ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้จับตัวคนที่เป็นต้นเหตุความวุ่นวายกลับไปขังยังคุกหลวง เพื่อรอการไต่สวน
ส่วนคนเจ็บก็ได้ถูกส่งไปให้สำนักหมอหลวงทำการรักษาให้หายดีเสียก่อนแล้วค่อยนำตัวมาไต่สวนทีหลัง
จวนแม่ทัพได้ถูกสั่งปิดชั่วคราว รวมทั้งบ่าวไพร่ของเรือนสกุลหลงและเรือนหลงหลิง ต่างก็ต้องถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในเรือน และจนกว่าจะมีพระบัญชาอีกครั้ง
ไม่เว้นแม้แต่จวนเยี่ยอ๋อง เรือนพักของหยวนจูวเย่ รวมไปถึงเรือนพักของคนสกุลซ่ง ก็ต้องถูกสั่งปิดชั่วคราวและกักบริเวณทุกคนให้อยู่แต่ในเรือนเช่นกัน และทหารของวังหลวงได้ถูกส่งไปยืนคุมเข้มอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของทุกเรือน
ด้านกรมยุติธรรมก็ได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้เป็นผู้ช่วยในการรื้อฟื้นคดีของพระตำหนักต้องห้าม เพื่อทำการไต่สวนใหม่อีกครั้ง
สิ่งแรกที่กรมยุติธรรมเริ่มดำเนินการ คือส่งทหารไปตรวจค้นจวนเยี่ยอ๋องและเรือนของซ่งเฉาเกาอย่างละเอียด เพื่อหาหลักฐานที่จะเชื่อมโยงไปถึงข้อกล่าวหานั้น
ทว่าที่เรือนของซ่งเฉาเกาพบเพียงแค่เอกสารบัญชีของการทุจริตเงินที่จัดสรรเพื่อซื้อเสบียงและสรรพาวุธของทหารเท่านั้น
ส่วนที่จวนเยี่ยอ๋องกลับได้พบว่ามีห้องลับซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บเงินทองและเครื่องประดับอัญมณีของมีค่ามากมายและแอบทำการซุกซ่อนไว้ ส่วนหลักฐานที่จะเชื่อมโยงไปถึงการตายขององค์หญิงอวี้หลันกลับหาไม่เจอ
ขั้นตอนต่อไป คนของกรมยุติธรรมจึงได้ทำการเปิดสุสานหลวงขององค์หญิงอวี้หลันน้อยขึ้น เพื่อทำการชันสูตรพลิกศพหาหลักฐานและเบาะแสตามที่ฟ่งหลันหลั่นได้กล่าวอ้างอิงไว้
แต่สิ่งที่ปรากฏตรงเบื้องหน้าของทุกคนกลับทำให้พวกเขาต้องแปลกใจยิ่งนัก
ในที่สุดความลับที่ถูกซ่อนไว้มาสิบกว่าปีของใครบางคนก็ได้ถูกเปิดเผยออกมา
ท้องพระโรง
"เจ้ากรมยุติธรรม ท่านหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ที่บอกว่าไม่พบพระศพขององค์หญิงอวี้หลันอยู่ในสุสานหลวงนั่น"
องค์ฮ่องเต้ทรงตรัสถามจากเจ้ากรมยุติธรรม ถึงคำทูลถวายรายงานที่พระองค์และทุกคนพึ่งได้รับฟังโดยทั่วท้องพระโรงแห่งนี้พร้อม ๆ กัน
"กราบทูลฝ่าบาท พระองค์ทรงฟังไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเป็นผู้ไปตรวจสอบด้วยตัวเอง และในสุสานหลวงนั้นกลับว่างเปล่าไร้ซึ่งพระศพขององค์หญิงอวี้หลัน แม้แต่ป้ายหยกมรกตที่เป็นป้ายประจำตัวขององค์หญิงก็มิปรากฏอยู่ที่นั่นเลย มีเพียงเครื่องประดับและอัญมณีมีค่าซึ่งเป็นของใช้ส่วนพระองค์วางอยู่ในโลงพระศพนั้นพ่ะย่ะค่ะ"
เจ้ากรมยุติธรรมได้ทูลถวายรายงานเพิ่มอย่างละเอียด
องค์ฮ่องเต้ทรงประทับนิ่งและทบทวนความคิดในเรื่องราวทุกอย่างอีกครั้ง โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉากงกงกลับมาจากมอบราชโองการให้กับแม่ทัพหนุ่ม จนมาถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อหลายวันก่อนที่จวน แม่ทัพ
ครู่ใหญ่ฮ่องเต้ก็ได้ทรงหันไปตรัสถามกับหมอหลวง
"หมอหลวง อาการบาดเจ็บของสามคนนั้นเป็นยังไงบ้าง พวกเขาดีขึ้นแล้วหรือยัง"
องค์ฮ่องเต้ได้ทรงตรัสเช่นนั้น เพราะคิดว่าคำตอบที่แท้จริงนั้นอาจจะอยู่ที่คนทั้งสามซึ่งพวกเขากำลังบาดเจ็บอยู่
หมอหลวงได้เดินออกมาจากแถว และกล่าวทูลถวายรายงานอย่างสุขุม
"ทูลฝ่าบาท อาการบาดเจ็บของซ่งเฉาเกานั้น โชคดีที่อาวุธไม่ได้โดนจุดสำคัญที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตตอนนี้จึงเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ และเจ้ากรมยุติธรรมได้ให้นำตัวเขาไปขังไว้ยังคุกหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ส่วนคุณชายหยวน โชคดีที่ตอนเกิดเรื่องคนของเขาได้ช่วยสกัดจุดชีพจรไว้ได้ทัน ทำให้พิษที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายไม่ได้แพร่กระจายไปมาก หม่อมฉันได้จ่ายยาขับพิษให้เขาแล้ว อีกไม่นานร่างกายก็คงจะกลับมาเป็นปกติ แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือเฉากงกง เพราะตัวเขาแก่ชรามากกว่าผู้ใด ร่างกายก็อ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เกรงว่าอาการประสาทหลอนที่เป็นอยู่ อาจจะส่งผลถึงขั้นทำให้เขากลายเป็นคนวิกลจริตได้พ่ะย่ะค่ะ"
หมอหลวงหยุดกล่าวไปครู่หนึ่ง เพราะรู้ว่าฮ่องเต้คงจะทรงรู้สึกเสียพระทัยอยู่ไม่มากก็น้อยกับอาการของเฉากงกง เพราะขุนนางทุกคนต่างรู้ว่าขันทีผู้นี้ ปรนนิบัติดูและฮ่องเต้มาอย่างยาวนาน
"แล้วอีกสองคนที่เหลือล่ะ อาการของพวกเขาเป็นเยี่ยงไรบ้าง"
ฮ่องเต้ทรงข่มพระทัยในความโทมนัสนั้นไว้ และตรัสถามหมอหลวงต่อ
"ด้านท่านอ๋อง อาการบาดเจ็บยังทรงตัวอยู่พ่ะย่ะค่ะ แม้บาดแผลที่ถูกแทงทางด้านหลังจะไม่โดนจุดสำคัญ ทว่า..."
หมอหลวงทูลถวายรายงานอยู่ดีดี ก็เกิดอาการอ้ำอึ้งไม่กล้าจะทูลกล่าวต่อ เพราะเกรงกลัวต่ออาญา
"ทว่าอะไรกันงั้นรึ!"
ฮ่องเต้ทรงตรัสถามสวนกลับอย่างสงสัย
"ทว่า...เยี่ยอ๋องอาจจะไม่สามารถกลับมาเดินได้เป็นปกติอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ และหากเป็นเช่นนั้น ท่านอ๋องคงต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ เพราะคมดาบนั้นได้ตัดไปโดนตรงเส้นประสาทในส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวช่วงล่างของร่างกายพ่ะย่ะค่ะ"
คำตอบของหมอหลวงทำให้ทุกคนในท้องพระโรงนั้นต่างพากันเผยสีหน้าตกใจ แต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดแทรกแซงขึ้น
ฮ่องเต้ทรงประทับนิ่งไปครู่หนึ่งกับข่าวไม่สู้ดีถึงอาการบาดเจ็บของเยี่ยอ๋อง เพราะถึงอย่างไรเสีย เขาก็เป็นพระญาติและมีศักดิ์เป็นถึงอ๋องของแคว้นนี้
หากชีวิตที่เหลือนับจากนี้จะต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต ดูท่าคงจะเป็นสิ่งที่อ๋องผู้ทระนงในยศถาบรรดาศักดิ์ กระทั่งใฝ่ฝันอยากขึ้นครองบัลลังก์ กลับต้องมาลงเอยกลายเป็นคนพิการ เขาคงจะทำใจยอมรับมันไม่ไหวแน่นอน
"แล้วสตรีอีกนางที่ได้รับบาดเจ็บล่ะ อาการของนางเป็นยังไงบ้าง"
เมื่อองค์ฮ่องเต้ตรัสถามเรื่องอาการบาดเจ็บของฟ่งหลันหลั่น หมอหลวงถึงกับนั่งทรุดเข่าลงบนพื้น และเผยสีหน้าเป็นกังวลอย่างที่สุด
"ทูลฝ่าบาท พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันไร้ความสามารถ อาการบาดเจ็บของแม่นางท่านนั้นช่างหนักหนายิ่งนัก เพราะไม่เพียงแค่พิษจากบาดแผลของคมดาบ แต่ทว่าภายในร่างกายของนางยังมีพิษอีกชนิดหนึ่งปะปนอยู่ในเลือดพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งทำให้อาการของนางตกอยู่ในขั้นวิกฤติ เป็นตายเท่ากัน"
"มีพิษอีกชนิดหนึ่งปะปนอยู่ในร่างกายของนางงั้นรึ!"
ฮ่องเต้ทรงตรัสถามขึ้น พร้อมกับเผยสีพระพักตร์ตกใจแกมประหลาดใจ
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
"แล้วท่านหมอหลวง รู้หรือไม่ว่ามันเป็นพิษชนิดใดกัน และพอจะมีหนทางรักษานางได้หรือไม่"
"กราบทูลฝ่าบาท พิษนั้นน่าจะเป็นผงปลิดวิญญาณ ส่วนแนวทางการรักษา หม่อมฉันจนปัญญายิ่งนัก เพราะนอกจากผู้สร้างพิษจะมอบยาแก้พิษให้เท่านั้น มิเช่นนั้นก็ไม่มีหนทางใดที่จะถอนพิษได้ ซึ่งใครเป็นผู้สร้างพิษก็ไม่มีผู้ใดหาทราบไม่ อีกอย่างตอนนี้พิษมันได้แทรกซึมอยู่ในเลือดและกระจายไปตามทุกส่วนภายในของร่างกายของสตรีผู้นั้นมานาน จึงยากจะช่วยเหลือได้ เว้นเสียจากว่า..."
ในขณะที่ทุกคนในท้องพระโรงกำลังตั้งใจฟัง จู่ ๆ หมอหลวงก็หยุดพูดไปอีกครั้ง ฮ่องเต้จึงทรงตรัสถามด้วยพระสุรเสียงหงุดหงิดพระทัยขึ้นมาเล็กน้อย
"เว้นเสียจากว่าอะไรกัน! ท่านรีบพูดมาให้จบเสียทีเดียวเถอะ มัวแต่อ้ำอึ้งแบบนี้มันเสียเวลาและกวนใจเรายิ่งนัก"
หมอหลวงรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เขาได้ทำให้ฮ่องเต้เริ่มขุ่นเคืองพระทัยแล้ว จึงรีบกล่าวทูลข้อมูลที่เหลืออย่างร้อนรน
"พระอาญามิพ้นเกล้า เว้นเสียแต่ว่ามีผู้ยอมสละตัวเองถ่ายโอนโลหิตให้นางเพื่อเป็นการถอนพิษนั้นออกไปจากร่างกายพ่ะย่ะค่ะ แต่สาเหตุที่หม่อมฉันไม่ได้กราบทูลตั้งแต่แรก เพราะหม่อมฉันไม่มั่นใจว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ และมันเป็นวิธีการที่เสี่ยงเกินไปพ่ะย่ะค่ะ"
หลังจากที่ฮ่องเต้ได้ฟังข้อมูลและแนวทางการรักษาของสตรีนางนั้นจากหมอหลวง พระองค์เองก็ทรงตระหนักได้ถึงความจริงเฉกเช่นที่หมอหลวงผู้นี้ได้อธิบายมา
และหากเรื่องนี้ได้รู้ไปถึงหูของหลงอี้หลิงเข้า แม่ทัพหนุ่มผู้นั้นคงตัดสินใจกระทำบางอย่าง ในสิ่งที่พระองค์ทรงจะไม่มีทางยอมอนุญาตได้
"พวกท่านทุกคนในท้องพระโรงนี้ จงปิดปากเรื่องนี้ให้สนิท ห้ามให้แพร่งพรายไปถึงหูของแม่ทัพหลิงเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่!"
ฮ่องเต้ทรงตรัสรับสั่งด้วยพระสุรเสียงกร้าวอย่างหนักแน่น เพราะหลงอี้หลิงเป็นแม่ทัพคนสำคัญของแคว้นโหย่ว พระองค์จึงไม่สามารถยอมให้เขาเอาชีวิตของตนมาเสี่ยงเพียงเพื่อสตรีนางเดียวได้ แม้ว่าสตรีนางนั้นอาจจะเป็นองค์หญิงอวี้หลันก็ตาม และถึงแม้นางจะเป็นคนรักของหลงอี้หลิง แต่หน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ย่อมอยู่เหนือความสุขส่วนตัว
"น้อมรับพระบัญชาฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"
ขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงต่างขานรับขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
จากนั้นฮ่องเต้ก็ได้ทรงเสด็จกลับพระตำหนักส่วนพระองค์
"น้อมส่งเสด็จ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
และเหล่าขุนนางก็แยกย้ายกันกลับ
....
เซียงไค 盛開