webnovel

จอมภูตสะท้านบัลลังก์

เจี้ยนเหวินศกปีที่ 4 (ค.ศ. 1402) เยียนอ๋อง จูตี้ เคลื่อนพลจากเป่ยจิงเข้าสู่ราชธานีนครหนานจิง ยึดบัลลังก์จากจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน (จูอวิ๋นเหวิน) ผู้มีศักดิ์เป็นหลาน แต่เมื่อเข้าเมืองได้ปรากฏว่าจักรพรรดิหนุ่มทั้งไม่ออกมายอมแพ้ถวายบัลลังก์ให้ ทั้งไม่ยอมฆ่าตัวตายให้พ้นความอับอาย กลับเผาวังแล้วหายตัวไป กลายเป็นเรื่องลึกลับดำมืดในประวัติศาสตร์ว่าเขาหายไปไหน นิยายเรื่องนี้แต่งเติมจากจินตนาการนำจักรพรรดิหนุ่มเดินทางหลบหนีไปได้ด้วยความช่วยเหลือของสุดยอดฝีมือฉายา จอมภูต ที่มีฉากหน้าเป็นสัปเหร่อ ทั้งมีความสามารถปลุกซากศพขึ้นมาใช้งาน จักรพรรดิหนุ่มกลายเป็นสัปเหร่อน้อยเคลื่อนไหวเพื่อเอาชีวิตรอดหาโอกาสพลิกฟื้นชิงบัลลังก์

DaoistpRuDrI · History
Not enough ratings
13 Chs

บทที่ 10 พรรคสัปเหร่อ

ในยุทธภพมีค่ายพรรคมากมายมาแต่โบราณ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของผู้คนร่วมแนวทางเพื่อช่วยเหลือกัน เมื่อรวมกันเป็นคนหมู่มาก ก็มักคัดเลือกผู้เหี้ยมหาญ ชาญฉลาดหรือทรงคุณธรรมขึ้นมาเป็นประมุขเพื่อปกครองว่ากล่าวพรรคพวกทั้งหมด เช่น พรรคกระยาจกอันเป็นค่าพรรคที่มีสาวกมากที่สุดในแผ่นดิน หรือ แม้แต่พรรคพ่อค้าปลาของคนแซ่เซี่ย แห่งเมืออู๋ซีก็เป็นอีกหนึ่งค่ายพรรคที่มีผู้เข้าร่วมนับหมื่น...

"อาจารย์...ที่แท้พ่อค้าปลาคนนี้เป็นใคร ไฉนวางท่า ทำทีมีอำนาจบาตรใหญ่เรียกร้องเงินนับแสนๆ ตำลึงเช่นนี้" เมิ่งเถียนกล่าวถามเมื่อทั้งสองคนเดินทางออกนอกเขตตัวเมือง

"มันเป็นคนไม่ธรรมดาผู้หนึ่ง สำหรับคนอื่นนับว่าลึกลับ แต่สำหรับครอบครัวเจ้า ข้าว่าล้วนเป็นคนคุ้นเคย... เถ้าแก่แซ่เซี่ย แท้จริงเป็นประมุขพรรคพ่อค้าปลา ครองอำนาจเหนือการค้าทางน้ำ ทั่วลำน้ำใหญ่จรดท้องทะเลมีบริวารมากมาย เป็นพรรคใหญ่ที่แม้แต่พรรคกระยาจกยังต้องให้เกียรติ แซ่เซี่ยเป็นแซ่เก่า แต่แซ่ที่ทำให้มันเกริกไกรเป็นแซ่เฉิน หากเอ่ยชื่อ เฉินโหย่วเลี่ยง เจ้าน่าจะเคยได้ยินเถ้าแก่ใหญ่จูฉงปาเล่าให้ฟังมาบ้างกระมัง..." สัปเหร่อเสียนกล่าวช้าๆ พลันกระโดดขึ้นไปนั่งเอนกายบนเกวียนน้อยเทียมลา

"เฉินโหย่วเลี่ยง ! จอมคนแห่งลำน้ำคนนั้น อ่า... หรือว่าเถ้าแก่เซี่ยเป็นทายาทของ เฉินโหย่วเลี่ยงอดีตศัตรูเก่าของเสด็จปู่ ถ้าเช่นนั้นเขาย่อมต้องมีเรือลำมหึมา ฟังมาว่าเขาเป็นคนแรกที่ออกแบบเรือรบสามชั้นความสูงหลายจั้ง[1] ใหญ่โตจนสามารถควบขี่ม้าไปมาแต่ละชั้น เรื่องทางน้ำเสด็จปู่ว่า ย่อมต้องยกให้เขาเป็นผู้ชำนาญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน มิน่าๆ เป็นทายาทผู้ยิ่งใหญ่ จึงได้วางท่าเขื่องโขอย่างยิ่ง" เมิ่งเถียนลืมตาโพลง

"ใช่แล้ว ยามปกติไม่อาจพบพานคนใหญ่คนโตเช่นนี้ ตระกูลมันแม้แหลกสลายถูกเถ้าแก่ใหญ่จูฉงปาทำลายและกลืนกินเข้าสู่อำนาจ แต่ยังมีทายาทบางรายสามารถรักษาตัวอยู่ห่างการบ้านการเมือง อาศัยความชำนาญทางน้ำหากินจนมีอำนาจบารมีครอบงำทางน้ำมาจนถึงทุกวันนี้ เฉินโหย่วเลี่ยง แต่เดิมใช้แซ่ เซี่ย กำเนิดจากครอบครัวชาวประมงเมืองเหมี่ยนหยาง ใน หูเป่ย ทั้งเก่งกล้าทั้งชาญฉลาด หากว่าไม่บังเอิญมาเกิดในยุคเดียวกับปู่ของเจ้า เขาคงได้เป็นผู้ครองแผ่นดินแทนเป็นแน่ ดังนั้นพวกมันไม่ธรรมดา การค้าขายกับมันย่อมไม่สามารถต่อรองราคาได้มากนัก จำเป็นต้องตามใจมันบ้าง... แต่จะว่าไปราคาเพียงเท่านี้หรือจะราคาเท่าไหร่ๆ สำหรับมันล้วนไม่สำคัญ ครั้งนี้ที่มันยอมรับขนส่งเชื่อว่าเป็นเพราะ มันเป็นหนึ่งในคนที่เกลียดสกุลจูและต้าหมิงเป็นที่สุด วัตถุประสงค์ของมันคือปล่อยให้เจ้าเป็นเชื้อไฟ วันหน้าสามารถลุกลามจนต้าหมิงเกิดความวุ่นวาย เมื่อถึงตอนนั้นมันที่มั่งคั่งจากการค้า สะสมกำลังกำลังคนได้มาก คงจะหาโอกาสเข้าร่วมชิงแผ่นดินอีกครั้งตามรอยบรรพบุรุษ ! นี่น่าจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้มันยอมรับการเจรจากับเราในครั้งนี้"

สัปเหร่อเสียนแยกแยะบอกกล่าวชัดเจนทำให้เมิ่งเถียนถึงกับรับฟังจนปากอ้าตาค้าง ไม่คิดว่าจะพบกับทายาทอดีตคู่ปรับของบรรพชนในเวลาเช่นนี้ แถมได้ต้องมารับความช่วยเหลือจากฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก

"ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนกันหรืออาจารย์" เมิ่งเถียนถามขึ้นหลังจากรวบรวมสติกลับคืนมาจากความตระหนกหลังรับรู้เรื่องราว พลันมองไปสองข้างถนนเห็นเป็นเส้นทางออกนอกเมืองค่อนข้างเปลี่ยวร้าง

"พวกเราเป็นสัปเหร่อ ย่อมต้องไปสุสาน" สัปเหร่อเสียนกล่าวจบก็หัวร่อฮาๆ ออกมา

เดินทางมาอีกราวครึ่งชั่วยาม สองศิษย์อาจารย์ก็มาถึงสุสานนอกเมืองแห่งหนึ่ง สถานที่ค่อนข้างห่างไกล แต่วันนี้ดูไปไม่เปลี่ยวร้าง เห็นมีขบวนส่งศพสองขบวนทำพิธีอยู่ที่ไกลออกไปภายในสุสาน ด้านข้างมีบ้านและโกดังเก็บศพอันเป็นที่ทำงานและที่พักอาศัยของสัปเหร่ออยู่เช่นเดียวกับเมืองที่เขาจากมา แตกต่างกันอยู่บ้างในเรื่องขนาด ที่แห่งนี้ดูโอ่โถงกว่า สัปเหร่อเสียนไต่ลงจากเกวียนอย่างเนิบนาบ เสร็จสรรพตบไหล่ชวนเมิ่งเถียนเข้าไปในตัวบ้านอย่างไม่เกรงใจ ผู้เป็นศิษย์เข้าใจว่าที่คงเป็นสถานที่ของคนคุ้นเคยกับอาจารย์เป็นอย่างดี พลันเข้ามาถึงภายใน ปรากฏผู้คนสิบกว่าคน เดินเข้ามารายล้อมแล้วคุกเข่าคำนับให้กับสัปเหร่อเสียนอย่างพร้อมเพรียง

"น้อมพบท่านประมุข !" ทั้งหมดกล่าวขึ้นพร้อมกัน

"ประมุข...?" เมิ่งเถียนครางในลำคออย่างงงัน

"ลุกขึ้นๆ ทั้งหมดไม่ต้องเกรงใจ" สัปเหร่อเสียนประสานมือกล่าวอย่างแย้มยิ้ม "วันนี้ล้วนได้พึ่งพาทุกท่านช่วยเหลือ ทำให้พรรคพ่อค้าปลาตอบรับโดยดี ข้าต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง"

"เพื่อประมุข ต่อให้บุกน้ำลุยไฟพวกเราก็ไม่เกี่ยง ได้มีโอกาสได้รับใช้ท่าน ถือเป็นเกียรติของพวกเรา" กล่าวจบทั้งหมดก็ลุกขึ้น ส่วนใหญ่ถือโอกาสเดินออกจากบ้านไป เหลือเพียงสองคนถือสมุดบันทึกบอกกล่าวรายงานด้วยภาษาและคำศัพท์ที่เมิ่งเถียนไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค้อมคำนับลาจากไปจนหมด เหลือเพียงสองศิษย์อาจารย์ภายในบ้าน

"เจ้าออกไปรับสุราอาหารจากด้านนอกเข้ามา เชื่อว่าเตรียมไว้ที่หน้าบ้านเสร็จเรียบร้อย สักครู่กินอาหารดื่มสุรากัน ข้าจะตอบคำถามทั้งหลายในหัวของเจ้าให้ฟัง หลายวันมานี้ข้ารู้ว่าเจ้าอึดอัดคันปากไปหมด เพราะสมองขี้สงสัยอันนั้น วันนี้เราอยู่ในพื้นที่ของเราเองสามารถว่ากล่าวได้อย่างปลอดโปร่ง แต่ตอนนี้ล้วนต้องกินดื่มให้สบายใจกันเสียก่อน"

สัปเหร่อเสียนออกคำสั่งหลังจากเห็นเมิ่งเถียนมีท่าทีคล้ายจะตั้งคำถามสองสามรอบแต่เหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ได้จึงยังไม่ได้ถามออกมา

ชั่วเวลาไม่นานเมิ่งเถียนก็จัดแจงสุราอาหารใส่ถ้วยชามบนโต๊ะเสร็จ มีพะโล้ขาหมูหนึ่งขาหอมโฉ่ร้อนฉ่า เนื้อหนังสีเข้มแลดูเปื่อยยุ่ยไม่ระคายเหงือกฟัน เชื่อว่าปรุงด้วยไฟอ่อนๆ น้ำน้อยๆ เคี่ยวเป็นเวลานานจึงได้ออกมาสภาพนี้ มีไก่ขอทานขนาดพอเหมาะอีกหนึ่งตัวผ่านการอบในใบบัวเคลือบดินเหนียวแบบดั้งเดิมนับเป็นของหากินยาก ยังมีปลานึ่งราดซีอิ้วหอมกลิ่นต้นหอมกับขิงอีกจานหนึ่ง มาดินแดนใกล้น้ำอาหารประเภทปลาย่อมมีรสดีเป็นพิเศษย่อมขาดไม่ได้ นอกนั้นมีถั่วลิสงคั่วกับขนมเปียะเล็กน้อย อีกทั้งมีสุรานารีแดงอีกหนึ่งไห นับเป็นมื้อใหญ่พรั่งพร้อมที่น่ารับประทาน

สองศิษย์อาจารย์ร่วมรับประทานอาหารอย่างเป็นกันเอง ผ่านเวลาอยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่งทั้งสองนับว่าคุ้นเคยกันอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมิ่งเถียนตอนนี้แม้แต่สถานะและท่วงท่าวางตนอย่างจักรพรรดิหรือแม้แต่ระดับขุนนางใหญ่ก็ล้วนแต่หายไปแทบจะหมดสิ้นแล้ว กลายเป็นสามัญโดยสิ้นเชิง แต่... เขาคล้ายมีความสุขอย่างยิ่งในชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา นี่นับเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดผิดสามัญ...

ผู้คนทั้งหลายมักเฝ้าฝันถึงการเป็นใหญ่เหนือใครในแผ่นดิน บ้างถึงกับลงมือแก่งแย่งอย่างไม่สนใจวิธีการ แต่มีบ้าง ที่เมื่อได้พานพบชิมรสความยิ่งใหญ่ที่ให้ความรู้สึก 'ยิ่งสูงยิ่งหน่าว' มาแล้ว กลับรู้สึกว่าชีวิตคนธรรมดามีความสุขกว่าเป็นที่สุด... จูอวิ๋นเหวิน หรือ ปัจจุบันเป็นเพียงสัปเหร่อน้อย "เมิ่งเถียน" ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น..

สัปเหร่อเสียนจับจ้องมองลูกศิษย์ดื่มกินอาหารด้วยแววตาการุณ ผ่านไปสักครู่ก็เอ่ยขึ้น

"เอาล่ะ ข้าจะเล่าเรื่องของข้าให้ฟัง จากนั้นหากเจ้าสงสัยค่อยสอบถามเพิ่มเติม"

เมิ่งเถียนพยักหน้าหงึกๆ ในมือวางตะเกียบลงทำท่าตั้งใจรับฟัง

"อย่างแรก ตัวข้าเองเป็นสัปเหร่อจริงๆ เป็นสัปเหร่อมาตั้งแต่ต้น หากแต่ไม่ใช่สัปเหร่อตามบ้านเมืองเช่นนี้ ตัวข้าในวัยเยาวน์อายุสิบกว่าปี ที่บ้านลำบากจากภัยสงคราม แม้กระนั้นพ่อข้าก็เป็นชนชั้นบัณฑิต มีการศึกษา แม่ข้าเองก็ยังรู้หนังสือ"

"แต่ความรู้มิสามารถจับใส่ปากให้อิ่มท้อง บ้านเราอาหารการกินยังขาดแคลนจนท่านทั้งสองต้องอดตายไป... ซึ่งนี่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่แสนจะธรรดาในยามกลียุค...ไม่รู้มีเด็กอีกกี่ร้อยกี่พันที่มีชะตากรรมเดียวกับข้า"สัปเหร่อใหญ่ทอดถอนใจอย่างรันทด

"ข้ายังมีชีวิตรอดจากความการุณของบิดามารดา ตัวพวกท่านอดยากโหยหิว แต่ขอเพียงหาอาหารมาได้ กลับให้ข้ากินก่อน ดังนั้นท่านผู้เฒ่าทั้งสองอดยากจนเจ็บไข้ล้มตาย ข้ายังคงมีชีวิตรอด แต่กลายเป็นเด็กกำพร้าอีกรายหนึ่ง ทำได้เพียงร่อนเร่ซัดเซพเนจร..."

"อยู่มาพักใหญ่ก็พบว่าเมื่ออยากได้อาหารอยากมีกินในช่วงกลียุคไม่อาจอยู่ลำพัง ต้องไปอยู่ใต้เงาผู้มีอำนาจ ตัวข้าเองเลือกเข้าสังกัดเถ้าแก่ใหญ่ จูฉงปา ปู่ของเจ้า ตอนนั้นท่านผู้เฒ่าใช้นาม จูหยวนจาง แล้ว ทั้งประกาศปณิธานโค่นหยวนยึดคืนแผ่นดิน"

"ตัวข้าเองแต่เดิมไร้ฝีมือ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ให้ไปเป็นพ่อครัวก็ยังทำอาหารไม่ได้ เพราะที่บ้านกินแต่หัวเผือกหัวมันไม่ก็มีเพียงเศษข้าวเศษอาหารประทังชีวิต เรื่องหุงหาจึงไม่สันทัด แต่จะให้ออกไปสู้รบก็ยังเป็นเพียงเด็กทั้งยังตัวเล็กผอมโทรม สุดท้าย...ถูกส่งไปอยู่หน่วยงานเก็บซากศพ"

"หน่วยงานนี้เชื่อว่าน้อยคนจะได้ยิน เพราะมันทั้งไร้เกียรติภูมิ ไมีมีหน้าตา ไม่มีโอกาสสร้างชื่อขยับชั้น จึงไม่ใคร่มีคนเอ่ยถึงหรือให้ความสนใจ..."

"ผู้อื่นเมื่อเข้าเป็นหน่วยทหาร ยามออกศึกหากได้ชัย จะพลอยมีชื่อเสียงมีหน้ามีตา ยิ่งสามารถแสดงความสามารถยิ่งมีโอกาสขยับฐานะ ส่วนตัวข้าอยู่หน่วยเก็บซากศพ หลังเขารบกันเสร็จมีหน้าที่เข้าไปในสนามรบเก็บซากศพของทหารฝ่ายเรากลับมากลบฝัง ขจัดเศษซากอื่นและเผาทำลาย"

"พูดง่ายๆ คือ ข้าเป็นสัปเหร่อในสนามรบ มันเป็นงานที่ไร้ชื่อเสียงและไร้โอกาสยกฐานะตนเองเป็นที่สุดในสมรภูมิ อย่างไรก็ตามมันเป็นงานที่ต้องมีคนทำ ซากศพหากปล่อยทิ้งไว้ทั้งน่าอนาถทั้งก่อให้เกิดโรคระบาด ซากศพเน่าเปื่อยมีพิษร้ายแรง สามารถเกิดเป็นโรคภัยทำให้ผู้คนล้มตายได้ทั้งเมือง บางครั้งไม่เพียงจัดการเก็บซากในสนามรบ ยังต้องจัดการซากศพทหารของที่บาดเจ็บ ป่วยไข้แล้วเสียชีวิต ที่ลำบากที่สุดคือพวกที่ตายด้วยโรคระบาด หน่วยเก็บกวาดซากเองก็ยังติดเชื้อตายไปหลายต่อหลายคน ดังนั้นพวกเราจำต้องเรียนรู้เรื่องพืชเรื่องสมุนไพรให้มากเข้าไว้ ข้าเองอ่านหนังสือออก ดังนั้นรับหน้าที่พลิกอ่านตำรามาบอกเล่าชี้แจงแก่พรรคพวก"

"การจัดแต่งศพก็เช่นกัน ซากศพในสนามรบไม่เหมือนศพที่เจ้าเคยจัดการในหลายวันก่อน ศพทหารที่ถูกฆ่าส่วนใหญ่ซากสังขารกระจุยกระจายไม่ครบส่วน หากหาพบต้องเอามารวมกันเพื่อให้ผู้ตายมีร่างครบให้มากที่สุดก่อนกลบฝัง หลายครั้งเป็นศพเพื่อนฝูงคนรู้จัก เมื่อเขาตายก็อยากให้มีสังขารครบร่าง งานส่วนนี้พวกเราถึงกับต้องรวบรวมชิ้นส่วนศพเอามาต่อเย็บจัดแจงให้ดูคล้ายตอนเป็นให้มากที่สุด"

"ดังนั้นกล่าวได้ว่า ทักษะเรื่องการจัดการศพใช้ยาสมุนไพรส่วนใหญ่ข้าฝึกฝีมือขึ้นมาจากหน่วยเก็บซากศพในสนามรบ จึงได้ชื่อว่ามีฝีมือในการตบแต่งจัดการเรื่องนี้ในระดับหนึ่ง..."

สัปเหร่อเฒ่าหยุดเล่า พลางกรอกสุราจอกหนึ่งลงคอจนแห้งเหือด เมิ่งเถียนรีบลุกมารินสุราเติมให้เพื่อให้เล่าต่ออย่างไม่ขาดตอน

"วรยุทธของท่านเล่าอาจารย์ เป็นผู้ใดถ่ายทอดให้ท่าน วิชาฝีมือเหล่านี้ล้วนแต่อัศจรรย์ ข้าไม่เคยเห็นใครมีพลังฝีมือเยี่ยงนี้มาก่อน" เมิ่งเถียนกล่าวขึ้นทันทีเมื่อรินเหล้าเต็มจอกสุรา

"ออ เป็นข้าฝึกฝนมาในเวลาเดียวกันนั้นเอง... ในยามที่เข้าไปเก็บศพเจ้าจะพบว่าแท้จริงมันเหมือนเป็นเวทีต่อสู้ห้วงเป็นตายอย่างหนึ่ง ในสนามรบไม่เพียงมีศพฝ่ายเรายังมีฝ่ายศัตรู มีบางคนไม่ตายจริงเพียงแกล้งทอดร่างเป็นศพเพื่อเอาชีวิตรอด พวกนี้บางครั้งโถมเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งจำเป็นต้องรับมือ ดังนั้นคนเป็นหน่วยเก็บซากศพจำเป็นต้องเรียนวิชาการต่อสู้ติดตัวเอาไว้ นอกจากนั้นพื้นที่เก็บศพในสนามรบยังเป็นเหมือนขุมสมบัติแห่งหนึ่งด้วยเช่นกัน ผู้คนจำนวนมากพกพาของมีค่าติดตัวอย่างที่เจ้าคาดไม่ถึง..."

"บางคนมีทองคำเป็นแท่งๆ บางคนมีหยกค่าควรเมือง บ้างมีเกราะชั้นดี บ้างมีดาบหรืออาวุธชั้นเลิศ แต่ของเหล่านั้นคนต่ำต้อยอย่างหน่วยเก็บซากศพไม่อาจกระทบถูก สมบัติมีค่าทั้งมวลล้วนแต่ถูกส่งต่อไปยังแม่ทัพนายทหารชั้นสูงขึ้นไปเพื่อรวบรวมเข้าคลังเอาไว้เป็นบำเหน็จรางวัล... ซึ่งแน่นอนว่าแม้พวกข้าเป็นคนเก็บกลับมาได้ แต่ส่วนแบ่งมักไม่ค่อยมาถึง..."สัปเหร่อเสียนถอนหายใจเบาๆ ยามรำลึกความหลังอันรันทด

"อย่างไรก็ดีมีบางสิ่งที่คนอื่นไม่สนใจและไม่รู้จัก เพราะพวกมันส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ นั่นคือเหล่าวิชาความรู้ บ้างเป็นคัมภีร์ประจำตระกูล บางทีถึงกับเป็นข้อความบอกเคล็ดวิชา เพื่อแลกเปลี่ยนกับคำร้องขอก่อนตายหรือคำวอนขอการช่วยให้รอดของผู้ไม่อยากตายขณะนอนหายใจรวยรินเตรียมละสังขารเหล่านั้น... เรียกได้ว่า ข้าเรียนรู้วิชาฝีมือมาในยามทำหน้าที่เก็บซาก..."

"สุดท้ายเอาความรู้สรรพเพเหระเหล่านั้นมาขบคิดปรุงแต่งเป็นแนวทางของตนเอง ทั้งได้อาศัยซากสังขารคนตายและคนใกล้ตายที่อยากรีบจบชีวิตหรือพวกที่คิดลงมือต่อข้าเป็นเป้าฝึกฝน ผ่านไปนับร้อยนับพันซากจึงสามารถเข้าใจและบัญญัติเป็นวิชาของตนเอง"

"ออ... ในระหว่างนั้นข้ายังได้ความรู้เรื่องการใส่เล่ห์กลลงในซากศพเพื่อให้เคลื่อนไหวจากเพื่อนทหารในหน่วยเก็บซากศพคนหนึ่ง เขาคนนี้เดิมทีเป็นนักพรตเหมาซาน ชาวเมืองหนานจิง ตั้งใจเข้าหน่วยเก็บซากเพื่ออาศัยศพจำนวนมากในสนามรบฝึกฝนวิชาแนวอาถรรพ์ งานลักษณะนี้ไม่อาจทำคนเดียวจึงเรียกข้าไปเป็นผู้ช่วย จึงได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน สุดท้ายเขาทำผิดพลาดติดเชื้อซากศพ ทำตัวเองกลายเป็นผีดิบ เป็นข้าเองที่ต้องกำจัดก่อนเพ่นพล่านอาละวาดใหญ่โต นับเป็นเรื่องน่าปวดใจอย่างหนึ่งในความทรงจำ..."

สัปเหร่อเสียนถอนหายใจ ยกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอก เมิ่งเถียนไม่รอช้าเข้ามาเติมสุราในจอกจนเต็มปรี่เพื่อให้อาจารย์รีบเล่าสืบต่อไป

"เมื่อสงครามจบ เถ้าแก่ใหญ่จูฉงปาได้ครองแผ่นดิน พวกข้าก็หมดภารกิจในกองทัพ ได้แต่กลับมาใช้ชีวิตตามถนัด ในเมื่อข้าเปี่ยมทักษะในเรื่องซากศพ ก็มาทำงานเป็นสัปเหร่อ จัดการศพเป็นอาชีพ ก็อย่างที่เจ้าเห็น มันอาชีพนี้ไม่เลวอย่างยิ่ง เงินทองมีใช้ ผู้คนเรียกหาอย่างให้เกียรติพอควร นับเป็นอาชีพที่ดีจริงหรือไม่ ?"

สัปเหร่อเสียน กระพริบตาถี่ๆ มองหน้าศิษย์น้อยอดีตจักรพรรดิ์ ที่ส่งมอบชามใส่สุราเต็มเปี่ยมมาถือ นัยว่าให้ใช้เป็นพาชนะดื่มสุราแทนจอก แต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร เขาเข้าใจดีว่าสัปเหร่อน้อยรายนี้ ไม่อยากเสียจังหวะเติมสุราระหว่าฟังเรื่องเล่า

"อาจารย์ท่านมีความสามารถทั้งอ่านออกเขียนได้เหตุใดไม่ไปสอบเข้าเป็นขุนนาง ?" เมิ่งเถียนกล่าวถาม

ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเมื่อเริ่มรัชสมัยหมิงเปิดให้มีการสอบเข้าเป็นขุนนาง คนมีความรู้สามารถเข้าร่วมคัดสรร เป็นหนึ่งในการปฏิรูปที่มีชื่อเสียงของหมิงไท่จู่ จูหยวนจาง ทำให้สามารถนำผู้มีความรู้ทั่วแผ่นดินออกมาช่วยงานสร้างความเจริญให้อาณาจักร

สัปเหร่อเสียนส่ายหน้าพลางหัวเราะออกมา

"ข้าเองก็เคยคิดไปร่วมแข่งขัน ใครจะรู้ยังไม่ทันสอบบ้านเมืองก็มีเหตุใหญ่ เกิดการกวาดล้างขุนนางครั้งมโหฬารตายกันนับพันนับหมื่น ว่ากันว่าเป็นแผนการ เสร็จงานรื้อนั่งร้าน เสร็จนาฆ่าโคถึก ของเถ้าแก่ใหญ่จู มีขุนนางเบื้องสูงเบื้องต่ำถูกม้วนพันเข้าไปในวังวนนั้นมากมายศีรษะกองเป็นเนินเขา เลือดหลั่งเป็นลำธาร ข้าจึงเปลี่ยนใจ แม้อยู่กับคนตายยังดีกว่าไปเป็นขุนนางแล้วกลายเป็นคนตายเอง... จริงหรือไม่"

"อ่า... ที่แท้เป็นเช่นนี้... แต่ท่านมิใช่เป็นยอดฝีมือที่เร้นกายโดยปลอมเป็นสัปเหร่อตามที่เขาเล่าลือกันหรอกหรือ ?!" เมิ่งเถียนถามอย่างสงสัย

"เฮอะ ! ฉายาจอมภูตอะไรนั่นน่ะรึ"สัปเหร่อแค่นเสียง กรอกเหล้าหมดชาม เมิ่งเถียนเห็นก็รีบเข้ามาเติมจนล้นปรี่

"เป็นข้าเมื่อยังหนุ่มเกิดเลือดลมในกายระอุ หลังจากเริ่มบัญญัติวิชาของตนเอง พาลจินตนาการว่าเป็นวีรชน มุ่งมั่นออกกำจัดเหล่าคนชั่วร้าย โดยเฉพาะเหล่าชาวยุทธที่มีฝีมือ พวกนี้บางคนอ้างเป็นฝ่ายธรรมะ แต่แท้จริงเลวกว่าโจร อีกทั้งก็มีคนบางพวกชั่วร้ายโดยสันดานไขว้คว้าอยากได้ของผู้อื่นอย่างบ้าคลั่ง ตอนนั้นข้ายังหนุ่มไม่สนใจสิ่งใด เมื่อเห็นเรื่องไม่ชอบใจขัดอารมณ์ก็ลอบเร้นออกไปจัดการ ยังมี... ช่วงหนึ่งถึงขนาดตัดเย็บชุดโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ สวมเสื้อชุดเขียวสะดุดตาสวมหมวกปีกกว้างเพื่อปิดบังใบหน้า ยังเพิ่มความหรูหราของชุดให้มีผ้าปิดบังท้ายทอย ถือกระบี่แบบชาวแดนอาทิตย์อุทัย... ตอนนั้นหมายจะสร้างชื่อวีรบุรุษอันโดดเด่นให้ตนเอง... มาถึงทุกวันนี้ยิ่งคิดยิ่งละอาย..."

"คิดไปเป็นข้าแต่งกายคล้ายคนบ้าออกไปอาละวาด หาศัตรูเพิ่ม ประกอบกิจวีรบุรุษนานวันก็ทำให้ตนเองยิ่งมายิ่งตกเป็นเป้าหมายในการเข่นฆ่าสังหาร นับเป็นเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้า แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คิด กว่าจะได้คิดก็มีเรื่องราวปะทะสังหารผู้คนไปอีกมากมาย บางคราเอาชีวิตแทบไม่รอด"

"ดีที่เคยอยู่ในสนามรบอาศัยประสบการณ์เหล่านั้นและโชคทำให้มีชีวิตรอด อย่างไรก็ตามเมื่อรอดมาได้ก็นับว่าเข้าใจความล้ำลึกของการต่อสู้เพิ่มขึ้นอีกส่วน ถือเป็นการฝึกฝนฝีมืออย่างรวบลัดก็ว่าได้ แต่... ยิ่งนานยิ่งเห็นซึ้งในปัญหา..."

"ชนชาวโลกปั่นป่วนวุ่นวาย ภัยร้ายมีไม่เว้นแต่ละวัน จิตใจคนทั้งโลภทั้งโหดร้าย ไม่ปล่อยวางแม้สักพื้นที่ หากข้าต้องการเป็นวีรบุรุษเช่นนี้ มีอีกกี่ชีวิตก็ไม่พอช่วยเหลือ..."

"ที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือการสร้างจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ชุดเขียว หมวกปีกกว้าอะไรนั่น ล้วนก่อเรื่องยุ่งยาก มันสะดุดตาเกินไป เรียกให้ศัตรูติดตามแกะรอยได้ง่าย จะทำการสิ่งใดล้วนลำบากวุ่นวาย บางคราถูกศัตรูหลายพวกรวมหัวกลุ้มรุมแทบเอาชีวิตไม่รอด จึงละทิ้งชุดบ้าๆ บอๆ กับพฤติกรรมเช่นนั้นไป สุดท้ายทิ้งไว้แค่ตำนานเล่าลือ ให้ชาวยุทธเรียกเป็น จอมภูต อะไรนั่น ทั้งหมดล้วนเป็นเกินจริงไร้สาระมาจนถึงบัดนี้ !"

ชายสูงวัยยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด สาดเหล้าเข้าปากไปอีกชาม ก่อนจะกล่าวช้าๆ

"ข้ามิใช่จอมภูตที่เร้นกายเป็นสัปเหร่อ แต่ควรกล่าวว่าข้าเป็นสัปเหร่อที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกหาว่าเป็น จอมภูต ต่างหาก !" พูดจบก็หัวเราะดังสนั่น ก่อนกล่าวต่ออย่างเคร่งขึมจริงจัง

"เป็นเถ้าแก่ใหญ่วางหมากเอาไว้ตั้งแต่ต้น ท่านผู้เฒ่าจูฉงปา นอกจากเป็นผู้เหี้ยมหาญของแผ่นดิน ยังมีสายตาคมกล้า การสังเกตเป็นเลิศ ถึงกับลอบสังเกตดูพัฒนาการของข้ามาตั้งแต่ต้น"

"หลังสงครามสงบท่านรู้ว่าพวกเราเหล่าหน่วยเก็บซากศพส่วนใหญ่จะไร้ที่ไป เนื่องจากไม่มีชื่อเสียงไม่มีผลงานอันโดดเด่น ไม่อาจได้รับบำเหน็ดพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จะเข้าสัดกัดเป็นทหารก็ล้วนไร้ผลงานรับรอง พอหมดสงครามทหารหมดโอกาส จะไปเป็นขุนนาง พวกเราส่วนใหญ่ก็ไม่รู้หนังสือ.."

"ปู่ของเจ้าถึงกับเร้นกายมาพบข้าด้วยตนเองในคืนหนึ่ง ท่านมอบตั๋วแลกเงินหอบใหญ่ให้และรับปากช่วยอำนวยความสะดวก สั่งให้ข้าสามารถคัดเลือกผู้คนที่เชื่อใจขยับขยายออกไป ทำการจัดตั้งสมาคมขึ้นเพื่อรองรับผู้คนที่เหลือของหน่วยเก็บซากศพหลังสงคราม นั่นเป็นที่มาของพรรคสัปเหร่อ ที่เจ้าเห็นการเคลื่อนไหวในวันนี้!"

"พรรคสัปเหร่อ !" เมิ่งเถียนอ้าปากหวอด้วยความแปลกใจ "มีค่ายพรรคเช่นนี้ด้วยหรือนี่ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน"

สัปเหร่อเสียนหัวร่อก่อนจะคีบปลาคำหนึ่งเข้าปาก สาดเหล้าอีกอึกเข้าในลำคอ

"เถ้าแก่ใหญ่จูรอบคอบยิ่งนัก ท่านทราบว่าข้ามีความจัดเจนในเรื่องการจัดการซากศพ ทั้งอ่านออกเขียนได้รู้พิธีการ มีฝีมือพอควร จึงมอบหมายให้เป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างค่ายพรรคขึ้น เพื่อให้เป็นหลักประกันว่าเหล่าไพร่พลของหน่วยเก็บซากศพหลังจบสิ้นสงครามยังมีที่ไป สามารถใช้ทักษะฝีมือในการจัดการศพทำมาหากิน นี่นับเป็นอาชีพสุจริต พวกเราผ่านศึกสงคราม มาตรแม้นว่าไม่มีชื่อเสียง แต่หลายต่อหลายคนมีพลังฝีมือติดตัว หากปล่อยให้เร่ร่อนไร้อาชีพเมื่ออดอยากก็จะกลายเป็นโจรร้าย ต้องเสียงแรงคนเสียงบประมาณในการปราบปราม สู้สร้างอาชีพ ให้การสนับสนุน ให้มีงานทำ มีกินมีใช้ เป็นประโยชน์กว่า นี่คือวิสัยทัศน์..."

"ดังนั้นพวกเราเหล่าคนของหน่วยเก็บซากศพสามารถสร้างค่ายพรรคของตนเองขึ้น คอยให้การสนับสนุนทั้งเงินทุนและความรู้ให้กับคนที่สมัครใจทำกิจการเป็นสัปเหร่อ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ต่อให้ไปหยั่งเท้าในที่ใดแม้เป็นที่ใหม่ เจ้าถิ่นก็ไม่กล้าระราน เนื่องจากมีพรรคเป็นเครื่องหนุนหลัง ทำมาหากินได้เปิดเผยปลอดภัย มีความรู้เรื่องพิธีกรรม เข้าใจเรื่องธรรมเนียม สามารถจัดการงานศพได้ดี ก็มีผู้ว่าจ้างมาก..."

"มาจนถึงทุกวันนี้เรามีสมาชิกหลายพันคนทั่วแผ่นดิน แม้จะมิได้ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงเช่น พรรคกระยาจก หรือค่ายสำนักอื่นๆ แต่นับว่าพวกเรามีที่ไปของตนเอง สามารถเลี้ยงตัวได้ไม่ลำบาก ในจังหวะที่จำเป็นยังสามารถช่วยเหลืองานของแผ่นดินได้..."

สัปเหร่อเสียนหันไปมองหน้าลูกศิษย์ก่อนกล่าวเบาๆ

"เว้นแต่เรื่องของเจ้า เป็นเถ้าแก่ใหญ่ไหว้วานข้าเป็นการเฉพาะ ให้คัดเลือกเพียงคนที่ไว้วางใจได้ไม่กี่คนทำหน้าที่เป็นหลักประกันการมีชีวิตรอดให้ผู้เป็นทายาทของท่าน"

"ที่อารามร้างแห่งนั้นเป็นจุดนัดพบ และมีอุโมงค์ลับใช้หลบหนี ต้องจัดให้มีคนเฝ้าประจำมาต่อเนื่องหลายปี พวกเรามีหูตาอยู่ทั่วแผ่นดิน เมื่อรู้ว่าเกิดเหตุใหญ่ ข้าจึงรุดไปประจำยังที่นั้นด้วยตนเอง เฝ้าอยู่ครึ่งเดือนเจ้าก็มาจริงๆ !"

"เรื่องหลังจากนั้นเจ้าเองก็รู้หมดแล้ว... เป็นอย่างไร สิ้นความสงสัยที่อัดอั้นตันใจไปบ้างแล้วกระมัง"

พูดจบส่งเสียงหัวเราะขึ้นอีกครา เหวี่ยงชามทิ้ง พลางยกไหสุรากรอกใส่ปากอย่างสะใจ

"เข้าใจแล้วๆ เป็นเสด็จปู่ฝากฝังข้าไว้กับท่าน... อาจารย์เรื่องราวของท่านพิสดารอย่างยิ่ง แต่ทุกเรื่องล้วนมีที่มาที่ไป ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนเราควรมีการเตรียมการแต่เนิ่นๆ มากมายถึงขนาดนี้" เมิ่งเถียนผงกศีรษะขึ้นลง นับว่าเรื่องเล่าในวันนี้สามารถคลายความสงสัยของเขาไปได้แทบทั้งหมด ทำให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ขึ้นอีกมาก

"ดี เข้าใจแล้วก็ดี ตอนนี้จงกินให้อิ่ม แล้วพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เราต้องเดินทางไกล เมื่อออกพ้นจากดินแดนต้าหมิงแล้วค่อยคิดอ่านกัน !"

..........................