webnovel

จอมภูตสะท้านบัลลังก์

เจี้ยนเหวินศกปีที่ 4 (ค.ศ. 1402) เยียนอ๋อง จูตี้ เคลื่อนพลจากเป่ยจิงเข้าสู่ราชธานีนครหนานจิง ยึดบัลลังก์จากจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน (จูอวิ๋นเหวิน) ผู้มีศักดิ์เป็นหลาน แต่เมื่อเข้าเมืองได้ปรากฏว่าจักรพรรดิหนุ่มทั้งไม่ออกมายอมแพ้ถวายบัลลังก์ให้ ทั้งไม่ยอมฆ่าตัวตายให้พ้นความอับอาย กลับเผาวังแล้วหายตัวไป กลายเป็นเรื่องลึกลับดำมืดในประวัติศาสตร์ว่าเขาหายไปไหน นิยายเรื่องนี้แต่งเติมจากจินตนาการนำจักรพรรดิหนุ่มเดินทางหลบหนีไปได้ด้วยความช่วยเหลือของสุดยอดฝีมือฉายา จอมภูต ที่มีฉากหน้าเป็นสัปเหร่อ ทั้งมีความสามารถปลุกซากศพขึ้นมาใช้งาน จักรพรรดิหนุ่มกลายเป็นสัปเหร่อน้อยเคลื่อนไหวเพื่อเอาชีวิตรอดหาโอกาสพลิกฟื้นชิงบัลลังก์

DaoistpRuDrI · History
Not enough ratings
13 Chs

บทที่ 8 ผีดิบอาละวาด

เมื่อออกจากประตูเมืองมาได้เมิ่งเถียนถอนหายใจโล่งอก ทำท่าคล้ายจะอ้าปากพูดอันใด แต่ถูกอาจารย์บอกใบ้ให้หุบปาก จนผ่านไปอีกเกือบหนึ่งชั่วยาม สัปเหร่อเสียนจึงกล่าวออกมา

"ลำบากเจ้าแล้ว ให้เจ้านิ่งเงียบดูเหมือนเป็นการทรมาน แต่ยามหลบเร้นไม่อาจไม่ทำเช่นนี้..."

"ไม่เป็นไรๆ ข้าเพียงตึงเครียดเมื่อต้องผ่านเหล่าทหารที่ประตูเมืองเหล่านั้น เกรงจะถูกจับได้" เมิ่งเถียนกล่าว

"ทหารทั่วไปไม่ได้รับบัญชาให้ค้นหาเจ้าหรอก จูตี้อาของเจ้าเพียงภาวนาให้จู่ๆ เจ้าระเหยหายไปในอากาศแล้วไม่กลับมาอีกเลย เกรงกลัวที่สุดก็คือ มีเจ้าโผล่ขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลัวกระทั่งจู่ๆ มีคนแอบอ้างปลอมเป็นเจ้าปรากฎขึ้นเพื่อสร้างเงื่อนไขแย่งชิงบัลลังก์ เพราะตอนนี้แผ่นดินแม้ชิงได้สำเร็จแล้ว แต่ยังไม่อาจนับว่ามั่นคงเต็มที่ การค้นหาเจ้าอย่างเอิกเกริกจึงไม่เกิดขึ้น ด้วยหวั่นจะเป็นการกวนน้ำให้ขุ่นก่อหวอดให้เหล่าขุนนางนายทหารก่อการแย่งชิงอำนาจโดยอาศัยชื่อเจ้าเป็นเหตุ การติดตามเจ้าจึงค่อนข้างกระทำอย่างลอบเร้น ที่ต้องระวังเป็นเหล่าคนสนิทที่มันมอบหมายให้ไล่ล่า เชื่อว่ามีไม่มากนัก และ... เหล่าผู้ที่ขับขี่ม้าไล่มาเบื้องหลังน่าจะเป็นหนึ่งในพวกนั้น..."

สัปเหร่อเสียนกล่าวถึงตอนท้ายก็แค่เสียงออกมา

"มาได้ดี พอดีได้จังหวะทดสอบ !"

เมิ่งเถียน ทำตาโตด้วยความตกใจ ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากควบขับมาตามทางเบื้องหลังอย่างเร่งร้อน สัปเหร่อเสียน ไม่พูดจา พลันลุกขึ้นยืนสะบัดสองมือดันเบาๆ ไปด้านหลังโลงไม้หนาหนักสองใบก็พลันเลื่อนลงจากรถม้าไปตั้งตระหง่านอยู่ที่กลางถนน !

เพียงชั่วครู่ก็ปรากฏขบวนผู้คนควบขับม้าจำนวนสิบกว่าตัวรุดเข้ามาถึง ทั้งหมดเพียงดูก็รู้ว่าเป็นคนของทางการ บ้างแต่งชุดทหารบ้างแต่งชุดองครักษ์ บางคนถึงกับห้อยป้ายทอง แต่เมื่อเห็นโลงสองใบตั้งชี้ฟ้าอยู่กลางถนนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ พากันดึงรั้งม้าไว้ เสียงดังอื้ออึง ทั้งคนทั้งม้าสับสนถึงกับชนกันไปมาวุ่นวาย ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงสามารถหยุดลงได้ ชายร่างสูงใหญ่แต่งกายชุดองครักษ์คนหนึ่งขี่ม้าแหวกออกมา พร้อมทหารคู่ใจอีกสองนาย

"เรียนเชิญพวกท่านหยุดสนทนากันสักครู่ !" ทหารนายหนึ่งร้องเสียงดังขึ้น

สัปเหร่อเสียนลุกขึ้นยืนช้าๆ กดไหล่เมิ่งเถียนเอาไว้ไม่ให้ลุกตาม เพียงกล่าวเบาๆ ว่า

"จงนั่งอยู่นิ่งๆ"

พูดจบปีนลงจากรถม้าอ้อมไปด้านหลังแล้วไปหยุดยืนอยู่เบื้องหลังโลงสองใบ ทำให้ยังไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขาได้อย่างเด่นชัด

"ใต้เท้าทั้งหลาย ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด พวกเราเป็นสัปเหร่อต่ำต้อย ได้รับการไหว้วานให้ขนส่งศพกลับบ้านเดิมที่หางโจว พอดีม้าเกิดตกใจทำโลงตกลงมาตั้งบนพื้นกำลังจะเก็บขึ้นรถ"

โลงศพสองใบแม้ใหม่เอี่ยม แต่ก็เป็นโลงศพ การพบของเช่นนี้กลางถนนในยามกลางคืนเป็นเรื่องชวนให้ขวัญผวา... แม้แต่คนที่ปกติขวัญกล้า เมื่อเจอสถานการณ์ที่ผิดประหลาดเช่นนี้ชั่วขณะไม่อาจผลีผลามลงมือกระทำสิ่งใด

"ไม่แน่ชัดว่าเป็นพวกมันหรือไม่ เราควรเข้าตรวจค้น"

ทหารที่ข้างกายองครักษ์คนหนึ่งกล่าวขึ้นเบาๆ แต่พลันองครักษ์แค่นเสียงตัดบทขึ้นว่า

"ฆ่าก่อนค่อยพิสูจน์ซากศพ ชักอาวุธ เตรียมเกาทัณฑ์ !!"

สิ้นเสียงทหารทั้งหมดพลันรายล้อมม้าเข้ามาเป็นครึ่งวงกลม แบ่งเป็นสองแถว แถวหน้ากระชากคันธนูที่พกพามาขึ้นน้าวศรอย่างพร้อมเพรียม แถวหลังชักดาบเตรียมเข้าประชิด นับเป็นกองทหารที่มีประสิทธิภาพสูงหน่วยหนึ่ง แต่ผู้ที่ทหารหน่วยนี้มาพบไม่ใช่ชนชั้นทั่วไป และมันไม่ได้อยู่ลำพัง... นอกจากร่างสูงวัยอวบท้วมของมันแล้วยังมีศพอีกสองซาก ! เป็นซากที่ซ่อนอยู่ในโลงใหม่เอี่ยม

จอมภูตหัวเราะแล้วตบเบาๆ เข้าที่ด้านหลังของโลงศพ พลันเกิดเสียงดัง ปง ! ขึ้น เสียงดังจนเมิ่งเถียนอดไม่ได้ต้องแอบก้มหันร่างกลับมามองอยู่หลังพนักพิงของรถม้า

ฝาโลงสองอันกระเด็นหวือออกมาพุ่งเข้าใส่กองทหารที่อยู่บนหลังม้า แต่ยังไม่ทันจะปะทะกับผู้ใด ฝ่าโลงทั้งคู่พลันถูกกระแทกทำลายจนแหลกกระจุยกระเด็นไปออกไปทางด้านข้าง พลันปรากฏร่างชายร่างสูงใหญ่หนวดเครายาวจรด อก ในชุดขาวยืนขวางอยู่เบื้องหน้ากองทหาร

"พญายมซุนเซิงอยู่ที่นี่ ภูตผีตนใดกล้าอาละวาด !" ชายร่างใหญ่คำรามก้อง เสียงดังสะท้านจนแก้วหูผู้คนรอบบริเวณลั่นเกรียวกราว เมิ่งเถียนถึงกับต้องยกมือปิดหูด้วยความเจ็บปวด พญายมซุนเซิง เป็นยอดฝีมือฝ่ายอธรรมที่รับภารกิจสังหารคนอีกผู้หนึ่งในแดนภาคกลาง หลายปีมานี้ฟังว่าคนที่มันหมายตาสังหารแทบไม่เคยมีใครเหลือรอด ดังนั้นจึงตั้งฉายานามตนเองเป็น "พญายม" มีความชิงชังจอมภูตอยู่แต่แรกแม้ไม่เคยพบปะ เพียงเพราะมันมีฉายาพญายม อีกฝ่ายมีฉายาจอมภูต จึงถือเอาอีกฝ่ายที่มีชื่อเสียงเกริกไกรความเป็นอยู่เร้นลับเป็นเป้าหมาย คิดกำจัดลงเพื่อเสริมบารมีของตน มันเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่ถูกราชสำนักเรียกตัวมาช่วยในการค้นหาเป้าหมายอย่างลับๆ วันนี้พอดีมันมากับองครักษ์เพื่อตรวจตราประตูเมืองจึงตามติดมากับขบวนทหาร การพบกับผู้ที่เชื่อได้ว่าเป็นจอมภูตย่อมสบใจมันอย่างยิ่ง !

"ในที่สุดก็มาจนได้... ฟังว่าเจ้าตามหาจอมภูตมานานเพียงเพราะมีฉายาข่มกัน... เจ้าคิดว่าแค่ตั้งชื่อก็สามารถเอาชัยได้ ?" สัปเหร่อเสียนกล่าวช้าๆ มาจากหลังโลงศพ

"ทางด้านนี้ขอมอบให้ท่านจัดการ !" องครักษ์ประสานมือกล่าวกับยอดฝีมือฉายาพญายม จากนั้นหันไปสั่งเหล่าทหาร

"ทั้งหมด ล้อมเข้าไปยิงเกาทัณฑ์สังหารคนในรถแล้วค่อยว่ากล่าว !"

สิ้นเสียงสั่งพลันเกิดเหตุชุลมุน ศพสองซากในโลงพลันลืมตาขึ้นกระเด้งหวือออกจากโลง ทหารเสียกระบวนฉับพลันยังไม่สามารถโอบขบวนเข้าไปด้านหน้ารถได้ แต่ซากศพไม่ได้พุ่งเข้าหากลุ่มทหาร มันกลับยกแขนขึ้นกางมือออกปรากฏให้เห็นเล็บยาวแหลมคมสีดำสนิท จากนั้นสาดพุ่งเข้าหาพญายมซุงเซิง !

"มาได้ดีเจ้าผีดิบ !" พญายมพลันบิดร่างอย่างประหลาดคล้ายคนไร้ข้อต่อแขนตวัดไปด้านหลังไหล่กลับพลิกมาด้านหน้าร่างกายเอียงโยกไปมาแต่ขายังมั่นอยู่ที่พื้น หลบรอดจากกรงเล็บของซากศพทั้งสองไปได้โดยกรงเล็บทั้งสี่เพียงฉวัดเฉวียนไปมาไม่สัมผัสกาย

"วิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น ! ไม่เลวๆ นับว่าเป็นศิษย์เส้าหลินที่ยอมลงไปจุติในนรกผู้หนึ่ง" จอมภูตเอ่ยชมเชย

ที่แท้พญายมซุนเซิง เป็นอดีตพระวัดเส้าหลินเป็นศิษย์สังกัดหอคัมภีร์ แต่ทำผิดกฎแอบขโมยฝีกวิชาในคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเมื่อถูกจับได้จึงหลบหนีออกจากวัด แต่เนื่องจากฝีกยอดวิชาทำให้หลายปีมานี้เส้าหลินยังไม่อาจจับตัวกลับไปรับโทษได้ อีกทั้งไม่กล้าแพร่งพรายว่า พญายมที่เป็นยอดฝีมืออันชั่วช้าถึงกับเป็นศิษย์ทรยศของเส้าหลิน

จอมภูตกล่าวพลางยกมือขึ้นโบก ฉับพลันศพทั้งสองซากถลันร่างหวือถอยหลังกลับเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาฉุดดึง พวกมันเข้าไปยืนขนาบโอบล้อมซ้ายขวาร่างของเมิ่งเถียน ทันเวลารับลูกธนูสิบกว่าดอกปักใส่ร่างแทนผู้คน !

จอมภูตหัวเราะฮิฮะ เมื่อเห็นพญายมโถมร่างเข้าใส่สองฝ่ามือของพญายมกลายเป็นสีแดงฉานแสดงว่าเร่งเร้าพลังฝีมือประจุเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม พลันชายสูงวัยศีรษะรูปไข่เตะขาออกเงาฝ่าเท้าคลี่กางออกคล้ายกลีบดอกไม้ตอนแรกคล้ายเตะขึ้นหนึ่งฝ่าเท้า จากนั้นเพิ่มด้านซ้ายขวาคล้ายเป็นสาม ทันใดปรากฏเงาเท้าด้านล่างเป็นสี่แล้วเพิ่มมากขึ้นๆ ขอบเขตเงาฝ่าเท้าขยายใหญ่ขึ้น บานออกราวดอกไม้ ทั้งหนาและถี่ขึ้นทุกทีจนมองไม่เห็นร่างของคน

"นี่หรือเพลงเตะกำนัลวิญญาณ !" พญายมซุนเซิงคำรามแต่ไม่หลบเลี่ยงเร่งเร้าพลังลมปราณจากคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นควงฝ่ามือฟาดเข้าใส่อย่างถือดี

เกิดเสียงโครมดังสนั่นหลายคราเมื่อฝ่ามือของพญายมปะทะเข้ากับฝ่าเท้าของจอมภูต !

พญายมเป็นเจ้าแห่งนรก มีหน้าที่จัดการลงทัณฑ์ภูตผีปีศาจ แต่วันนี้กลับต่างออกไป เสียงดังโครมแรกคือเสียงปะทะกันของเพลงเตะและฝ่ามือ แต่เสียงโครมๆ ถี่ยิบที่ดังต่อมาเป็นเสียงฝ่าเท้าของจอมภูตสาดปะทะเข้ากับร่างของพญายมอย่างไม่นับจนร่างแทบแหลกสลาย ทั่วบริเวณปรากฏหมอกเลือดฝนโลหิตและละอองเศษเนื้อฟุ้งกระจาย ร่างสูงใหญ่ของพญายมซุนเซิงบัดนี้มีสภาพไม่แตกต่างจากผ้าขี้ริ้ว เป็นผ้าขี้ริ้วที่ชุ่มคราบโลหิตผืนหนึ่ง !!

"แบบนี้สิจึงดูคล้ายพญายม พญายมมักนุ่งห่มด้วยสีแดง !" จอมภูตคำรามอย่างดุร้ายมองซากของพญายมซุนเซิงที่กองอยู่บนพื้นแยก

ในเวลาเดียวกันซากศพสองผัวเมียแซ่เจินที่พรุนไปด้วยลูกเกาทัณฑ์ก็หันไปหาเหล่าทหารที่เล็งลูกศรเตรียมยิงละลอกใหม่อยู่บนหลังม้า มันเอียงคออ้าปากเห็นเขี้ยวยาวสองซี่ราวกับฟันสัตว์ร้ายงอกยาวออกมา ดวงตาเบิกโพลงปากแสยะกางเล็บกระดิกไปพร้อมส่งเสียงครางผ่านลำคอราวกับสัตว์ร้าย

"ผีดิบ !" เหล่าทหารร่ำร้อง ขวัญเริ่มผวา พวกเขาแม้เป็นทหารผ่านการทำศึกสงครามมามากมาย เห็นการเข่นฆ่าและการตายเป็นเรื่องแต่ไหนเลยเคยเจอเรื่องเช่นนี้ ในยามตกตะลึงพากันนิ่งงันไม่สามารถลงมือได้

"ฆ่า !" จอมภูตทะยานร่างกลับมายืนอยู่เบื้องหน้าเมิ่งเถียนแล้วออกคำสั่ง ในมือเพิ่มร่มคันหนึ่งตระเตรียมกางออก

ซากศพเคลื่อนไหวได้ทั้งสองพลันลอยพุ่งเข้าหากลุ่มทหารที่กำลังแตกตื่น แล้วจู่ๆ ร่างของพวกมันพลันระเบิดออก ปรากฏตะปูอาบยาพิษจำนวนมาพุ่งออกไปทุกทิศทุกทางคละเคล้าเศษเลือดเศษเนื้อ ไส้ และมันสมองทุกอย่างล้วนกระจัดกระจาย พวกทหารไม่ทันป้องกันก็โดนอาวุธลับปักเข้าใส่พากันร่วงหล่นจากหลังม้าเกลือกกลิ้งตัวไปกับพื้นร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดครู่หนึ่งก็ชักกระตุกเลือดไหลออกจากทุกทวารสิ้นใจตายไปจนหมด !

"ปลอดภัยแล้ว นับเป็นขบวนส่งศพที่ตระการตาอย่างยิ่ง !" จอมภูตคืนสู่เค้าหน้าอิ่มเอิบรอยยิ้มของสัปเหร่อจางกล่าวเบาๆ หลังหุบร่มลง ที่แท้มันเป็นร่มที่ทำจากผ้าชนิดพิเศษมีความเหนียวแกร่งสามารถใช้ต้านทานอาวุธลับแหลมคมได้ เมื่อสักครู่ตอนซากศพระเบิดออกจอมภูตใช้ร่มกางกั้นหมุนวนป้องกันร่างของทั้งสองคนจากอาวุธลับและเศษซากเลือดเนื้ออวัยวะภายในที่กระจัดกระจาย

"อาจารย์... ท่านไม่ใช่สัปเหร่อแล้ว ที่แท้ท่านเป็นหมอผี หมอผีที่สามารถปลกชีพซากศพ !" เมิ่งเถียนร้องละล่ำละลักดวงตายังคงเบิกโพลงด้วยความแตกตื่น

"ไร้สาระ !"

สัปเหร่อเสียนแค่นหัวร่อ พลางมองม้าของพวกตนที่ตายด้วยลูกธนูแล้วส่ายศีรษะกลมเกลี้ยงไปมา

"คงต้องเดินไปด้วยเท้ากันสักระยะ ทั้งม้าพวกเราม้าพวกมันล้วนตกตายไปหมดสิ้น"

"อาจารย์... เราจะทำเช่นใดกันดี ศพพ่อบ้านรองเจินกับภรรยาล้วนแหลกสลายไปหมดสิ้น เราจะเอาศพที่ไหนไปส่งบ้านเดิมพวกเขาที่หางโจว..." เมิ่งเถียน กล่าวพลางทำหน้าเศร้า สัปเหร่อจางหันมามองทำตาปริบๆ กล่าวว่า

"ส่งศพเจ้าไปแทนดีหรือไม่ ! ช่างไร้สาระจริงๆ สองศพนั่นเป็นเพียงเครื่องมือให้เราเดินทางออกจากเมืองหลวง ตอนนี้ออกมาได้ ย่อมไม่จำเป็นอีกแล้ว ที่สำคัญต้องนี้ต้องเร่งเดินทาง พวกเราจัดการทหารและยอดฝีมือไปร่วมยี่สิบคน เมื่อทั้งหมดล้วนไม่คืนกลับ ไม่ช้าพรรคพวกของมันก็จะไหวตัวทันและตามล่าเรามาแน่นอน" กล่าวจบยกมือขึ้นปรบคราหนึ่ง แล้วฉุดแขนเมิ่งเถียน ชี้ให้ไปเก็บสัมภาระที่จำเป็นรวมถึงอาหารและน้ำใส่ห่อผ้าเสร็จแล้วพากันเดินออกนอกถนนใหญ่ ลัดเลาะไปตามเส้นทางบนเนินเขาของพวกเก็บของป่า

เดินมาได้สิบกว่าลี้เมิ่งเถียนที่นิ่งงันพลันถามขึ้นมา หลังจากความตื่นตระหนกคลายไปและเรื่องราวต่างๆ ผุดขึ้นในสมอง เขารู้สึกว่าเรื่องราวมากหลายล้วนน่าสงสัยอดใจไม่ได้จนต้องตั้งคำถาม

"อาจารย์ เมื่อครู่ก่อนออกเดินข้าเห็นท่านปรบมือ สะกิดให้นึกถึงเรื่องแปลกประหลาดเมื่อครั้งเกิดเรื่องในร้านของผัวเมียฟางเฉิน ครั้งนั้นท่านจู่ๆ ก็ปรบมือ จำได้ว่าทำให้ประตูหน้าต่างทั้งหมดของร้านปิดลงได้เอง ! หรือ...ท่านมีอำนาจวิเศษเหนือผู้คน !?"

"ออ เจ้าพึ่งนึกถึงเรื่องนั้นได้ สมองนับว่าช้าอย่างยิ่ง มิน่าหลายปีมานี้บ้านเมืองไม่รุดหน้าเท่าที่ควร เพราะมีเจ้าของเช่นนี้นี่เอง ฮ่าๆ"

สัปเหร่อเสียนหัวร่อแย้มยิ้มพลางเอามือลูบคางอ้วนกลมของตนเองไปมา

"เจ้าจำได้หรือไม่ว่าข้ามีฉายาใด"

"ท่าน... คือ จอมภูต" เมิ่งเถียนกล่าวอย่างงงงัน

"ข้าจะเป็นจอมภูตได้อย่างไรหากไม่มีเหล่าภูตพรายเป็นบริวาร จอมภูต หมายถึง เจ้าแห่งเหล่าภูต ย่อมมีภูตเล็กพรายน้อยไว้ใช้สอยทำงาน ปิดประตูหน้าต่าง วางเพลิง เก็บกวาดหลักฐานซ่อนเร้นร่องรอยล้วนเป็นเรื่องจำเป็นต้องมีมือเท้าช่วยให้มากเข้าไว้" สัปเหร่อเถียน กล่าวยิ้มๆ

"มีเรื่องใดสงสัยอีก ดูเหมือนในหัวเจ้ามักมีแต่คำถาม" ชายสูงวัยหันไปมองสีหน้าครุ่นคิดของชายหนุ่มที่เกิดขึ้นอีกหลังจากพึ่งพยักหน้ารับทราบไปหมาดๆ

"อ่า... มีคำถามมากหลายๆ รอบตัวท่านล้วนมีเรื่องราวที่น่ารู้มากมาย" เมิ่งเถียนกล่าวอย่างกระตือรือร้น

"ครั้งก่อนท่านบอกข้าว่า ไม่อาจสร้างตุ๊กตาผีได้อีกแล้ว แต่วันนี้ไฉนท่านถึงกับสร้างขึ้นทีเดียวได้ถึงสองตน หากมีกองทัพผีดิบเช่นนี้ท่านอามีหรือจะต้านทานพวกเราได้"

"ออ ที่ข้าบอกว่าไม่สามารถสร้างขึ้นได้อีกก็คือ ตุ๊กตาผีขั้นสูงแบบเจ้าดำที่ใช้ช่วยเหลือเจ้าในอารามร้าง ส่วนสองตัวเมื่อกี้ใช้การจริงจังไม่ได้หรอก ข้อบกพร่องมีมากเกินไป มันแพ้แสงแดดใช้เวลากลางวันไม่ได้เลย อายุการใช้งานก็สั้นตามสภาพศพที่เน่าเปื่อย หากจะให้คงทนเหมือนเจ้าดำใช้สรรพสิ่งในการรักษาสภาพมากเกินไป หากเจ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามันเคลื่อนไหวได้จำกัด มีประโยชน์แค่ทำให้ศัตรูตกใจเผยช่องโหว่ให้เราลงมือ หรือใช้ทดสอบวิชาคู่มือก่อนต่อสู้ สุดท้ายก็ระเบิดทิ้งปล่อยอาวุธลับอาบพิษแพร่กระจาย เป็นของเปลืองเรี่ยวแรงทำมาก แต่ใช้ได้ชั่วเวลาสั้นๆ ไม่คุ้มค่าที่จะทำ อีกทั้งผ่านการจัดเตรียมมากหลาย ตั้งแต่การสังหารผู้คนด้วยยาสูตรเฉพาะไปจนถึงการผ่าตัดดัดแปลง นับเป็นเรื่องยุ่งยากไม่จำเป็นก็ไม่ควรทำ ทำบ่อยครั้งศัตรูย่อมจับเค้าได้ สุดท้ายใช้ไม่ได้ผลอีก..." สัปเหร่อเสียน อธิบายยืดยาวปากพูดมือกรีดวาดทำท่าทางต่างๆ ดูไปคล้ายศิษย์อาจารย์ร่วมเดินทางกันจริงๆ เพียงแต่คงไม่มีศิษย์อาจารย์ที่ดีคู่ไหน เดินกลางป่าเขาในยามวิกาลเช่นนี้...

"อาจารย์... ท่านหมายความ สองผัวเมียแซ่เจินที่ตายลงเป็นฝีมือของท่าน!? ท่านสังหารผู้คนเพื่อเอามาทำตุ๊กตาผีไว้ใช้งาน !?" เมิ่งเถียนอ้าปากค้างเมื่อนึกถึงการตายอย่างปุบปับของสองสามีภรรยาตั้งแต่ต้นจนพวกตนสามารถใช้เป็นข้ออ้างออกจากเมืองได้

"ไม่เลวๆ คิดได้ในที่สุด" สัปเหร่อสูงวัยหัวร่อ "พวกมันล้วนต้องตาย เพราะแท้จริงพวกมันคือคนตัวกลางค้าความตายของฟางเฉินผัวเมีย ที่เจ้าเห็นในร้านวันนั้นล้วนเป็นคนภายใต้อาณัติของคนแซ่เจินนี้ทั้งสิ้น มันเพียงอาศัยสถานะพ่อบ้านรองซ่อนฐานะจริง ที่แท้มันติดต่อค้าความตาย รับเรื่องว่าจ้างต่อรองค่าหัวให้เหล่ามือสังหาร เมื่อเรากำจัดฟางเฉินย่อมต้องกำจัดมันไปพร้อมมันไม่เช่นนั้นมันย่อมแพร่กระจายเรื่องราว ทำให้คนสืบสาวมาหาเราได้ เรื่องที่เหลือล้วนต่อเนื่องกันอย่างมีเหตุผลและได้ประโยชน์สูงสุด เหล่านี้ข้าล้วนเรียนรู้มาจากเถ้าแก่ใหญ่จูฉงปา ปู่ของเจ้า"

สัปเหร่อเสียนพูดจบก็หัวร่ออีกครา หยิบเอาถุงบรรจุสุราที่พกพามาดื่มเข้าไปอึกหนึ่งแล้วเดินต่อไป ไม่ทันที่จะก้าวไปได้ถึงสิบก้าวพลันเมิ่งเถียนโถมกายวิ่งไปดักหน้า โยนห่อสัมภาระลงข้างกายแล้วคุกเข่าลงโขกศีรษะให้เขาอย่างต่อเนื่อง

"เจ้าเป็นบ้าไปแล้ว !?" สัปเหร่อเสียนทำหน้าสงสัยอ้าปากหวอ

"โปรดสอนวิชาของท่านให้กับข้าด้วย !" เมิ่งเถียน หรือแท้จริงแล้วคือจักรพรรดิจูอวิ๋นเหวินผู้ถูกชิงบัลลังก์กล่าว "อ่า... ข้าหมายถึงสอนวิชาฝีมือในการต่อสู้และสร้างภูตซากศพตุ๊กตาผีเหล่านั้น มิใช่เพียงแค่วิชาสัปเหร่อที่ท่านสอนสั่งมาก่อนนี้"

"เฮอะๆ น่าสนใจยิ่ง เจ้าคิดอยากเป็นข้าขึ้นมาอีกคน เป็นสัปเหร่อ เป็นจอมภูต... เจ้าเลิกคิดจะเป็นจักรพรรดิแล้ว !?" สัปเหร่อเสียนถามเสียงสูง

"ข้า... ข้าอยากเรียนรู้เพื่อใช้ต่อสู้ช่วงชิงบัลลังก์คืนมา !" เมิ่งเถียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

สัปเหร่อสูงวัยลูบศีรษะทำท่าครุ่นคิด พลางพยักหน้า

"หาก... เจ้ามีเวลาสามสิบสี่สิบปี และไม่คิดได้คืนบัลลังก์แล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้จงเดินตามข้ามา มีบ้านร้างหลังเขาด้านโน้น เมื่อถึงที่นั่นเราจะหยุดพัก คืนพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางต่อ" พูดจบสะบัดหน้าเดินนำไป ไม่กล่าวอะไรอีก

"รอด้วยๆ ท่านอาจารย์ !" เมิ่งเถียนอึ้งไปครู่หนึ่งกับคำตอบ แต่คิดได้ไม่นานก็ต้องรีบลุกขึ้นเมื่อเห็นผู้เป็นอาจารย์เดินห่างออกไปอย่างรวดเร็ว วิ่งไปได้สี่ห้าก้าวก็ต้องถลันวกกลับมาเนื่องจากพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองวางห่อสัมภาระเอาไว้ที่พื้น ฉวยห่อของได้ก็รีบวิ่งไล่ไปตามทางขึ้นเนินเขาอย่างทุลักทุเล

........................