้องกันได้และถูกลูกศรดอกแล้วดอกเล่าที่เคลื่อนไหวอย่างไร้รูปแบบยิงเข้าใส่
กู่ฉิงซานไม่หยุดมือง่ายๆ ลมหายใจต่อมา ศรดอกต่อไปก็ถูกผละออกอีกครั้ง
มารงูหนามถูกยิงกระหน่ำจนร่างมันโยกไปมาอย่างไร้ทิศทาง สักพักมันก็ร่วงกระแทกลงกับพื้นและมิกล้าเชิดหน้าขึ้นมาอีกเลย
‘เอาเถอะ เจ้าบ้าดาบนี่มันโหดเหี้ยมเกินไป เสนอหน้ามากไปกว่านี้ก็คงไม่ดี เพราะอย่างไรก็ตาม ภารกิจที่ข้าได้รับก็นับว่าเสร็จสิ้นลงแล้ว’
รอจนกระทั่งผู้คนเหล่านี้หลงเหลืออยู่เพียงแค่ผู้ฝึกดาบ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าค่อยมาจัดการกับเขาอีกครั้งอย่างช้าๆ ก็ยังไม่สาย
มารงูหนามคิด และค่อยๆ ถอยฉากไปอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานละความสนใจจากมันโดยสิ้นเชิง เขาเร่งวิ่งเข้าไปในค่าย สองตาหรี่แคบลง เพราะเบื้องหน้าเขากลับต้องพบเจอกับมารงูหนามถึงสองตน!
จางฟางยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิง ทั้งร่างของเขาปกคลุมไปด้วยเลือด
เกราะรบชั้นพันตรีของเขาก็ยังคงมิบุบสลายใดๆ ทว่ากลับปรากฏสองรูที่เกิดจากหนามแหลมทิ่มลึกเข้าไปในช่องว่างระหว่างเกราะรบ และเลือดก็ไหลทะลักออกมาจากจุดนั้น
ไป่ไฮ่ตงล้มตัวนอนอยู่กับพื้น กระอักเลือดออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“จงตายเพื่อข้าซะ!”
ร่างเขาหายวับไปอย่างกะทันหัน และปรากฏขึ้นอีกครั้งด้านบนของมารงู ดาบพิภพในมือเล็งง้างตรงลงมายังหัวของมัน
ดาบพิภพและกู่ฉิงซานหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นรังสีดาบสีขาวนวลดั่งแสงจันทร์ขนาดยักษ์
บรัช!
ศีรษะของมารงูถูกสับสะบั้นลอยคว้างกลางอากาศ ร่างอันยาวเหยียดทิ้ง ‘ตุบ’ ลงกระแทกกับพื้น ขดเป็นเกลียว ดิ้นเร่าๆ อย่างคลุ้มคลั่ง
มารงูหนามอีกตัวอ้าปากเตรียมจะพ่นหมอกพิษออกมา แต่ทว่ากู่ฉิงซานกลับฉวยโอกาสนั้นเล่นงานมันแทน ศรทำลายมารปรากฏขึ้นในมือของเขา และถูกขว้างออกไปทั้งๆ อย่างนั้น จ้วงเสียบลึกเข้าไปในปากมารงู ระเบิดสมองศัตรูจนกลายเป็นหลุมลึก
สองมารงูหนามตกตายลง ทว่ากู่ฉิงซานกลับไม่มีเวลามัวไปสนใจพวกมัน เขาเหลียวหลังกลับ วิ่งตรงไปช่วยพยุงจางฟางให้นั่งลงอย่างช้าๆ
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ คว้าหยิบเม็ดยาฟื้นฟูออกมาอย่างรวดเร็ว และวางมันลงไปใกล้ปากของจางฟาง
“นี่คือเม็ดยาล้างพิษ รีบกินมันเร็วเข้า” เขากล่าว
จางฟางผลักมือของเขาออกไป ในปากเอ่ยงึมงำ “มันสายไปแล้ว พิษได้แพร่กระจายไปทั่วเส้นชีพจรลมปราณทั่วร่างของข้าแล้ว มิเหลือเวลาอีกต่อไป”
“ข้าเฝ้ารอให้เจ้ากลับมาสนับสนุน ตอนนี้นางก็ปลอดภัยแล้ว ข้าจะได้หายห่วงเสียที”
จางฟางหันหน้าไปมองหลิวฉิงหยานด้วยความคะนึงหา ปากอ้ากว้างถอนหายใจออกมา “อนิจจา นี่ข้าจะต้องมาตายลงเช่นนี้หรือนี่…”
ระหว่างกล่าว หัวของเขาก็ค่อยๆ ตกลง ทั้งคนทั้งร่างนิ่งค้างราวกับถูกแช่แข็ง ไร้ซึ่งสัญญาณชีวิตใดๆ อีกต่อไป
ความผันผวนของพลังวิญญาณแตกสลายลง
หลิวฉิงหยานจ้องมองดูเขาอย่างเหม่อลอย น้ำตาไหลลงมาเป็นสองเส้นสายอย่างเงียบๆ
ผู้ฝึกยุทธหญิงคนอื่นๆ ต่างพากันร่ำไห้ออกมา
กู่ฉิงซานคว้าตัวไป่ไฮ่ตง เอ่ยถามคำหนึ่ง “แล้วหลี่ชูเฉินเล่า?”
“ข้ายังไม่เห็นเขาเลย” ไป่ไฮ่ตงหอบหายใจกล่าว
กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะลงบนร่างของอีกฝ่าย เมื่อพบว่าแม้จะบาดเจ็บแต่ไม่ต้องพิษ เขาก็ป้อนเม็ดยารักษาเข้าไปในปาก
“แล้วเจ้ามารงูหนามสองตัวนี่ มันมาจากที่ใดกัน” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“มาจากทางส่วนหัวของค่าย” หลิวฉิงหยานกล่าวทั้งน้ำตาอาบหน้า
ส่วนหัวค่าย?
กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ทั้งคนทั้งร่างเกือบจะแข็งค้างในทันที
เขาอยู่เฝ้าปกป้องด้านท้ายของค่าย ส่วนหัวค่ายนั้น ถูกรับผิดชอบโดยหลี่ชูเฉิน
“ค่ายกลป้องกันเล่า? มันมิได้แจ้งเตือนล่วงหน้าหรือ เหตุใดเจ้าจึงไม่อาจเตรียมพร้อมรับมือได้เช่นนี้?”
“ค่ายกลเกิดความผิดปกติขึ้น รูปการณ์เป็นเฉกเช่นเดียวกันกับในค่ายหุบเขาธารน้ำตกทุกประการ” หลิวฉิงหยานกล่าวร่ำไห้
กู่ฉิงซานลุกขึ้น ก้าวตรงไปยังที่ตั้งค่ายอาคมของค่าย จ้องมองมันอย่างละเอียด
ดิสก์ค่ายกลนี้เกิดความเสียหายขึ้นเล็กน้อย ทว่าความเสียหายนั้นมิได้มากมายอันใด มันเพียงมุ่งเน้นทำลายในด้านการทำงานของค่ายกลให้เกิดความผิดปกติขึ้นเท่านั้น
กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลใหม่เอี่ยมออกมาวาง และเริ่มทำการจัดวางรูปแบบค่ายกลอีกครั้ง
“ข้าได้จัดวางค่ายกลใหม่เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าจะต้องอยู่ในตำแหน่งเดิม ที่นี่ ตรงนี้ ทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนย้ายใดๆ ข้ากลับมาหากพบว่าใครมิได้อยู่ที่เดิม ข้าจะฆ่ามันเสีย!”
กล่าวเสร็จ กู่ฉิงซานก็มุ่งตรงออกไปทางหัวค่ายทันที
ตรงส่วนหัวค่าย เป็นพื้นที่เปิดโล่งที่สามารถมองได้ไกลออกไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
เหตุเพราะตรงส่วนนี้สามารถใช้เฝ้าระวังได้โดยง่าย กู่ฉิงซานจึงมอบตำแหน่งหัวค่ายให้กับหลี่ชูเฉิน
กู่ฉิงซานก้าวฝีเท้าออกไป หันไปมองดูรอบๆ
พืชบนทุ่งกว้างยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ บนอากาศก็หาได้มีหมอกพิษตกค้างไม่
จิตสัมผัสเทวะถูกปลดปล่อย กวาดกระจายออกไป และพบว่าไม่มีพลังวิญญาณใดๆ ซ่อนเร้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเลย
นี่มันสรุปได้ง่ายๆ ว่ามิได้เกิดการต่อสู้ใดๆ ขึ้น!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หลี่ชูเฉินมิได้คิดทำสิ่งใด ทว่ากลับเลือกที่จะสับฝีเท้าวิ่งหนีไปทันที!
กู่ฉิงซานยืนตะลึงงัน ปากอ้ากว้างมิกล้าเอ่ยคำใด
ขณะนั้นเอง ในจุดที่ไกลออกไป หลี่ชูเฉินก็วิ่งโซซัดโซเซกลับมา
“พวกมันใช้กลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำ” หลี่ชูเฉินแนบสองมือลงบนเข่ากางเกง สูดลมหายใจเข้าปากและเอ่ยถาม “สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง”
“จางฟางสิ้นชีพแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
“ว่าไงนะ!”
สีหน้าของหลี่ชูเฉยเผยถึงความตกตะลึง
“เขาจากไปแล้ว ข้าพึ่งเอ่ยคำอำลากับเขาไป” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
“อนิจจา เจ้ามอนสเตอร์พวกนี้มันร้ายกาจเกินไป เขาคงจะต้องพิษของพวกมันเป็นแน่ เหตุใดเขาจึงประมาทเช่นนี้” หลี่ชูเฉินส่ายหัว เอ่ยกล่าวอย่างเศร้าสลด
เขาก้าวฝีเท้าตรงกลับไปยังค่าย และกู่ฉิงซานก็เดินตามเข้าไป
ทั้งสองก้าวเข้าไปในค่าย ก่อนจะมาหยุดอยู่เบื้องหน้าศพของจางฟาง
หลี่ชูเฉินถอนหายใจและกำลังจะเอ่ยปากกล่าว
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะทันได้เปล่งเสียง เขากลับเห็นกู่ฉิงซานที่จู่ๆ ก็ชักดาบยาวออกมา และจ้วงแทงเข้าใส่เขา
ด้วยระยะประชิดเพียงไม่กี่ก้าวเช่นนี้ แถมยังเป็นการจู่โจมโดยผู้ฝึกดาบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว คงจะมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันเท่านั้น จึงจะสามารถปัดป้องมันได้
นับประสาอะไรกับกู่ฉิงซาน ที่เป็นผู้ฝึกดาบ
หลี่ชูเฉินเบิกตากว้าง คว้าจับลงบนใบดาบที่ทิ่มลึกอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา สองเข่าทิ้งกระแทกลงกับพื้น
“เพราะ…เหตุใด...” เขาเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เพราะข้าคือพันตรี ส่วนเจ้าเป็นเพียงร้อยเอก ก่อนหน้านี้ข้าสั่งให้เจ้าปกป้องส่วนหัวของค่าย ทว่าแท้จริงแล้วเจ้ากลับหลบหนีไปโดยพลการ”
“นี่อยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างชายแดน แต่เจ้ากลับไม่เชื่อฟังคำสั่งทางทหารของข้า ส่งผลให้สมาชิกทั้งหมดต้องตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นข้าจึงขอบังคับใช้วินัยทางทหาร! ผลตัดสินก็คือ”
“จงจ่ายความสะเพร่าของเจ้าด้วยชีวิต”
สิ้นคำกล่าว กู่ฉิงซานก็ตวัดดาบตัดศีรษะของอีกฝ่าย
ร่างไร้หัวล้มลงกับพื้นอย่างฉับพลัน
กู่ฉิงซานมิได้คำนึงถึงท่าทีหวาดกลัวของฝูงชน เขาเดินตรงไปข้างๆ ร่างไร้หัว และคว้าจับลงบนถุงอสูรวิญญาณ
เขากำถุงอสูรวิญญาณไว้ในมือ สีหน้าดูแปลกพิกล
“พวกเจ้าจงพักฟื้นตัวอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปมองหาเงื่อนงำเสียหน่อย”
กล่าวจบ เขาก็เดินหายออกไป
สาม...
........................................