วันถัดมาในเวลาบ่าย พิรุณเดินทางมาที่หมู่บ้านแถบชานเมืองแห่งหนึ่งในต่างจังหวัดพร้อมกับตำรวจซึ่งเป็นคนพื้นที่ ซึ่งได้พูดคุยกันเอาไว้เมื่อวาน เขาคิดว่าถ้ามันเป็นตามที่ตำรวจคนนั้นพูดมาจริงๆ แสดงว่าสัญลักษณ์ที่ฆาตกรนั้นสลักลงมันบนหน้าฝากของเหยื่อแสดงว่ามันน่าจะมีบางส่วนที่อาจจะเกี่ยวข้องกัน และบางทีมันอาจจะเป็นหลักฐานที่เป็นกุญแจสำคัญ นำไปสู่การจับตัวฆาตกรก็เป็นไปได้
"ถึงแล้วรับ"
ที่ตรงหน้าของพิรุณตอนนี้เป็นบ้านสองชั้นหลังเล็ก ด้านบนสร้างจากไม้ ส่วนล่างนั้นเป็นพื้นปูน ลักษณะดูเก่าและทรุดโทรม ตามตัวบ้านนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นกับใยแมงมุม ข้าวของลานหน้าบ้านต่างกระจัดกระจายเต็มดูรกไปหมด
"ที่คงไม่ได้พามาบ้านผีสิงหรอกใช่ไหม?" พิรุณพูดออกมาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
"ถึงแม้ว่าจะมีข่าวลืออยู่แบบนั้น แต่มันก็แค่ข่าวลือเท่านั้นแหละครับ"
พอพูดจบตำรวจคนนั้นก็เดินนำเปิดประตูเข้าไปด้านใน "เชิญครับ ไม่ต้องกลัวไปหรอก"
"ถ้าจะกลัวตอนนี้ก็คงจะมีแต่บ้านจะถล่มลงมาทับก็เท่านั้นแหละ"
ถึงแม้จะพูดอย่างนั้นพิรุณก็เดินเข้าตามไปแต่โดยดี ภายในด้านในชั้นล่างเหมือนจะถูกทำเป็นที่พำนักเพราะมีทั้งรูป โต๊ะหมู่บูชา และกระถางธูปเทียนคว่ำกองอยู่กันระเกะระกะเต็มพื้นที่ไปหมด
"นี่ไงครับ" ตำรวจคนนั้นพูดขึ้นในขณะที่มือนั้นก็ไปหยิบเอาผืนผ้าสีแดงใบหนึ่งที่กองอยู่บนพื้นให้ทางพิรุณดู เห็นได้ว่าเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ
บนผืนผ้าใบนั้นมีรูปสัญลักษณ์ที่เหมือนและคลับคล้ายกับสัญลักษณ์ที่ทางฆาตกรนั้นใช้สลักอยู่บนหน้าผากของเหยื่อราวกับแกะ แต่ที่ต่างกันคือรอบด้านนอกของผืนผ้าใบนั้นมีรอยอักขระที่ไม่คุ้นเคยล้อมรอบอยู่
"นี่มันก็แค่ภาพเหมือนไม่ใช่หรือไง? แบบนี้มันแทบจะใช้อ้างอิงหรือว่าเชื่อมโยงอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ" พิรุณพูดขึ้น
"ก็จริงครับที่ว่า ภาพแบบนี้จะเรียกได้ว่าเป็นภาพเหมือนเฉยๆ ก็ได้ แต่สารวัตรลองคิดดูนะครับ ถึงแม้ว่าจะมีคดีมากมายเกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าบางคดีนั้นยังไม่สามารถแก้ไขได้เลย แต่ทว่ามันก็ไม่เคยมีคดีการฆาตกรรมในครั้งไหนเลยที่มีรูปแบบนี้เลยสักคดีเดียว"
"ก็จริงของนาย..."
"เท่าที่ผมคิดนะครับ คาดว่าคดีในครั้งนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าพ่อที่หายตัวไปเป็นแน่ เพราะฉะนั้นแล้ว แม้ว่าจะเป็นคาดเดาสุ่มๆ ที่เหมือนจะไร้ความหมาย แต่มันก็มีค่าที่จะเสี่ยงดูนะครับ" แล้วตำรวจคนนั้นก็ยื่นผ้าให้กับพิรุณ
"....."
เขารับมาพลางคิดในใจถึงความเป็นไปไม่ได้ที่น่าจะเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสเพียงแค่น้อยนิด แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้อะไรแล้วสืบหาต่อไปทั้งอย่างนั้น
พอพวกพิรุณได้สิ่งที่ต้องการแล้วพวกเขาก็เดินออกมาจากบ้านหลังนั้นอย่างทันที ในวินาทีนั้นที่ก็มีชาวบ้านคนหนึ่งได้มายืนด้อมๆ มองอยู่ด้านหน้าของบ้านด้วยสีหน้าและท่าทีที่สงสัย
"อ้าวลุงชัยมาทำอะไรที่นี่เนี่ย!" ตำรวจคนนั้นพูดขึ้นด้วยความเป็นกันเอง
"ไอ้พุทธ! แกเองหรอ? โตขึ้นมากเสียจนทางแทบจำเองไม่ได้เลยหรือว่าบางทีลุงอาจจะแก่ขึ้นแล้วก็ได้" ลุงพูดขึ้นทักทายอย่างเป็นกันเองกลับเช่นกัน "ไม่ได้มาทำอะไรหรอก แค่นึกสงสัยว่าใครเข้ามาทำอะไรในบ้านหลังนี้ก็เท่านั้นเอง ข้าก็ไม่นึกว่าจะเป็นเอง"
"พอดีผมแค่มาเก็บหลักฐานที่ใช้ในการทำคดีก็เท่านั้นเองครับ"
"งั้นหรอ..." ลุงชัยกล่าวขึ้นมาอย่างโล่งใจเพราะนึกว่าคนที่เข้ามาจะเป็นพวกหัวขโมย "ว่าแต่...นึกไปก็น่าสงสารเจ้าพ่อไตรอยู่เหมือนกันนะ ลูกชายมาหายตัวไปอีกทั้งเจ้าตัวก็มาหายไปเองอีก อย่างน้อยก็อยากจะรู้ว่าทางนั้นเป็นหรือว่าตายก็ยังดี"
พุทธแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาเล็กน้อย หลังจากที่ได้ยินเรื่องเมื่อตะกี้ "เจ้าพ่อไตรมีลูกชายด้วยหรือครับ?"
"จะว่าไปแกไม่รู้สินะ ตอนนั้นน่าจะช่วงที่แกเข้าไปเรียนในเมืองกรุง พอดีด้วยสิ" ลุงชัยพูดพลางนึกถึงเรื่องราวในอดีต "ราวๆ เมื่อ 15 ปีก่อน เจ้าพ่อได้รับอุปการะเด็กคนหนึ่ง เป็นเด็กชายเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่อยู่ๆ วันหนึ่งก็มาหายตัวออกไป ปัจจุบันนี้ก็ยังหาตัวไม่เจอเลย"
หลังจากที่พุทธได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ มาแล้วก็หันไปถามกับทางพิรุณที่ยืนอยู่ข้างๆซึ่งทางนั้นเองก็ทำสีหน้าที่ครุ่นคิดอยู่ไม่ต่างกัน "สารวัตรว่าเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวข้องกันอย่างไงหรือเปล่า?"
"อาจจะ... ว่าแต่คุณลุงเรื่องที่เจ้าพ่อไตรหายตัวไปนั้น ก่อนหน้านั้นได้เห็นใครอยู่ด้วยหรือเปล่า?" พิรุณลองถามกับทางลุงชัย
"ไม่นะ แต่ก่อนที่เจ้าพ่อจะหายตัวไป เมื่อราวๆ 3 ปีก่อน มีคนเห็นท่านเดินเข้าไปข้างในป่าด้วยสีหน้าที่เหมือนกับคนกำลังเร่งรีบ พอชาวบ้านพยายามถามว่าไปไหน ตอบมาแค่เพียงว่า...ไปหาลูก พวกชาวบ้านก็คิดว่าแกคงจะบ้าเลยไม่ได้เข้าไปยุ่ง หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นแกอีกเลย"
"พอจะจำได้ไหมครับว่าไปทางไหน?" พิรุณถามต่อ
"อ้อ! ตรงไปตามทางนั้นเลย" ลุงชัยชี้ไปที่ทางหนึ่ง "ตอนแรกพวกเราก็คิดว่าแกอาจจะคิดสั้นไปผูกคอฆ่าตัวตาย แต่ว่าก็ไม่ใช่! เพราะไม่มีใครพบศพของแกเลยแม้แต่คนเดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าพ่อหายไปไหน"
"ขอบคุณครับลุงชัย รักษาสุขภาพด้วยนะครับ" พุทธพูดบอกลาด้วยความเป็นห่วง
"เองก็ด้วยระวังตัวด้วยล่ะ" ลุงชัยตอบกลับ
พิรุณและพุทธเดินเข้าลึกตรงไปข้างในป่า ถึงแม้ว่าจะเป็นป่าแต่มันก็ไม่ได้รกและเต็มไปด้วยใบหญ้าที่ขึ้นสูงแต่อย่างที่คิด เพราะมันเป็นเส้นทางที่คนแถวนั้นใช้ในการเดินทางเพื่อเข้าไปเก็บผักป่าและผลไม้ป่ากันเป็นปกติ เส้นทางที่เดินนั้นเลยถูกถางออกจนเอี่ยม
"น่าคิดถึงจังนะ... เมื่อตอนยังเด็กผมก็เคยเข้ามาในป่า แล้วหนีมาเล่นน้ำในอยู่เป็นประจำเลย" พุทธพูดรำลึกถึงสมัยอดีตที่ตนเคยทำในวัยเด็ก
"เรื่องรำลึกอดีตเอาไว้ทีหลัง ก่อนอื่นก็ต้องหาก่อนว่าเจ้าพ่อนั้นเดินไปที่ไหน"
ทั้งสองพยายามสอดส่องทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างสองข้างทางที่เดินเข้าไปข้างใน พื้นที่โดยรอบเองก็เริ่มรกตามากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน คาดได้ว่าพวกเขานั้นน่าจะเข้ามาข้างในลึกพอสมควร และน่าจะเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านนั้นไม่ค่อยที่จะเดินเข้าไป
"เห็นอะไรบ้างไหม?" พิรุณถามในขณะที่ก็สอดส่องสายตาไปยังรอบๆ บริเวณ
"ดูเหมือนว่าจะเจอแล้วครับ" แล้วพุทธก็ชี้ขึ้นไปด้านบนต้นไม้ ที่กิ่งไม้ที่ผูกด้วยผ้าสีแดง ซึ่งเป็นสีเดียวกับผ้าผืนที่พบในบ้านของเจ้าพ่อก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าคนที่ผูกน่าจะเป็นเจ้าพ่อไตรที่ผูกไว้กันหลงทางและน่าจะเพื่ออะไรบางอย่างด้วยเช่นกัน
"ไม่ผิดแน่ๆ แสดงว่าไปทางนี้สินะ!"
พอยืนยันได้ดังนั้นแล้วทั้งสองก็รีบมุ่งตรงตามทิศทางที่ผ้าผืนนั้นผูกอยู่บนกิ่งไม้ไปอย่างทันทีด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง เดินผ่านทางที่เต็มไปด้วยหญ้าที่สูงรกหนาตา ท้องฟ้าสีก็เริ่มเปลี่ยนกลายเป็นยามเย็น แต่ทว่าสิ่งที่รออยู่ตรงหน้าของพวกเขาทั้งสองนั้น
กลับไม่มีอะไรเลย...
ณ ที่ตรงหน้านั้นโล่งเรียบเนียน ไม่มีต้นหญ้าขึ้นเลยแม้แต่น้อยอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งสองพยายามองสอดส่องอย่างไรก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางไปต่อ ที่นี่เป็นที่เจ้าพ่อไตรนั้นมาหยุดอยู่ตรงนี้เป็นแน่ แต่เจ้าตัวมาทำอะไร? ถ้ามาเพื่อหาลูกชายที่หายตัวไปแล้วทำไมถึงต้องมาหยุดอยู่ที่นี่ เกิดคำถามมากมายจนตัวเองนั้นรู้สึกสับสนจนอยากจะบ้า มันรบกวนจิตใจจนไม่เป็นอันสงบ
ทั้งสองยืนนิ่งที่ตรงนั้นเป็นเวลาพักใหญ่ ก่อนที่พุทธจะเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูผิดหวังว่า
" กลับกันเถอะครับสารวัตร!"
"นั่นสินะ..." แม้แต่ทางพิรุณเองก็เริ่มที่จะถอดใจแล้วเหมือนกัน
ในวินาทีที่สิ้นหวัง วินาทีนั้นเองเองที่ตัวพิรุณเองได้ก้มลงไปมองที่พื้น ถึงแม้ว่าจะเพียงแค่เสี้ยววินาที เขาก็สังเกตเห็นถึงสิ่งหนึ่งที่อยู่บนพื้น แผ่นสีขาวที่เปื้อนไปด้วยดินและโคลน สภาพกระดาษที่ขาดหลุดลุ่ยติดกับพื้นดิน พอหยิบขึ้นมาอ่านดู จากตัวอักษรที่เคยชัดเจนก็เลือนรางเสียจนแทบจะอ่านไม่ออกว่าเขียนอะไร แต่พอจับใจความได้บางส่วนว่า...
"บาร์เบอร์...ซาลอน..."
"เจออะไรเข้าหรอครับสารวัตร?"
"ดูเหมือนว่าการมาครั้งนี้จะไม่ได้สูญเปล่าไปเสียทีเดียว"
และแล้วพวกเขาทั้งสองก็เดินออกจากไป ท่ามกลางแสงดวงตะวันที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปทีละนิด...