webnovel

จอมภูตสะท้านบัลลังก์

เจี้ยนเหวินศกปีที่ 4 (ค.ศ. 1402) เยียนอ๋อง จูตี้ เคลื่อนพลจากเป่ยจิงเข้าสู่ราชธานีนครหนานจิง ยึดบัลลังก์จากจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน (จูอวิ๋นเหวิน) ผู้มีศักดิ์เป็นหลาน แต่เมื่อเข้าเมืองได้ปรากฏว่าจักรพรรดิหนุ่มทั้งไม่ออกมายอมแพ้ถวายบัลลังก์ให้ ทั้งไม่ยอมฆ่าตัวตายให้พ้นความอับอาย กลับเผาวังแล้วหายตัวไป กลายเป็นเรื่องลึกลับดำมืดในประวัติศาสตร์ว่าเขาหายไปไหน นิยายเรื่องนี้แต่งเติมจากจินตนาการนำจักรพรรดิหนุ่มเดินทางหลบหนีไปได้ด้วยความช่วยเหลือของสุดยอดฝีมือฉายา จอมภูต ที่มีฉากหน้าเป็นสัปเหร่อ ทั้งมีความสามารถปลุกซากศพขึ้นมาใช้งาน จักรพรรดิหนุ่มกลายเป็นสัปเหร่อน้อยเคลื่อนไหวเพื่อเอาชีวิตรอดหาโอกาสพลิกฟื้นชิงบัลลังก์

DaoistpRuDrI · Historia
Sin suficientes valoraciones
13 Chs

บทที่ 9 พ่อค้าปลาหน้าเลือด

เช้าวันรุ่งขึ้น เมิ่งเถียนตื่นขึ้นมาอย่างปวดร้าวระบมไปทั้งร่างกาย การเดินทางในป่าเขาเป็นเรื่องไม่คุ้นชินสำหรับเขา เมื่อตื่นขึ้นก็บิดร่างอย่างปวดเมื่อยเหนื่อยอ่อน แต่เมื่อลืมตาตื่นเต็มที่ก็ให้ตกใจ เพราะเหลือเพียงเขาอยู่ภายในบ้านร้างคนเดียว ไร้วี่แววของสัปเหร่อเสียน

"อาจารย์ ! ท่านอยู่ไหน" เมิ่งเถียนชะโงกหน้าออกมานอกบ้านร้างแล้วร้องตะโกน แต่รอบข้างไม่มีผู้คน ตอนนี้เป็นเวลาสายแล้ว สว่างจ้า แม้มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมทั่วบริเวณแต่นับว่าสว่างจนเห็นสิ่งต่างๆ ชัดตา

เมื่อแลหาอาจารย์ไม่พบ เมิ่งเถียนเริ่มมีความหวาดหวั่นเกิดขึ้น จากเหตุร้ายต่างๆ นานาที่เขาพบมาในช่วงไม่ถึงเดือนนับว่าชีวิตเขาแขวนบนเส้นด้าย หากไม่มีอาจารย์ที่เป็นยอดฝีมือคอยปกป้องไม่รู้ว่าต้องตายไปแล้วสักกี่ครั้ง นับตั้งแต่เหตุการฆ่าฟันครั้งใหญ่ในอารามร้างเขาไม่เคยอยู่โดยไม่มีอาจารย์มาก่อน วันนี้จู่ๆ หาอาจารย์ไม่พบย่อมทำให้เกิดความตื่นตระหนก

"หรือว่าจะเกิดเรื่อง... เป็นไปไม่ได้ อาจารย์เป็นยอดฝีมือที่เลิศภพจบแดน ไม่มีทางเสียทีผู้ใดแน่นอน แต่ว่าออกไปไหนของเขานะ" เมิ่งเถียนบ่นพึมพำอยู่คนเดียว เดินวนไปมารอบบ้านร้าง ครู่หนึ่งได้ยินเสียงม้าเดินใกล้เข้ามา รีบถลันเข้าไปหลบที่หลังโขดหินใหญ่ลอบแอบมองออกมาอย่างหวาดหวั่น

ที่แท้ที่ใกล้เข้ามามิใช่ม้า หากแต่เป็นลาตัวหนึ่ง ลาลากเกวียนขนาดเล็กเดินมาตามทางอย่างแช่มช้า โดยมีชายแก่ผมหงอกหนวดเครารกครึ้มขาวโพลนเป็นคนบังคับมันจากที่นั่งบนเกวียน แม้จะเห็นเช่นนั้น แต่เมิ่งเถียนไม่กล้าแสดงตนให้ใครพบเห็น เขายังคงแอบอยู่หลังก้อนหินอย่างเงียบสงบ

"ใครอยู่ตรงนั้นออกมาเถิด เราเป็นพ่อค้าขายปลา ท่านสนใจปลาสดๆ ของเราหรือไม่ ?" ชายชราร้องเสียงแหบพร่า

เมิ่งเถียนเห็นเป็นคนแก่ดูท่าทางอ่อนแอ อีกทั้งลาและเกวียนก็ดูโกโรโกโสไม่น่ามีพิษภัย เขาจึงค่อยๆ ขยับออกมาจากหลังก้อนหินช้าๆ แต่ผิดคาด ! ทันใดที่เขาโผล่ร่างออกมา ชายชราบนเกวียนพลันถลันวูบพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วสุดเปรียบปาน กางฝ่ามือตะปบคว้าคอเสื้อและสายรัดเอวของเขากระชากร่างลอยติดมือกลับมาถึงข้างเกวียนในพริบตาเดียว

"อย่าทำข้าๆ ข้าเป็นเพียงสัปเหร่อน้อย ติดตามอาจารย์มาส่งศพ ไม่มีทรัพย์สินใด อย่าทำข้าๆ !!" เมิ่งเถียนร้องตะโกนละล่ำละลัก

ชายชราเงื้อมือขึ้นตบฟาดลงอย่างแรง แต่เมื่อใกล้ถึงใบหน้าก็หยุดยั้งลงแล้วระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น

"ฮ่าๆๆ เจ้ามันโง่จริงๆ ด้วย !!"

เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงทำให้เมิ่งเถียนเริ่มรู้สึกคุ้นหู

"อาจารย์ ! เป็นท่านหรอกหรือนี่ !?" เมิ่งเถียนตะเบ็งเสียง

ชายชราพลันยกมือปาดวูบที่ใบหน้าแล้วเอามือซุกเข้าไปในอก ปรากฏเป็นใบหน้ากลมเกลี้ยงศีรษะรูปไข่ของสัปเหร่อเสียนที่กำลังหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล

"ใช้ไม่ได้ๆ จริงๆ เวลาเช่นนี้ยังกล้าเสนอหน้าออกมาพบผู้คน การหลบซ่อนก็บัดซบ โผล่แทบจะครึ่งร่างออกมาให้คนพบเห็น ไม่ได้เรื่องๆ หากนี่เป็นคนของจูตี้ติดตามมาถึงหัวเจ้าคงแหลกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว"

"ท่านอาจารย์ท่านไปที่ใดมา ข้าตกใจแทบแย่ การแปลงโฉมของท่านร้ายกาจยิ่งข้าจดจำไม่ได้เลยว่าเป็นท่าน เหตุนี้กระมังท่านจึงไม่มีทั้งผมทั้งหนวดเครา เพื่อการแปลงโฉมนี่เอง" เมิ่งเถียนกล่าว

"เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนเป็นเช่นนั้นจริง ข้าจำเป็นต้องมีหลายโฉมหน้าเพื่อหลบเร้น แต่มาถึงตอนนี้ข้าแค่นึกสนุกเท่านั้น ได้เห็นหน้าเจ้าแตกตื่นนับเป็นเรื่องสนุกประการหนึ่ง ฮ่าๆ"

"เฮอะ ท่านสนุกข้าตกใจแทบตาย ว่าแต่ท่านไปไหนมาแต่เช้าหรือท่านอาจารย์" เมิ่งเถียนหันเหหัวเรื่อง ไม่อยากถูกหัวร่อต่อไปอีก

"ไปซื้อปลา แถมยังซื้อเกวียนและลามาด้วย เจ้าหิวแล้วหรือไม่ ไปก่อไฟ เราจะย่างปลากินกัน !"

สัปเหร่อหันไปหิ้วปลาพวงหนึ่งออกมาจากเกวียนน้อย เมิ่งเถียนรับปลาไปแล้วเหลียวมองพบว่าภายในเกวียนยังมีเข่งบรรจุปลาอีกมากหลาย ไม่รู้ว่าอาจารย์ของเขาซื้อปลาจำนวนมากขนาดนี้มาเพื่อทำอะไร

หลังจากกินอาหารเช้าเป็นปลาย่างหลายตัว เมิ่งเถียนเริ่มกระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่ยังคงสงสัยจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

"กิน !" สัปเหร่อเสียนตอบยิ้มๆ " อย่างแรกคือกิน พวกเราเดินทางรอนแรมอีกทั้งพบเรื่องมากหลายต้องกินของบำรุงกำลัง เนื้อปลานี้ดียิ่งย่อยง่ายช่วยให้กำลังวังชาฟื้นคืนเร็ว นี่เป็นปัจจัยที่หนึ่ง ส่วนปัจจัยที่สอง ข้าไปแต่เช้าเพื่อเสาะหาข่าวคนขายปลาผู้หนึ่ง..."

"เขาเป็นใครหรือท่านอาจารย์" เมิ่งเสียนสอบถามต่อ

"เป็นคนขายปลาที่หน้าเลือดนิยมค้ากำไรเกินควรผู้หนึ่ง แต่จำเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้ เดินทางอีกราว 2 คืน พวกเราก็จะเข้าเขตทะเลสาบไท่หู ทะเลสาบใหญ่ครอบคลุมบริเวณทั้ง อู๋ซี และซูโจว ที่นั่นเราจะได้พบกับมัน" สัปเหร่อเสียนแค่นเสียงเล็กน้อย ก็ปรายตาไปยังเข่งใส่ปลาที่เหลืออีกจำนวนมากในเกวียน

"จัดการแล่เคล้าเกลือแล้วเอาไปตาก ก่อนค่ำน่าจะแห้งพอให้สามารถเดินทางได้อีกสองวันโดยไม่เน่าเสีย" สั่งเสร็จหมายจะลุกขึ้นยืนแต่เมิ่งถียนพลันรั้งขากางเกงเอาไว้

"อะไรอีก !?" สัปเหร่อทำเสียงอย่างรำคาญ

"อาจารย์... ข้าแล่ปลาไม่เป็น..." เมิ่งเถียนกล่าวอย่างอายๆ ทำเอาผู้เป็นอาจารย์หน้าเหวอส่ายศีรษะ แต่ก็เห็นจริงตามนั้น ชายหนุ่มผู้นี้แต่เดิมมันเป็นถึงจักรพรรดิ มือไม่ไม่เคยแปดเปื้อนสิ่งใด แทบไม่เคยทำงานใดมาก่อน การให้มันแล่จัดการปลา เคล้าเกลือไปตากคงไม่ใช่เรื่องที่มันรู้จัก สุดท้ายอาจารย์ลงมือให้ดูสองสามตัวและปล่อยให้ลองทำเสียหายอีกนับสิบ การแล่ปลาเคล้าเกลือเพื่อตากจึงพอเป็นรูปเป็นร่างขึ้นบ้าง สุดท้ายยังเสร็จทันเวลา ปลาได้แดดตลอดวันไปจนถึงยามเย็น แห้งหมาดสามารถเก็บรักษาได้นานขึ้นอีกหลายวัน ตกค่ำสองอาจารย์ลูกศิษย์เก็บข้าวของขึ้นเกวียนน้อยบังคับลาให้ออกเดินทาง

จนถึงตอนนี้เมิ่งเถียนยังไม่ทราบว่าเหตุใดจึงต้องจัดเตรียมปลามาด้วยเป็นจำนวนมาก แต่ในใจลึกๆ บอกเขาว่ามันย่อมต้องมีความสำคัญ ทุกครั้งที่อาจารย์ของเขาลงมือล้วนมีเป้าหมาย และมักไม่ธรรมดา ดูอย่างศพของสองผัวเมียแซ่เจิน ยังถึงกับกลายเป็นอาวุธสังหาร !

.....................................

ผ่านไปสองคืนในการเดินทางรอนแรม สองศิษย์อาจารย์เลือกพักกลางวันเดินทางกลางคืน หนึ่งเพื่อหลบเร้นสายตาพบเจอผู้คนให้น้อยเข้าไว้ สองทำให้ไม่ต้องทรมานกับแสงแดดในยามกลางวัน เดินทางกลางคืนอากาศเย็นสบาย เพียงแต่แลกมากับบรรยากาศที่ไม่ดีอยู่บ้าง ทัศนียภาพไม่อาจมองเห็นได้ชัด และสำหรับเมิ่งเถียนมันค่อนข้างสั่นประสาทในความวังเวง แต่เมื่อเวลาใกล้รุ่งของวันคืนที่สอง ก็เริ่มเข้าสู่ดินแดนที่มีความเจริญ

เมืองอู๋ซี นับเป็นเมืองที่มีความเจริญพอสมควร อยู่ติดกับทะเลสาบไท่หู อันเป็นหนึ่งในทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุด ใกล้ปากแม่น้ำแยงซีเกียง เต็มไปด้วยเกาะใหญ่น้อยกว่า 90 เกาะ มีขนาดต่างๆ กันไป บางเกาะเล็กจนแทบขยับกายได้ไม่กี่ก้าว บางเกาะกลับมีขนาดใหญ่โตจนสามารถตั้งบ้านตั้งเมือง ทัศนียภาพริมทะเสสาบยิ่งมองยิ่งงดงาม ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันลือชื่อมากกว่าพันปี เมิ่งเถียนเองแม้ไม่ได้นอนมาทั้งคืนแต่เมื่อได้เห็นทัศนียภาพยังอดตื่นตาตื่นใจในความงามไม่ได้ แน่นอนว่าเมื่อเดินทางเข้าสู่เมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้น้ำย่อมพบตลาดขายปลาค้าสัตว์น้ำเพื่อบริโภค จุดหมายปลายทางที่พวกเขารอนแรมมาคือที่แห่งนี้... มาขายปลา !

ใช่แล้ว สัปเหร่อเสียนสร้างความงุนงงครั้งใหม่ให้กับลูกศิษย์อีกครา ด้วยการบอกให้เขาเอาเกวียนน้อยเทียมลาไปตั้งแผงอยู่มุมหนึ่งของตลาด ตัวอาจารย์หลบเข้าไปในตรอกน้อยวูบหนึ่งก็กลับออกมาในสภาพชายชราผมหงอกขาวหนวดเครายาวเช่นเดียวกับเมื่อเช้าวันก่อน ถึงกับออกมายืนตะโกนร้องเร่ขายปลาแห้งในตลาดอย่างไม่ขัดเขิน...

กิจการถือว่าไม่เลวเพียงครู่เดียวปลาที่ผ่านการชำแหละเคล้าเกลือและตากแดดโดยอดีตจักรพรรดิหนุ่มก็ขายได้ไปกว่าครึ่ง เมิ่งเถียนแม้มึนงงสงสัยในพฤติกรรมของอาจารย์แต่ก็รู้สึกสนุกไปกับการหยิบยื่นปลารับเศษเงิน ชีวิตคนธรรมดาเช่นนี้นับว่าสนุกสนาน ไม่ต้องจมอยู่ในหัวงความกดดันเหมือนอยู่บนบัลลังก์มังกร นับว่าเป็นความสุขแปลกใหม่ที่เขาค้นพบ ยิ่งเห็นใบหน้าผู้คนหลากหลายอารมณ์ยิ่งเพลิดเพลินมีความสุขจนคิดเกินเลยไปว่าจะนำเงินที่ขายได้ไปซื้อปลามาทำปลาแห้งขายเพิ่มดีหรือไม่...

ก่อนเวลาเที่ยงวันเล็กน้อย มีสาวน้อยนางหนึ่งเดินเร่ขายขนมเปียะไส้เนื้อไส้ถั่วเดินเข้ามาหยุดที่หน้าเกวียนขายปลา พลางเปิดตะกร้าขนมออกร้องเชิญชวนให้ซื้อ สัปเหร่อเถียนยิ้มรับ ส่งเงินให้หยิบเอาขนมมาสองชิ้นยื่นส่งให้เมิ่งเถียนอันหนึ่ง แล้วยังล้วงมือไปหยิบปลาแห้งส่งให้เด็กสาวเป็นกำนัลอีกตัว เด็กสาวพยักหน้าแย้มยิ้มแล้วเดินจากไป

"งดงามไม่เลว อีกไม่นานคงเป็นโฉมสะคราญนางหนึ่ง..." เมิ่งเถียนพูดออกมาเบาๆ ขณะเหม่อมองตาม

"ไปกันได้แล้ว พ่อค้าปลาอนุญาตให้เราไปพบแล้ว" สัปเหร่อเสียนกล่าวขึ้นพลางขยับกายลุกขึ้นทำท่าเก็บของเพื่อเดินทาง

"เดี๋ยวสิอาจารย์เรายังขายไม่หมด ปลาเหลืออีกเพียงเลกน้อยเท่านั้น" เมิ่งเถียนขัดขึ้น "เราจะซื้อปลาสดไปแปรรูปเพิ่มดีหรือไม่ ข้าเห็นท่านป้าด้านโน้นขายปลาแบบเดียวกับที่เราใช้ทำปลาตากแห้ง น่าจะสดดีไม่เลว"

สัปเหร่อเสียนในคราบพ่อค้าปลาหนวดยาวผมหงอกขาวยกมือเท้าสะเอวมองตาปริบๆ แล้วส่ายหน้าถอนหายใจดังเฮือก

"เป็นพ่อค้าปลามืออาชีพไปแล้ว... บ้านเมืองหนอบ้านเมือง... เถ้าแก่ฉงปา ท่านก็เป็นผู้เหี้ยมหาญ ไฉนมีเจ้าลูกเต่านี่เป็นหลานชายได้..."

"ไปได้แล้ว !" ชายแก่สั่งเสียงดัง ทำเอาเมิ่งเถียนสะดุ้งลนลานเก็บข้าวของ

"พอแล้วๆ วันนี้ขายเท่านี้พอแล้ว โปรดมาอุดหนุนใหม่วันหน้า" เมิ่งเถียนประสานมือคำนับผู้คนที่เดินเข้ามาดูปลาแห้งของพวกเขา เก็บของเสร็จสรรพก็เดินตามอาจารย์ไป

ตลาดแห่งนี้ค่อนข้างกว้าง ผู้คนมากมาย แม้เป็นเวลาเที่ยงยังมีคนค้าขายเข้าออก นับเป็นเมืองที่คึกคัก ชั่วครู่ก็ออกจากตลาดเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง เดินเข้าไปเล็กน้อยก็พบสาวน้อยขายขนมเปียะยืนรออยู่ เมื่อเห็นทั้งสองนางค้อมกายให้เล็กน้อยแล้วผายมือทำท่าชี้เชิญให้ติดตามไป

"อ่า... ที่แท้นางเป็นผู้มาแจ้งข่าวผู้นัดหมายให้ท่านทราบหรอกหรือ" เมิ่งเถียนพลันเข้าใจสถานการณ์ ที่แท้การมาขายปลาในตลาดเป็นเพียงการจัดฉากเพื่อรอเข้าพบคนที่ต้องการ เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องลงทุนปลอมเป็นคนขายปลาให้วุ่นวายถึงปานนี้

"ผู้ที่เราจะไปพบ เป็นพ่อค้าปลาผู้หนึ่ง หากอยากพบพ่อค้าปลา เจ้าย่อมต้องมาที่ตลาดปลาและเจ้าจะจับเจ่ารอในตลาดปลาได้โดยไม่มีคนสงสัยก็ต้องทำตนเป็นคนขาย มีแต่พ่อค้าแม่ค้าเท่านั้นที่สามารถอยู่ในตลาดได้ยาวนานโดยไม่ผิดสังเกต เรากระทำอย่างมีจุดหมายเพียงแต่ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะติดใจชีวิตพ่อค้าปลาเยี่ยงนี้..." สัปเหร่อเสียนกระซิบเบาๆ เหมือนทราบความสงสัยของลูกศิษย์ เพียงแต่พูดไม่ทันขาดคำพลันตะปบคว้าเมิ่งเถียนให้พลิกร่างไปอีกด้าน เท้าดีดออกเบาๆ ส่งดันสามง่ามเหล็กหยาบใหญ่อันหนึ่งเด้งกลับไปในซอกตึกที่มืดมิดริมถนน แต่กลับไม่มีเสียงอันใดดังกลับออกมา

"หยุดมือ !" เสียงตะโกนดังลงมาจากระเบียงของบ้านใหญ่หลังหนึ่งที่อยู่ริมถนน ปรากฏชายร่างสูงใหญ่สวมชุดแบบคหบดีหรูหรายืนยิ้มและประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม

"มาแล้วๆ เชิญท่านขึ้นมารับน้ำชาด้านบน เหล่าบริวารใช้การไม่ได้ของเราได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานานเพียงอยากชื่นชมบารมี จึงเสียมารยาท เถ้าแก่เสียนโปรดอย่าได้มีโทสะ..." ชายอ้วนในชุดคหบดีกล่าวอย่างอ่อนน้อม แต่ที่น่าตระหนกคือ เพียงเสียงมาถึงหูกายมันก็ลงมาถึงพื้นถนน มันที่ร่างอ้วนใหญ่กับมีท่าร่างที่รวดเร็วอย่างยิ่ง พลันลงมายืนยิ้มคำนับอยู่ห่างจากสองศิษย์อาจารย์ไม่ถึงสิบวา !

"มัจฉาวารี ท่าเท้าท่องคลื่น ได้เห็นวันนี้นับเป็นบุญตา เถ้าแก่เซี่ยท่านสบายดี ?" สัปเหร่อเสียนลูบมือวูบหนึ่งผมขาวและหนวดเคราพลันหายไปอย่างอัศจรรย์

คหบดีแซ่เซี่ยยิ้มกว้าง พลางยกมือขึ้นชู

"ห้าแสนตำลึงขาดตัว"

เมิ่งเถียนอ้าปากหวอไม่เข้าใจเรื่องที่ว่ากล่าว แต่เชื่อว่าเป็นการต่อรองเสนอราคาอย่างใดอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังมีมูลค่ามหาศาลเพียงพอต่อการเลี้ยงกองทัพทั้งกอง

"พวกเราคนค้าขาย คุยเรื่องเงินทองก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากล่าวกัน ราคานี้ถือว่าไม่แพงในการขนส่งสินค้าให้ท่าน..."

"เถ้าแก่เซี่ยสมเป็นพ่อค้าใหญ่ แต่ว่าราคานี้ออกจะตึงมือไปบ้าง..." สัปเหร่อเสียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

"เถ้าแก่เสียน เพื่อขนสินค้าให้ท่านดูเหมือนข้าต้องทุ่มเทมากมาย เดินทางไกลปานนี้การจัดเตรียมย่อมมีมากนัก" ชายร่างอ้วนใหญ่ทำท่านับนิ้วแล้วผายมือออกทั้งสองข้าง ยิ้มอย่างอับจน

"เรือของท่านต้องล่องทะเลใต้ไปค้าขายยังหล่อหู่ (ละโว้) อยู่แล้ว พวกเราเพียงโดยสารชั่วครู่ ค่าขนส่งพวกเรานับเป็นกำไรล้วนๆ แทบจะกล่าวว่าเป็นเงินแถมได้เพิ่มเปล่าๆ จ่ายที่สามแสนตำลึงเป็นอย่างไร" สัปเหร่อยกมือขึ้นชู 3 นิ้ว

คหบดีทำคิ้วขมวดสีหน้าครุ่นคิดเอามือยัดเข้าไปในแขนเสื้อขยับขยุกขยิกทำท่าคล้ายปล่อยให้มือสองข้างสนทนาหารือกันใต้ร่มผ้า สุดท้ายทำปากคว่ำสะบัดหน้ากล่าว

"สามแสนหกหมื่นตำลึงขาดตัว พรุ่งนี้ยามค่ำออกเดินทาง ท่านไปกับขบวนสินค้าของพวกเรา รุดไปลงเรือขนสินค้าที่หางโจว เดินทางเลียบอ่าวไปขึ้นเรือใหญ่ที่เฉวียนโจวเพื่อเดินทางล่องทะเลใต้ !"

"ขอบคุณเถ้าแก่เซี่ย" สัปเหร่อเสียนค้อมคำนับ พลางจะหันกายพาลูกศิษย์จากไป

"หากมิรังเกียจท่านสามารถพักแรมที่โรงเตี๊ยมของข้าได้ เป็นที่พักดีที่สุดในเมืองนี้ สุราชั้นเลิศอาหารขึ้นชื่อหญิงงามโฉมสะคราญมีให้ครบครัน ถือว่ารวมในค่าขนส่งครั้งนี้ไม่คิดเพิ่ม" คหบดีร้องตามหลัง

"ข้ามีกิจธุระอื่นอีกเล็กน้อย พรุ่งนี้จะไปตามเวลาขอบคุณน้ำใจของท่าน" สัปเหร่อเสียนเพียงหันมายิ้มโบกมือก่อนคำนับลา แล้วพาเกวียนน้อยเทียมลากับลูกศิษย์เดินจากไป...

เพียงชั่วครู่ความเงียบก็เข้าปกคลุมตรอกแห่งนั้น แต่ไม่กี่อึดใจต่อมาพลันคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนมากกว่าสิบชีวิต มีอย่างน้อย 8 คน หิ้วแหที่จัดทำจากเส้นใยโลหะก้าวออกมา ที่เหลือล้วนมีอาวุธในมือพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นฉมวก สามง่าม หน้าไม้ มีอยู่ 2 คน ที่ถือค้อนเหล็กมหึมา นับเป็นกลุ่มคนที่น่าพรั่นพรึงกลุ่มหนึ่ง

หญิงสาวที่ขายขนมเดินอย่างเงียบงันมาถึงข้างกายชายร่างใหญ่แซ่เซี่ยพลันกล่าวขึ้นเบาๆ

"ไฉนนายท่านไม่ออกคำสั่งครากุมคน"

ผู้ที่ถูกเรียกเป็นนายท่านเหม่อมองไปตามถนน พลางถอนหายใจเบาๆ

"อันตรายเกินไป อาศัยพวกเราทั้งหมดคงไม่สามารถจัดการพวกมันได้ ปลาตากแห้งในเกวียนนั้นข้าเชื่อว่ามีไม่ต่ำกว่า 10 ตัว ที่แฝงเลศนัยอาจมีพิษร้ายหรืออาวุธลับแอบแฝง แต่ที่น่ากลัวกว่าคือวันนี้หมู่บ้านของเราพลันมีงานศพเกิดขึ้นพร้อมกัน 3 งาน 2 งานเป็นศพที่ถูกจัดส่งมาจากต่างถิ่น อีกศพหนึ่งเป็นคนในเมือง ทุกศพล้วนมีญาติพี่น้องต่างถิ่นมาร่วมเป็นจำนวนมาก และดูเหมือนขบวนส่งศพของพวกมันพึ่งเคลื่อนผ่านบริเวณนี้ไปเมื่อสักครู่นี้เอง..."

"นายท่านหมายถึง พวกมันวางกองกำลังตระเตรียมทำศึกกับพวกเราอยู่ก่อนแล้ว !?" หญิงสาวทำท่าตกใจเนื่องจากตนเป็นเจ้าถิ่นแถบนี้กลับไม่ระแคะระคายเรื่องผิดปกติดังกล่าวมาก่อน ไม่... ไม่เพียงไม่ระแคะระคาย ถึงกับยังไม่เคยใส่ใจเรื่องเหล่านี้มาก่อน นับเป็นความผิดพลาดที่น่าหวาดหวั่น

"ลูกเอ๋ย... ลูกสาวของพ่อ ยุทธภพเป็นสถานที่คลื่นลมรุนแรง ผู้คนที่ตั้งตนเป็นใหญ่ครองความยิ่งยงมาเป็นเวลานานย่อมไม่ใช่เกิดขึ้นจากโชค ทุกอย่างล้วนผ่านการขบคิดวางแผนและตระเตรียมมาอย่างดี ขบวนส่งศพทั้ง 3 สาย เป็นไปได้หรือที่จะเผอิญมาบรรจบในบริเวณเดียวกันได้อย่างพอดิบพอดี พวกมันล้วนรวมกำลังมาเพื่อเสริมอำนาจให้นายเหนืออย่างแน่นอน... พวกเราชาวน้ำถึงจะเก่งกล้าเป็นเจ้าถิ่น แต่อย่างไรก็เป็นผู้คน หากเข้าปะทะกับพวกที่ลี้ลับและสามารถใช้งานซากศพ ดูจะเป็นเรื่องขาดทุนไม่น้อย ครั้งนี้ให้ความช่วยเหลือพวกมันเรายังสามารถทำผลกำไร อีกทั้งเป็นมิตรกันไว้ไม่แน่ว่าวันหน้าสามารถอาศัยความวุ่นวายที่มันจะก่อขึ้นสร้างโอกาสให้งานใหญ่ของเราได้ !"

ชายร่างใหญ่กล่าวอย่างปราณีหลังโบกมือให้เหล่าบริวารออกไปจนหมดสิ้น ที่แท้เด็กสาวขายขนมเป็นลูกสาวคนเดียวของมัน ชายร่างใหญ่ถอนหายใจอีกเฮือกเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า

"แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือตัวของมัน... สัปเหร่อแซ่เสียนคนนี้แม้ไม่ทันเข้าใกล้ อาถรรพ์ในกายของมันก็แผ่ซ่านจนครอบคลุมบริเวณ ตั้งแต่ตอนพบเห็นมันข้าสำรวจหาจังหวะลงมือไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแต่มันสามารถอาศัยการเคลื่อนไหวธรรมดาเสมือนไม่ใส่ใจปิดสกัดช่องโหว่ที่ข้าหมายตาได้ทั้งหมด นับเป็นยอดฝีมือที่น่าตระหนกอย่างแท้จริง... ข้าไม่อาจลงมือต่อมันหากไม่มั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อมีเจ้าอยู่ในที่นี้ด้วย..."

กล่าวจบพยักหน้าให้เด็กสาว สองพ่อลูกพากันเดินกลับเข้าไปในตัวอาคารสองชั้นริมถนนอย่างเงียบงัน...

.......................................