แม่ทัพหนุ่มเดินหน้าบึ้งตึงหัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับเข้ามาในห้องหนังสือของเขา โดยมีฟ่งหลันหลั่นและทหารนายกองอีกสองนาย พากันตามหลังข้ามาติด ๆ
หลงอี้หลิงวางกระบี่คู่ใจของเขาลงบนโต๊ะอย่างแรง และเจ้าตัวยังคงยืนหันหลังให้กับทั้งสามคน
ปัง!
"ถ้าท่านโกรธก็มาลงที่ข้านี่ วางกระบี่ลงบนโต๊ะแรงแบบนั้น เดี๋ยวมันก็ได้แตกหักเสียหายกันพอดี ไหนบอกว่าเป็นกระบี่คู่ใจไง"
ฟ่งหลันหลั่นรู้ตัวดีว่านางได้ก่อเรื่องให้เจ้าของเรือนต้องเดือดร้อนอีกแล้ว จึงพยายามสรรหาคำพูดเพื่อให้เขาลดโทสะที่มีอยู่ลง
แต่ดูเหมือนสิ่งที่นางพูดออกไปกลับกลายเป็นว่ายั่วยุอารมณ์โกรธของเขาให้เพิ่มทวีขึ้นเสียนี่
"ลงโทษเจ้าอย่างนั้นรึ ว่าแต่ตัวเจ้าทำเรื่องใดผิดกันล่ะ"
แม่ทัพหนุ่มถามกลับอย่างยอกย้อน เสียงทุ้มของเขามีร่องรอยการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้
สตรีน้อยยกมือขึ้นสวมกอดหน้าอกของตัวเอง พยักหน้าหงึก ๆ พร้อมเผยสีหน้ามั่นใจ และตอบสวนกลับด้วยน้ำเสียงใสซื่อ
"อื้ม! ท่านถามได้ดี ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าข้าทำอะไรผิด ข้าก็แค่ออกไปเจอกับคุณชายหยวนตามที่เขานัดเท่านั้น ส่วนเรื่องกลุ่มชายชุดดำพวกนั้น ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครและต้องการสิ่งใด"
เจ้าตัวคิดว่าการที่นางออกไปเจอกับหยวนจูวเย่เป็นเพราะอีกฝ่ายนัดหมายให้ไปพบ และมันคือเรื่องส่วนตัว ดังนั้นนางจึงไม่ได้ทำอะไรผิดในส่วนนี้
แม่ทัพหนุ่มยังคงยืนนิ่งในท่าเดิม และไม่ได้หันกลับมามองคนทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงกลางของห้องหนังสือ สองมือกำหมัดไว้แน่น
ทันใดนั้นเอง ฟ่งหลันหลั่นก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
"เดี๋ยวก่อน! ว่าแต่...ทำไมพวกท่านถึงไปโผล่ที่นั่นได้กันล่ะ คงไม่ใช่แอบสะกดรอยตามข้าไปหรอกนะ"
คำถามของสตรีน้อยเล่นเอาเข่อลั่วกับจางเก่อเผลอหลุดพิรุธออกมาจนได้
สตรีน้อยเห็นท่าทางผิดปกติไปของนายกองทั้งสองคน นางจึงเบือนหน้าหันไปทางทั้งคู่ และใช้สายตาจ้องมองพวกเขาอย่างจับผิด
"ท่านจางเก่อกับท่านเข่อลั่วมีอาการเลิ่กลั่กแบบนี้ แสดงว่าสิ่งที่ข้าคิดอยู่มันคือความจริงใช่ไหม" สตรีน้อยถามนายกองทั้งสองคนอย่างขึงขัง แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหัวไปมาอย่างแข็ง ๆ พร้อมเพรียงกัน จนเห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขากำลังโกหกอยู่
ฟ่งหลันหลั่นจึงหันขวับกลับมาทางแม่ทัพหนุ่ม และโพล่งถามเขาอย่างไม่พอใจ
"ทำแบบนี้มันจะมากเกินไปแล้วนะ นี่มันเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวชัด ๆ ข้าจะทำอะไร ที่ไหนหรือไปกับใคร มันก็เป็นเรื่องของข้า พวกท่านไม่มีสิทธิ์สะกดรอยตามไปแบบนั้น ข้าไม่ใช่ผู้ร้ายที่พวกท่านต้องตามจับกุมเสียหน่อย"
ความขุ่นเคืองไม่พอใจของสตรีน้อยสะท้อนออกมาพร้อมกับน้ำเสียงอย่างชัดเจน
ร่างสูงเพรียวหมุนกายหันกลับมาหาทั้งสามคนอย่างฉับพลัน ดวงตาสีดำเริ่มส่อเค้าพายุอารมณ์แรงขึ้นตามลำดับ แม่ทัพหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดเฉียบขาดขณะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเน้นหนัก
"สิทธิ์ที่เจ้าเป็นคนของข้ายังไงกันล่ะ"
ฟ่งหลันหลั่นตอบสวนอย่างหน้าตาใสซื่อทันควัน
"ข้าไม่ได้เป็นนายทหารของท่าน ดังนั้นข้าก็ไม่ใช่คนของท่านเช่นกัน"
เข่อลั่วยืนทนฟังเงียบ ๆ ไม่ไหวต่อไปแล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจพูดแทรกขึ้น เพื่อหวังช่วยแก้ตัวให้กับผู้เป็นนายของเขา
"นั่นก็เพราะนายน้อยต้องการจะบอกว่าแม่นางฟ่งเป็นผู้หญิงของ นายน้อยต่างหากล่ะ"
สตรีน้อยได้ยินคำพูดนั้นของเข่อลั่ว นางก็ถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่งเพราะไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง ดวงตากลมโตสดใสที่จับจ้องมองหน้าแม่ทัพหนุ่มเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนสงสัย
จังหวะนั้นเองฟ่งหลันหลั่นก็ได้ฉุกคิดบางอย่างแวบขึ้นมาในหัว และ จู่ ๆ นางก็หัวเราะแกมติดตลกดังขึ้นมาซะดื้อ ๆ
"ฮ่าฮ่าฮ่า...เดี๋ยวนะ! นี่ท่านแม่ทัพคงไม่ได้คิดว่าตอนที่พวกเราสองคนติดอยู่ตรงชะแง่งผาในคืนนั้นด้วยกันตามลำพัง เพราะบรรยากาศพาไปเลยทำให้เผลอมีสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินเลยกันหรอกใช่ไหม"
สตรีน้อยเอ่ยถามแม่ทัพหนุ่ม พร้อมกับยกปลายนิ้วชี้สองข้างประกบเข้าหากัน พร้อมกับมองหน้าเขา แต่พอเห็นสายตาอันดุดันและใบหน้านิ่งมึนตึงของแม่ทัพหนุ่ม นางก็เริ่มไม่มั่นใจในคำถามของตัวเอง จึงเอ่ยย้ำอีกครั้ง
"...ท่านคงไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกใช่ไหม คืนนั้นจู่ ๆ ท่านไข้ขึ้นสูงเพราะพิษในตัวของท่านกำเริบขึ้นมา ข้าก็เพียงแค่ช่วยท่านถอนพิษไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้นอย่างแน่นอน ฟ้าดินเป็นพยานได้"
ฟ่งหลันหลั่นอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างมั่นอกมั่นใจ
ว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปก่อนหน้านั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือล่วงเกินเขาอย่างที่อีกฝ่ายคิด
"ถอนพิษไข้!" เขาย้ำคำของอีกฝ่ายเหมือนไม่เชื่อในคำอธิบายนั้น เพราะความรู้สึกของเขาในเพลานี้เหมือนได้ถูกท่อนไม้หน้าสามตีแสกหน้าเขาอย่างแรง
สตรีน้อยพยักหน้า และพูดย้ำคำตอบเดิมอย่างมั่นใจ
"ใช่! ถอนพิษไข้ ข้าไม่รู้ว่าท่านได้รับพิษนั้นมาตั้งแต่เมื่อไร แต่อากาศเย็นจัดของที่นั่นในวันนั้นมันคงไปกระตุ้นพิษในตัวของท่านให้กำเริบขึ้นมา สถานการณ์เช่นนั้นข้าไม่อาจจะเลี่ยงไม่สนใจคนใกล้ตายได้...ถ้ารู้ว่าต้องมาถูกเข้าใจผิดแบบนี้ รู้แบบนี้ข้าไม่ช่วยก็ดี" นางมีบ่นตัดพ้อน้อยใจตบท้ายประโยคเล็กน้อย
ทันใดนั้น แม่ทัพหนุ่มก็ได้ยินเสียงของเส้นอะไรบางอย่างในหัวใจหดตัวลงดังปั๊ด สายตาเขาเย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็ง แต่กลับแฝงด้วยโทสะร้อนระอุลุกโชติช่วงอยู่ในนั้นด้วย
"เฮอะ บุรุษและสตรีตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยสภาพนอนกอดกันและเรือนร่างเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ห่อหุ้มกายทั้งคู่เยี่ยงนั้น เจ้ายังจะให้คิดเป็นอย่างอื่นกระนั้นรึ"
แม่ทัพหนุ่มย้อนถามอย่างโกรธขึ้ง เพราะภาพในความทรงจำของเขา มันช่างต่างจากสิ่งที่สตรีน้อยกำลังอธิบายอยู่ในตอนนี้มาก
"ระ ร่างกายเปลือยเปล่าทั้งคู่! มิน่าล่ะนายน้อยถึงได้พูดว่าแม่นางฟ่งเป็นคนของท่าน" เข่อลั่วเปรยขึ้นเบา ๆ อย่างตะลึงงงงันด้วยความปากไวและขาดการยั้งคิดอีกแล้ว
ฟ่งหลันหลั่นรีบยกขึ้นปัดไปมาเพื่อยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง "ข้าบอกว่าไม่ใช่ยังไงกันล่ะ เรื่องนั้นนายน้อยของพวกท่านเข้าใจผิดไปเองต่างหาก"
ยิ่งฟ่งหลันหลั่นพยายามแก้ตัวหรือสรรหาคำมาอธิบายให้แม่ทัพหนุ่มและคนของเขาได้เข้าใจ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นผลดีต่อตัวนางเอาเสียเลย เพราะกลับยิ่งทำให้สถานการณ์ดูแย่ลงกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป
"จางเก่อ เข่อลั่ว พวกเจ้าสองคนออกไปทำหน้าที่ของตนต่อได้แล้ว ส่วนคนที่ทำผิด...ห้ามเดินออกไปจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว"
จางเก่อได้ฟังน้ำเสียงเย็นยะเยือกและประโยคขึงขังจริงจังนั้นของผู้เป็นนาย เขาก็รู้ทันทีว่าไม่ควรที่จะยืนอยู่ในห้องนี้อีกต่อไป
"ขอรับนายน้อย" เขาขานรับคำสั่งและดึงแขนเข่อลั่วให้ตามออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว และปล่อยให้นายของตนได้จัดการปัญหาส่วนตัวกับสตรีน้อยตามลำพัง
แอ๊ด...ทันทีประตูห้องถูกปิดลง บรรยากาศในห้องหนังสือก็เริ่มอึมครึมชวนอึดอัดใจหนักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
'จะบ้าตาย! เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นเรานึกว่าเขาไข้ขึ้นจนขาดสติไปและคงจะจำอะไรไม่ได้ แต่เขากลับจดจำรายละเอียดได้หมด...เช่นนั้นเขาเห็น เรือนร่างเปลือยเปล่าของเราจริง ๆ น่ะสิ'
ฟ่งหลันหลั่นยืนนิ่งและคิดทบทวนเหตุการณ์นั้นในใจอีกครั้ง และพอรู้ตัวว่าบุรุษตรงหน้าจดจำทุกอย่างได้ ตอนนี้นางแทบอยากจะรีบพาตัวเองออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด ยิ่งคิดดวงหน้างามยิ่งเผยสีหน้าแดงก่ำราวกับผลอิงเถาที่กำลังสุกงอมได้ที่
ทันใดนั้นเอง หลงอี้หลิงก็เดินตรงปรี่เข้าประชิดตัวฟ่งหลั่นหลั่นพร้อมกับดึงตัวนางเข้ามาสวมกอดรัดแน่นไว้ในอ้อมแขนอันแข็งแรงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดหาทางหนีได้ทัน
สตรีน้อยซึ่งกำลังอยู่ในอาการเขินอาย ก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อถูกอีกฝ่ายกระทำเช่นนั้นกับตนเอง จึงพยายามดีดดิ้นสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากพันธนาการของเขา และพยายามพูดหว่านล้อมให้อีกฝ่ายยอมปล่อยมือ
"มีอะไรเราสองคนค่อย ๆ พูดจากันดีไหม หากท่านโกรธที่ข้าพูดจาทำให้ท่านเสียหน้ากับลูกน้องเมื่อครู่นี้ ข้าขอโทษท่านก็ได้ แต่ยังไงช่วยปล่อยมือคู่นี้ก่อนนะ ท่านสวมกอดรัดข้าแน่นแบบนี้ ข้าหายใจไม่ออกพอดี"
หลงอี้หลิงไม่ตอบ เขาเอาแต่ยืนจ้องดวงหน้าบุปผางามในอ้อมแขน นัยน์ตากรุ่นโกรธเบิกกว้างขึ้น
สองแก้มนวลของสตรีน้อยราวกับถูกย้อมด้วยชาด แดงระเรื่อเพริศพริ้ง งดงามตราตรึงคน
ณ ช่วงเวลานี้ ในใจของแม่ทัพหนุ่มกำลังปั่นป่วนรุนแรงประหนึ่งคลื่นซัดโหมกระหน่ำ
"ข้าคิดไปเองอย่างงั้นรึ"
หลงอี้หลิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก พร้อมกับโน้มใบหน้าอันหล่อเหลาลงต่ำและยื่นเข้าประชิดดวงหน้างาม ริมฝีปากของทั้งคู่ห่างกันเพียงแค่ปลายลมหายใจ
ฟ่งหลันหลั่นสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เบิกตากว้างมองเขาอย่างตะลึงลาน สายตาใสซื่อมองสบตาคนตรงหน้าครู่หนึ่ง ก็หลบสายตาเขา นางมองต่ำลงด้านล่าง ผ่านสันจมูกคมได้รูป และไล่มาจนถึงริมฝีปากหนา และจ้องอยู่ครู่หนึ่ง
'เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เราแบบนี้ คงไม่คิดจะจูบเราหรอกนะ'
จินตนาการในหัวของสตรีน้อยเริ่มฟุ้งซ่าน จนเจ้าตัวเผลอกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่
ดูเหมือนหลงอี้หลิงจะอ่านความคิดนางออก เขาสวมกอดรัดสตรีน้อยในอ้อมแขนแน่นยิ่งขึ้น พร้อมกับยื่นใบหน้าอันหล่อเหลาของตนเข้าประชิดนางมากกว่าเดิม จนตอนนี้ริมฝีปากหนาของเขาเกือบจะแตะสัมผัสลงบน ริมฝีปากบางแล้ว
ทั้งคู่ต่างก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของกันและกัน
สตรีน้อยรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองกำลังร้อนผ่าวไล่จนไปถึงใบหูทั้งสองข้างแล้ว
ตึกตัก! ตึกตัก!
เสียงหัวใจที่กำลังเต้นระรัวดังไม่เป็นจังหวะนี้ แทบบอกไม่ได้เลยว่าเป็นของใคร
ทันใดนั้นเอง ความตื่นเต้นใจระส่ำที่แทบจะทะลุออกมานอกหน้าอกของใครบางคนก็ถูกทำลายลง
"นายน้อย คะ คือว่า นายหญิงใหญ่ ให้คนมาตามท่านกับแม่นางฟ่งไปพบที่เรือนสกุลหลงขอรับ" เสียงของเข่อลั่วดังลอดเข้ามาในห้องทางด้านหน้าประตู
หลงอี้หลิงจึงได้สติและคลายอ้อมกอดออกจากตัวสตรีน้อยทันที แต่ทว่าแววตาของเขายังคงจ้องมองนางอย่างหมายหัว
ส่วนฟ่งหลันหลั่นก็ถอนหายใจแรงด้วยความโล่งอกออกมาทันวัน พร้อมกับลูกหน้าอกของตัวเองสองสามที
'ท่านเข่อลั่วช่วยไว้แท้ ๆ เลย ว่าแต่ท่านย่าของเขาต้องการพบตัวเราทำไมกัน คงไม่ได้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอีกหรอกนะ ?'
ในขณะที่ฟ่งหลันหลั่นกำลังครุ่นคิดถึงหลงฮูหยินอยู่ แม่ทัพหนุ่มก็ยื่นหน้าโน้มต่ำลงหานางอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียง เย็นชา
"เจ้าอย่าคิดว่าตัวเองจะรอดพ้นความผิดสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปได้ กลับมาจากเรือนท่านย่าเมื่อไร ข้าจะสะสางเรื่องทั้งหมดกับเจ้าอย่างแน่นอน เตรียมใจรับโทษของเจ้าได้เลย"
ดวงตาคมปลาบดุดันกับน้ำเสียงเย็นชาแฝงเผด็จการของเขา ได้สร้างความหวาดหวั่นใจให้กับฟ่งหลันหลั่นไว้มิใช่น้อยแต่นางยังคงทำใจดีสู้เสือต่อปากต่อคำเขากลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว
"ข้ากลัวท่านตายล่ะ"
"ตามมา"
เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินหน้าบึ้งตึง นำหน้านางออกไปจากห้องหนังสืออย่างไม่สนใจคนข้างหลัง
ฟ่งหลันหลั่นไม่อาจที่จะปฏิเสธความต้องการของหลงฮูหยินได้ นางจึงจำใจต้องเดินตามหลังแม่ทัพหนุ่มไปต้อย ๆ อย่างไม่มีทางเลี่ยง
....
เซียงไค 盛開