webnovel

ข้ากลายเป็นสาวใช้ของแม่ทัพหนุ่ม

องค์หญิงอวี้หลัน องค์หญิงน้อยผู้แสนอาภัพ แห่งแคว้นโหย่ว ในวัยเพียงแปดชันษา พระองค์ต้องเผชิญชะตากรรมที่แสนเศร้าและเจ็บปวด ทั้งการกลั่นแกล้ง ใส่ความให้ร้ายของเหล่าคนรอบกาย เพื่อหวังจะยึดครองตำแหน่งองค์หญิงสุดที่รักจากท่านอ๋องใหญ่บิดาของนาง ซึ่งเป็นถึงองค์ รัชทายาทของแคว้นโหยว ความโชคร้ายไม่จบสิ้น มีคนร้ายได้ลอบวางยาพิษลงในสระน้ำส่วนตัวขององค์หญิงน้อย ทำให้นางต้องจบชีวิตลงในชั่วพริบตาที่สูดดมกลิ่นหอมพิษ ซึ่งโชยขึ้นมากับไอน้ำ ก่อนที่จะสิ้นใจตายพระนางได้อธิษฐานว่า ถ้าหากได้เกิดใหม่ ตนก็ปรารถนาเกิดเป็นคนธรรมดา แม้จะไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ไม่มีชีวิตที่สบาย ไม่ร่ำรวยเงินทองอย่างที่เคยเป็น ก็ยินดีเช่นนั้น และแล้ว องค์หญิงน้อยก็ได้สิ้นพระทัยลงต่อหน้าธารกำนัลทุกคน ตลอดช่วงชีวิตที่มีมา องค์หญิงน้อยพบว่าไม่เคยมีใครสักคนที่รักนางจริงแม้แต่คนเดียว แต่พระนางคิดผิด... สิบปีผ่านไป องค์หญิงผู้แสนอาภัพ ได้มีชีวิตใหม่ในนาม ฟ่งหลันหลั่น หญิงสาวชาวยุทธ์ทั่วไป แม้ฝีมือด้านวิทยายุทธ์จะไม่เก่งกาจมากนัก แต่นางนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและคุณธรรมหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ ด้วยนิสัยรักความยุติธรรมมากเกินไป นางจึงมักเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่หลายครั้ง จนมีครั้งหนึ่ง ฟ่งหลันหลั่นได้เกิดพลาดพลั้งเสียทีให้กับศัตรูที่ตามมาแก้แค้น หนึ่งในคนพวกนั้นได้ใช้อาวุธลับ ซัดใส่นางเองจนนางถูกพิษชนิดหนึ่งเข้า และทำให้สูญเสียวรยุทธ์ไปชั่วคราว พอรู้สึกตัวอีกที ฟ่งหลันหลั่นก็ได้กลายมาเป็นสาวใช้คนใหม่ของจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหย่ว แม่ทัพใหญ่ของจวนนี้คือ หลงอี้หลิง ผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงเลื่องลือเกรียงไกรด้านการรบ นามของเขานั้นเป็นที่โจษจันและเกรงกลัวของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก หลงอี้หลิง ได้ใช้พลังหยินในตัวของเขา ช่วยขับพิษในกายให้ฟ่ง-หลันหลั่น และได้เผลอเปิดจุดลมปราณที่เคยถูกสกัดไว้ให้นางด้วย ทำให้ความทรงจำที่เคยหายไปกลับคืนมา องค์หญิงอวี้หลันทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของตนได้ทั้งหมด ว่าตนไม่ได้ตายอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นเพราะพระองค์พยายามลบความทรงจำที่เจ็บปวดเลวร้ายนั้นให้หายไป เมื่อองค์หญิงน้อยอวี้หลันจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ จึงอยากที่จะเอาคืนทุกคนที่เคยทำร้ายนาง แต่ด้วยต้องแลกความทรงจำให้กลับมา ด้วยการที่ต้องสูญเสียพลังยุทธ์ไปโดยถาวร ทำให้ต้องตกเป็นหน้าที่ของหลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่ผู้คลั่งรักต้องออกโรง ช่วยแก้แค้นแทนและทวงคืนความยุติธรรมให้กับสาวใช้ของตน เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไง หลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหยว จะช่วยฟ่งหลันหลั่นหรือองค์อวี้หลัน แก้แค้นและทวงความยุติธรรมได้หรือไม่ ต้องมาติดตามไปพร้อม ๆ กัน

Anastazia23_Boss · History
Not enough ratings
91 Chs

ตอนที่ ๓๙ ฟ่งหลันหลั่นแอบนัดพบกับชายหนุ่ม

หลายวันต่อมา

  หลังจากที่ฟ่งหลันหลั่นได้ทำหน้าที่ในช่วงเช้าของตัวเองเสร็จเรียบร้อย นางก็หลบมานั่งแอบงีบหลับอยู่ยังศาลาในสวนหย่อมข้างเรือนพักของตน เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน

  แต่สตรีน้อยหลับตาลงไม่ถึงครึ่งก้านธูป บ่าวของเรือนหลงหลิงก็เดินเข้ามาหานางยังศาลานั้น และยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้

เนื้อความใจกระดาษแผ่นนั้นมีอยู่ว่า

  'ถึงแม่นางฟ่ง ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องการคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว เรื่องนี้เกี่ยวพันกับคนจำนวนมาก หวังว่าแม่นางฟ่งจะออกมาพบข้าตามนัดหมาย เจอกันที่ศาลานักพเนจรตรงเชิงเขานอกเมืองหลวง ไม่เจอไม่กลับ…หยวนจูวเย่'

  หลังจากอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นจบลง ฟ่งหลันหลั่นก็เผย สีหน้างงสงสัยแกมแปลกใจ

  "มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย ทำไมคุณชายหยวนผู้นั้นถึงต้องการพบเรากันนะ แถมนัดเจอเป็นการส่วนตัวที่นอกเมืองอีก...เอายังไงดี ปัญหาคือเราจะหาข้ออ้างอะไรเพื่อจะออกไปจากเรือนหลงหลิงได้"

  สตรีน้อยนั่งบ่นพึมพำกับตัวเอง และคิดสงสัยในเจตนาของหยวนจูวเย่ แต่เมื่อเขาได้ขอนัดพบเป็นการส่วนตัว นางจึงได้ตอบรับคำเชิญ และไปเจอเขายังศาลานักพเนจร ซึ่งตั้งอยู่บนเชิงเขา ออกห่างจากตัวเมืองหลวงไปราวครึ่งลี้

  ทว่า หลงอี้หลิงได้ล่วงรู้ถึงแผนการนัดหมายนั้นของคนทั้งคู่

ห้องหนังสือของหลงอี้หลิง

  เป๊าะ!

  เสียงหัวด้ามพู่กันไม้ดังขึ้นภายในห้องหนังสือของแม่ทัพหนุ่ม

  "เข่อลั่วเมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ เด็กนั่นแอบนัดพบกับบุรุษที่ศาลานักพเนจรอย่างงั้นรึ"

  "ขอรับนายน้อย พอดีข้าเผลอไปได้ยินแม่นางฟ่งพูดพึมพำกับตัวเองเมื่อเช้านี้ ตอนที่นางไปนั่งพักผ่อนอยู่ที่ศาลาในสวนหย่อม ว่าคุณชายหยวนต้องการนัดพบกับนางเป็นการส่วนตัว"

  เข่อลั่วตอบคำถามเจ้านายด้วยเสียงดังฟังชัด แม้จะมีจางเก่อยืน ขยิบตาให้อยู่ข้าง ๆ แต่นายกองร่างท้วมดูเหมือนจะไม่ทันมองความหวังดีนั้นจากสหาย

  พอหลงอี้หลิงได้ฟังการยืนยันอย่างหนักแน่นของลูกน้องคนสนิท เขาก็วางมือจากงานที่ทำอยู่ และลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปคว้าเอาดาบคู่กายที่วางอยู่บนโต๊ะทาด้านหลัง ก่อนที่จะเดินหน้าฉุนเฉียวออกไปจากห้องอย่างหงุดหงิดใจ

  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษรักแรงหึงหรือด้วยความเป็นห่วงใยในตัวฟ่งหลัน-หลั่น แม่ทัพหนุ่มพร้อมคนสนิทก็ได้พากันรีบรุดออกแอบติดตามไปอย่างเงียบ ๆ

  เมื่อแม่ทัพหนุ่มเร่งติดตามสาวใช้ของตนไปจุดถึงจุดนัดพบ เขากับลูกน้องคนสนิทก็ได้ยินยืนแอบซุ่มมองอยู่ในระยะไกลเท่าที่ระดับสายตาจะมองเห็นได้

  ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อไปยังคนหนุ่มสาวสองคนนั้น ซึ่งกำลังนั่งสนทนากันอยู่ตรงม้านั่งหินภายในศาลานักพเนจร แม้จะพยายามเงี่ยหูฟัง แต่ด้วยระยะห่างจากจุดที่เขายืนอยู่มันไกลมากเกินที่ประสาทสัมผัสทางหูของคนจะได้ยินอะไร ยิ่งทำให้แม่ทัพหนุ่มชักสีหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์และดูหงุดหงิดใจตลอดเวลา

ศาลานักพเนจร

  ฟ่งหลันหลั่นทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้าสีครามตรงเบื้องหน้า พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดฟอดใหญ่ นานแล้วที่นางไม่ได้สัมผัสอากาศที่บริสุทธิ์เยี่ยงนี้ ก่อนจะหันกลับไปมอบรอยยิ้มอย่างสดใสให้กับบุรุษรูปงาม ซึ่งกำลังสะบัดพัดสีขาวในมือของเขาไปมาอย่างผ่อนคลายใจ

  "ขอบคุณคุณชายหยวนมาก ที่วันนี้อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่าของท่าน พาข้าออกมาสัมผัสทิวทัศน์และอากาศบริสุทธิ์แบบนี้"

  หยวนจูวเย่โปรยยิ้มหวานและหว่านเสน่ห์ความหล่อเหลาของเขาให้กับสตรีตรงหน้า

  "แค่ได้เห็นรอยยิ้มของแม่นางฟ่งยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเช่นนี้ก็พลอยสุขใจไปด้วย"

  เมื่อถูกอีกฝ่ายหยอดคำหวานให้เยี่ยงนั้น สตรีน้อยก็รู้สึกประหม่านิด ๆ จนเกือบวางสีหน้าต่อไปไม่ถูก แต่นางไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อม จึงถามถึงเจตนาของอีกฝ่ายออกมาตรง ๆ

  "ว่าแต่คุณชายหยวนมีเรื่องสำคัญอันใดถึงได้ขอนัดพบข้า เป็นการส่วนตัว แถมสถานที่เจอกันก็อยู่ห่างไกลจากผู้คนเยี่ยงนี้"

  "อ้อ! เรื่องนั้น...ข้าได้ยินจากแม่นางมู่ว่าท่านเป็นคนกว้างขวางรู้จักเหล่าชาวยุทธ์เยอะ ข้าเลยอยากขอร้องให้ท่านช่วยตามหาคนให้ได้หรือไม่"

  ปกติหยวนจูวเย่จะชอบแสดงสีหน้าอารมณ์ดีดูเป็นคนเจ้าสำราญตลอดเวลา แต่ครั้งนี้เขาดูจริงจังกับคำพูดประโยคนี้มาก

  "ตามหาคน ? คุณชายหยวนต้องการให้ข้าช่วยตามผู้ใดกัน คนรู้จัก...ญาติ...หรือคนรักของท่านงั้นรึ ?"

  สตรีน้อยถามบุรุษรูปงามกลับด้วยสีหน้าฉงนสงสัย

  คุณชายรูปงามจ้องหน้าและสบตากับสตรีน้อย สีหน้านิ่ง เขาเก็บพัดในมือเข้าหากันก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

  "ตาเฒ่าผู้หนึ่ง นามแซ่ฝู"

  "แซ่ฝู ?"

  ฟ่งหลันหลั่นทวนชื่อแซ่ของคนผู้นั้นซ้ำ หัวคิ้วทั้งสองข้างเลิกสูงขึ้นและขยับเข้าหากัน ในหัวก็ขบคิดตาม ก่อนจะส่ายหัวและตอบกลับอีกฝ่ายไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจเสียทีเดียว

  "ข้าไม่เคยได้ยินชื่อแซ่นี้ที่เมืองจิ่ว ท่านมั่นใจเหรอว่าคนผู้นี้อาศัยอยู่ที่นั่น"

  "ข้าเองก็ไม่ค่อยมั่นใจ คนผู้นี้เคยอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง แต่ก็ได้หายสาบสูญไปสิบปีแล้ว ข้อมูลล่าสุดที่สืบมาได้ คือมีคนเคยพบเห็นเขาปรากฏตัวขึ้นที่เมืองจิ่วเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้"

  สีหน้าจริงจังและครุ่นคิดกังวลของหยวนจูวเย่ที่เผยออกมา ทำให้ฟ่งหลันหลั่นเชื่อว่าเขาคงต้องการตามหาคนผู้นี้จริง ๆ และอาจจะเป็นคนสำคัญของเขาด้วย

  "ถ้าสามารถบอกรูปพรรณสัณฐานหรือตำหนิอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคนผู้นั้นได้บ้าง บางทีข้าก็อาจจะพอช่วยท่านได้"

  สตรีน้อยพูดขึ้นลอย ๆ พลางกอดหน้าอกและคิดถึงอดีตของตน ทั้งสถานที่และผู้คน ในตอนที่นางเคยอาศัยอยู่ในเมืองจิ่ว

  คนผู้นั้นเคยได้รับบาดเจ็บจากการถูกฟันทางด้านหลัง ถ้าเป็นไปได้ เขาอาจจะมีแผลเป็นรูปกากบาทไขว้ตรงแผ่นหลังก็ได้ เพราะบาดแผลในครั้งนั้นค่อนข้างสาหัสน่าดู"

  หยวนจูวเย่ต้องการความช่วยเหลือจากสตรีนางนี้จริง ๆ ทำให้เขาจำเป็นต้องบอกความจริงกับเธอ ในส่วนที่เขายังพอจะจำได้

  คำตอบนี้ของหยวนจูวเย่ทำให้สตรีน้อยฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ "แผลเป็นรูปกากบาทไขว้ทางด้านหลังอย่างนั้นเหรอ!"

  ตัดสลับกลับมายังแม่ทัพหนุ่มกับทหารนายกองคนสนิททั้งสองของเขา

  จางเก่อและเข่อลั่วทั้งสองคนสังเกตเห็นที่ร้อนรนใจของเจ้านายหนุ่มที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน แม้มันจะดูผิดวิสัยของผู้เป็นนาย ในการมาแอบดูหนุ่มสาวนัดพบพลอดรักกัน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะกล่าวคำทัดทานอันใด เพราะดวงตาของแม่ทัพหนุ่มวาววับราวกับจะพ่นไฟออกมาได้

  "เจ้าสองคนรู้ไหมว่าเขาสองคนนัดพบกันทำไม และพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่"

  แม่ทัพหนุ่มถามลูกน้องข้างกายขึ้นอย่างหงุดหงิดและเต็มไปด้วยความอยากรู้ แต่ยังไม่ทันที่จะมีลูกน้องคนใดตอบคำถาม เขาก็พูดขึ้นอีก

  "ไม่ใช่สิ นางทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง นางเป็นคนของข้า..." แม่ทัพหนุ่มพูดไม่ทันจบประโยคก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาและสีหน้าแปลกใจของลูกน้องทั้งสอง

  "...ข้าหมายถึง ทุกคนที่อยู่ภายในเรือนหลงหลิงล้วนเป็นคนของข้าใช่ไหม...ว่าแต่พวกเจ้าคิดว่าสองคนนั้นกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่งั้นรึ"

  แม่ทัพหนุ่มกล่าวถามลูกน้องขึ้น สายตาและท่าทางของเขาดูลุกลี้ลุกลน ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดูไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย อารมณ์คุกรุ่นและจิตใจก็ไม่สงบนิ่ง เพราะอยากจะเข้าไปดึงตัวฟ่งหลันหลั่น และพานางกลับเรือนหลงหลิงเสียเดี๋ยวนี้

  "ถ้านายน้อยอยากรู้และเป็นห่วงแม่นางฟ่งขนาดนั้น ทำไมพวกเราไม่เดินเข้าไปถามกันเลยให้จบขอรับ จะได้ไม่ต้องมายืนแอบหลบอยู่แบบนี้" เข่อลั่วพูดออกตามสิ่งที่อยู่ในหัว เพราะเขาเป็นพวกคิดน้อย และไม่ใช่คนที่ทำอะไรซับซ้อน ซึ่งต่างจากเจ้านาย

  จางเก่อกลัวว่าอารมณ์ที่ปรวนแปรของเจ้านายหนุ่มที่เป็นอยู่ในขณะนี้ อาจจะทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตจนก่อเกิดปัญหาตามมาได้ เขาจึงได้เอ่ยปรามสติแม่ทัพหนุ่มอย่างสุขุม

  "นายน้อย หากพวกเราเผลอบุ่มบ่ามเข้าไปหาทั้งสองคนและถ้าเกิดฝ่ายนั้นถามกลับมา ท่านจะตอบพวกเขาว่ายังไง อีกอย่างพวกเราก็ยังไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของคุณชายหยวนในครั้งนี้ ข้าว่าเรายืนรอดูเหตุการณ์จากตรงนี้ต่ออีกสักพักก่อนจะดีกว่าไหมขอรับ เพราะตอนนี้พวกเรายังไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของคุณชายหยวนผู้นั้น"

  คำกล่าวของจางเก่อได้เรียกสติแม่ทัพหนุ่มให้ฉุกคิดได้ และกลับมาเป็นตัวของตัวเอง แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีคำพูดของเข่อลั่วก็ทำให้จิตใจเขากลับมาว้าวุ่นอยู่ไม่สุขอีกครั้ง

  "จะอะไรเสียอีกล่ะ สภาพโดยรอบโอบล้อมไปด้วยเนินเขาเขียวขจี ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สายลมพัดโชยเย็นสบาย หนุ่มสาวนัดพบกันในสถานที่ เป็นใจแบบนี้ แน่นอนว่าต้องมาพลอดรักกันอย่างแน่นอน"

  จางเก่อได้ยินเช่อลั่วกล่าวออกมาอย่างฉะฉาน โดยไม่มองดูสีหน้าและอารมณ์ที่กำลังขุ่นมัวของผู้เป็นนายตรงหน้าเลยสักนิด ตัวเขานี่แทบอยากจะเอาสันของฝักกระบี่ในมือตีลงไปบนหัวของสหายตัวเองยิ่งนัก

  โชคยังดีที่แม่ทัพหนุ่มเรียกสติของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติได้แล้ว แต่กระนั้นจะให้ถอดใจกลับไปเฉย ๆ เขาก็ยังไม่วางใจ ในเมื่อทหารนายกองตัวอ้วนพูดมาชัดขนาดนี้ เขาก็เลยช่วยสนับสนุนความคิดนั้นของลูกน้องอีกแรง

  "ยังไงซะเรื่องที่สองคนนั้น นัดพบกันมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า ...เข่อลั่ว ไหนเจ้าก็ดูจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศและภาพตรงหน้านี้ ถ้างั้นเจ้ายืนอยู่ตรงนี้ รอดูจนกว่าแม่นางฟ่งของเจ้า จะเดินกลับเรือนละกัน"

  น้ำเสียงเรียบเรื่อยแอบแฝงอันตรายกรุ่น ๆ ของแม่ทัพหนุ่ม เล่นเอาลูกน้องทั้งสองคนไม่มีใครกล้ากล่าวสิ่งใดต่อจากเขา

  แต่ในจังหวะที่แม่ทัพหนุ่มกำลังหันหลังเพื่อจะกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ ในจังหวะนั้นเองก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น

  จู่ ๆ ก็มีกลุ่มคนสวมชุดดำหลายสิบคนได้ปรากฏตัวขึ้นและบุกเข้าโจมตีหยวนจูวเย่และฟ่งหลันหลั่นภายในศาลานักพเนจร

  ด้านฟ่งหลันหลั่นตกใจมากกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นางเข้าใจว่า หยวนจูวเย่เป็นเพียงบัณฑิตหนุ่มที่มากด้วยความรู้ด้านบุ๋น แต่คงไม่เก่งกาจด้านบู๊

  "คุณชายหหยวนไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องท่านเอง"

นางเอาตัวเข้าไปเป็นโล่ขวางทางของคมดาบหลายสิบเล่ม ที่กำลังชี้เป้ามายังพวกตน สตรีน้อยออกตัวเพื่อปกป้องคุณชายรูปงามด้วยสีหน้ามาดมั่น ทั้ง ๆ ที่สภาพของตัวเองในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเขา ไร้ซึ่งวรยุทธ์ แต่ด้วยเพราะติดนิสัยที่ไม่ยอมปล่อยให้คนอ่อนแอถูกรุมรังแกได้นั่นเอง

  แม้หยวนจูวเย่จะไม่มีวรยุทธ์ แต่เขาก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดกลัวตาย และไม่ใช่คนที่จะหลบอยู่หลังกระโปรงของสตรีเยี่ยงนี้ จึงได้รีบเบี่ยงตัวเดินไปยืนตรงหน้าของสตรีน้อยและขวางทางดาบไว้แทน

  "แม่นางฟ่ง หลบอยู่ข้างหลังข้าเถิด คนชุดดำพวกนี้มีอาวุธครบมือเช่นนี้ พวกเขาคงไม่มาดีแน่"

  "คุณชายฟ่ง ท่านต่างหากที่ต้องมาหลบอยู่ด้านหลังข้า เรื่องชกต่อยพวกนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ชาวยุทธ์เยี่ยงข้าเถอะ หากท่านเกิดได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอะไรไป แม่นางมู่คงจะไม่ยอมให้อภัยข้าแน่"

  ฟ่งหลันหลั่นเอาตัวเข้ามาขวางทางดาบไว้อีกครั้ง คำกล่าวของนางเมื่อสักครู่นี้ ได้ทำให้หยวนจูวเย่ครุ่นคิดตามอย่างสงสัย

  'มู่เซียวหลานมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องความปลอดภัยของเรากันนะ'

  กลุ่มชายสวมชุดดำ ซึ่งกำลังยืนล้อมวงและจ่อปลายดาบมาทาง หนุ่มสาวตรงหน้า เริ่มเวียนหัวกับการท่าทีของอีกฝ่ายจึงกล่าวขึ้นอย่างฉุนเฉียว

  "พวกเจ้าสองคนช่างรักกันดีเหลือเกินนะ เอาเป็นว่าถ้าพวกเจ้ายอมตามไปดี ๆ คมดาบของพวกข้าจะไม่ทำอันตรายใครว่าไง"

  'จะทำไงดีกับสถานการณ์นี้ดีนะ เป็นเพราะช่วยถอนพิษให้ตาแม่ทัพนั่น ทำให้เราพลอยซวยสูญเสียวรยุทธ์ไปซะด้วยสิ หากถูกคนนี้จับตัวไป ลำพังตัวเราเองก็คงหาทางเอาตัวรอดทีหลังได้ แต่คุณชายหยวนผู้นี้ล่ะ จะให้ทิ้งเขาก็ไม่ได้ด้วยสิ'

  ฟ่งหลันหลั่นยืนครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์อย่างกังวลอยู่ตรงด้านหลังของหยวนจูวเย่ ครู่ต่อมาดวงตากลมโตก็ฉายแววมุ่งมั่นออกมา ดวงหน้างามเชยคางขึ้นสูง

  "ข้าเป็นของแม่ทัพหลงผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นโหย่วนี้ หากพวกเจ้าคิดจะจับตัวข้ากับคุณชายผู้นี้ไปให้ได้ แม่ทัพหนุ่มของข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าลอยนวลไปได้อย่างแน่นอน"

  สิ่งเดียวที่ฟ่งหลันหลั่นคิดได้ในตอนนี้ คือการยืมชื่อเสียงและความเก่งกาจของหลงอี้หลิงมาข่มขู่กลุ่มชายชุดดำตรงหน้า โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้คนที่นางกำลังกล่าวถึงอยู่ กำลังยืนคุมเชิงสถานการณ์อยู่ไม่ไกลจากศาลานี้มากนัก

  พอแม่ทัพหนุ่มยิ่งเห็นภาพเหล่านั้น มันยิ่งตอกย้ำความคิดของเขา ด้วยความหึงหวงและโกรธที่เห็นผู้หญิงของตนกำลังออกตัวปกป้องชายอื่นต่อหน้าต่อตา ใจหนึ่งก็เป็นห่วงแต่ความโกรธมันมีมากกว่า เขาจึงยืนนิ่งเฉย มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าและวางท่าราวกับไม่สนใจความเป็นตายของนาง

  "นายน้อย ท่านจะไม่เข้าไปช่วยแม่นางฟ่งจริง ๆ หรือขอรับ ฝ่ายตรงข้ามเยอะขนาดนั้น ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่รอดแน่ขอรับ"

  เข่อลั่วกล่าวถามนายหนุ่มของตนอย่างกังวล เพราะยังไงฟ่งหลันหลั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของจวนหลงหลิงไปแล้ว จะให้ทนยืนมองนางตกอยู่ในอันตรายโดยที่ไม่ทำอะไรเลย มันทำให้เขารู้สึกกังวลใจในความปลอดภัยของนาง

  "นายน้อย ข้าสังเกตดูจากอาวุธในมือของพวกคนชุดดำ พวกเขาไม่น่าจะเป็นโจรป่าทั่วไป"

  เข่อลั่วกล่าวเสริมต่ออย่างร้อนรนใจ

  แต่หลงอี้หลิงก็ยังคงยืนนิ่งเฉย แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่จางเก่อ กล่าวกับเขา และยิ่งพอเห็นหยวนจูวเย่ขยับเข้ามาประชิดและแตะเนื้อ ต้องตัวฟ่งหลั่นหลั่น ความเดือดดาลในใจของเขายิ่งเริ่มฟุ้งซ่าน แม้จะเคยกรำศึกมานับครั้งไม่ถ้วน และเจอศัตรูมามากมายหลายรูปแบบ ทว่าตอนนี้เขาไม่อาจจะควบคุมสติของตนให้อยู่นิ่งเฉย ทนมองการกระทำนี้ของสตรีน้อยไปได้

  ในที่สุดแม่ทัพหนุ่มก็ไม่อาจจะต่อต้านความรู้สึกของตัวเองไปได้ เขายื่นมือเข้าช่วยเหลือหนุ่มสาวทั้งสองคน เพราะไม่สามารถทนเห็นคนที่ตนรักบาดเจ็บได้นั่นเอง

  แคร็ง!

  เสียงของอาวุธสองอย่างกระทบกระทั่งกันดังลั่นไปทั่วศาลา

  ฟ่งหลันหลั่นทำตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อเห็นหลงอี้หลิงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า แต่สายตาเย็นชาที่สบตากลับมา รวมทั้งสีหน้าถมึงทึงของ แม่ทัพหนุ่ม ทำให้สตรีน้อยผู้นี้รู้สึกหนาวสะท้านไปถึงข้างในขั้วหัวใจ

  'หลงอี้หลิง! เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังกัน คราวนี้เราจะหาเรื่องแก้ตัวยังไงดีนะ เขาไม่ชอบหยวนจูวเย่ ผู้นี้เสียด้วยสิ'

  สีหน้าสตรีน้อยเปลี่ยนไปในทันที แววตาเต็มไปด้วยความฉงนใจและวิตกกังวล ทั้ง ๆ ที่ตอนก่อนหน้านี้นางยังพูดจาข่มขู่กลุ่มชายชุดดำอย่างฮึกเหิมอยู่แท้ ๆ

....

เซียงไค 盛開