พระตำหนักส่วนพระองค์ของฮ่องเต้
ภายในวันเดียวกัน ช่วงยามเว่ยซึ่งเป็นเวลาพระสำราญของฮ่องเต้ เยี่ยชิงเซียวก็ได้เดินทางมาที่พระตำหนักของพระองค์และทูลขอเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วน ด้วยท่าทีร้อนใจ
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองเพิ่งกล่าวสิ่งใดออกมา"
องค์ฮ่องเต้ตรัสย้ำถามสตรีที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงเบื้องหน้าพระพักตร์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงประทับอยู่ยังพระที่นั่งส่วนพระองค์ โดยมีขันทียืนอยู่ข้างพระวรกาย
เยี่ยชิงเซียวนั่งคุกเข่าทั้งสองข้าง ยืดหลังตรง ดวงหน้าเชิดขึ้น และมองตรงไปยังฮ่องเต้ และย้ำคำกล่าวของตนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"เพคะฝ่าบาท ทุกสิ่งที่หม่อมฉันเพิ่งทูลกล่าวกับพระองค์ไป ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่ที่หม่อมฉันจำความได้ หม่อมฉันได้รู้เห็นการกระทำของท่านพ่อที่ได้ร่วมกันวางแผนกับซ่งเฉาเกามานานนับสิบปี เพื่อหวังจะยึดครองอำนาจและชิงพระบัลลังก์นี้ของพระองค์ ความผิดของหม่อมฉันคือไม่ยอมกล่าวทัดทานบิดา แม้จะรู้ว่าเขากำลังทำความผิด เท่ากับว่าหม่อมฉันเองก็ไม่ต่างจากผู้สมรู้ร่วมคิดเช่นกัน"
ฮ่องเต้ฟังคำกล่าวของเยี่ยชิงเซียว จึงตรัสถามต่ออย่างฉงนใจ เพราะเหตุใดนางถึงได้ยอมสารภาพผิดด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ กรมยุติธรรมยังไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงตัวนาง
"เหตุใดเจ้าถึงกล้าที่จะมาสารภาพผิดด้วยตัวเอง ไม่กลัวว่าเราจะสั่งลงโทษทัณฑ์หนักต่อเจ้าและบิดางั้นรึ!"
"ขอทูลฝ่าบาทตามตรง หม่อมฉันกลัวเพคะ แต่หม่อมฉันก็กลัวว่าท่านพ่ออาจต้องโทษทัณฑ์ประหารชีวิตมากกว่าภัยของตน ด้วยนิสัยของเขา คงไม่ยอมที่จะสารภาพผิดทุกอย่างออกมาจากปากอย่างแน่นอน แม้ต้องตาย ท่านพ่อก็คงจะปิดปากเงียบ เพราะต้องการปกป้องชีวิตของหม่อมฉันไว้ให้ถึงที่สุด คนเป็นลูกจึงมิอาจทนนั่งมองบิดาของตนเดินเข้าปากเหวโดยมิทำอะไรได้"
เยี่ยชิงเซียวทูลกล่าวกับฮ่องเต้เยี่ยงนั้น เพราะนางรู้จักนิสัยบิดาของตนเป็นอย่างดี ไม่ว่าคนผู้นั้นจะร้ายกาจโหดเหี้ยมกับคนอื่นขนาดไหนก็ตาม แต่กับบุตรสาวอันเป็นที่รัก เขาจะปกป้องด้วยชีวิตของคนเป็นพ่ออย่างถึงที่สุด
เฉกเช่นเดียวกับตัวนาง ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องครอบครัวของตน
"เจ้าคงจะรู้ข่าวอาการบาดเจ็บของเยี่ยอ๋องจากหมอหลวงแล้วกระมัง ถึงได้ร้อนใจเช่นนี้"
"เพคะฝ่าบาท และที่หม่อมฉันขอเข้าเฝ้าพระองค์ในวันนี้ เพราะหม่อมฉันอยากทูลขอความเมตตาจากพระองค์ในความผิดและโทษทัณฑ์ของบิดา ไม่ว่าเขาจะได้กระทำสิ่งใดไว้ หม่อมฉันขอรับผิดแทนเขาทุกอย่าง พร้อมกับจะยอมมอบหลักฐานสำคัญที่เกี่ยวกับคดีของพระตำหนักต้องห้ามเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยมีเงื่อนไขว่าบิดาของหม่อมฉันจะรอดพ้นจากโทษประหาร และมีชีวิตอยู่ต่อไปจนวาระสุดท้ายของเขาเพคะ"
ขันทีผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างพระวรกายของฮ่องเต้เกิดอาการไม่พอใจ ที่ธิดาของเยี่ยอ๋อง กล้าถือดีหมิ่นเบื้องพระพักตร์ เขาจึงได้ตวาดเสียงดังใส่เยี่ยชิงเซียวทันที
"บังอาจนัก! เจ้าเป็นเพียงธิดาอ๋องกลับกล้าหมิ่นเบื้องสูง ทำการต่อรองยื่นเงื่อนไขกับพระองค์เช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน"
ทว่าฮ่องเต้ได้ทรงชูพระหัตถ์ขึ้นเพื่อปรามขันทีไม่ให้กล่าวต่อ และจ้องมองไปยังสตรีตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา
'สตรีนางนี้ช่างกล้าหาญนัก ถึงขนาดยอมเอาชีวิตของตนมาแลกกับบิดา ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าหากทำการต่อรองเงื่อนไขกับเรา ผู้เป็นฮ่องเต้ ย่อมมีผลเสียมากกว่าผลลัพธ์'
ความกล้าหาญและความกตัญญูของเยี่ยชิงเซียว ได้ทำให้ฮ่องเต้ยอมเปิดใจรับฟังต่อจนจบ
"ขนาดเจ้ากรมยุติธรรมยังไม่สามารถสืบหาหลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนได้เลย เช่นนี้แล้วเราจะเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูดได้เยี่ยงไรกัน เว้นเสียจากเจ้าจะมีหลักฐานมายืนยันในคำพูดนั้นของตน"
เมื่อได้ฟังพระดำรัสของฮ่องเต้ยอมเปิดพระทัยรับฟัง แววตาของเยี่ยชิงเซียวก็ฉายประกายแห่งความหวังลุกโชนขึ้นมา แม้มันจะน้อยนิดก็ตาม
"ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมีหลักฐานพวกนั้นอยู่จริงเพคะ หม่อมฉันเคยไปขโมยผงปลิดวิญญาณนั้นมาจากห้องหนังสือของท่านพ่อ และใช้มันผสมลงไปในขนมหวาน เพื่อลอบทำร้ายฟ่งหลันหลั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ท่านแม่ทัพหลงและคนสกุลหลงก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย และหลักฐานที่สำคัญอีกชิ้น..."
เยี่ยชิงเซียวได้หยุดพูดไปครู่หนึ่ง พร้อมกับก้มหน้าลงและล้วงบางอย่างออกมาจากตัวเสื้อด้านในของนาง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและพูดต่อ
"...ป้ายหยกชิ้นนี้ คือป้ายประจำตัวขององค์ชายรัชทายาทองค์ก่อน พระองค์สามารถนำไปเทียบกับป้ายหยกของฟ่งหลันหลั่นได้ เพราะจะมีบางจุดที่ตรงกันอยู่เพคะ"
เมื่อกล่าวจบเยี่ยชิงเซียวก็ได้มอบหลักฐานในมือทั้งหมดของตนส่งให้กับฮ่องเต้ โดยมีขันทีเป็นผู้เดินมารับ
แต่เนื่องจากสิ่งที่ธิดาอ๋องเพิ่งทูลถวายให้กับฮ่องเต้จำเป็นต้องส่งไปให้สำนักหมอหลวงและกรมคลังตรวจสอบอย่างละเอียดแน่ชัดเสียก่อน ว่าเป็นของจริงหรือไม่ พระองค์จึงยังทรงไม่สามารถให้คำตอบอันใดแก่นางได้ในตอนนี้
"เอาเป็นว่าเราจะส่งของพวกนี้ไปให้กรมคลังและสำนักหมอหลวงตรวจสอบ หากทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่เจ้ากล่าวมา เราจะทำการพิจารณาตัดสินโทษทัณฑ์ของเยี่ยอ๋องอย่างยุติธรรมแน่นอน ส่วนเจ้าก็กลับไปดูแลอาการบาดเจ็บของบิดาต่อเถิด หากได้ความคืบหน้าอันใดเราจะส่งคนไปตาม"
ฮ่องเต้เป็นผู้ทรงความยุติธรรม จึงไม่ได้ปฏิเสธเยี่ยชิงเซียว และยอมรับฟังในสิ่งที่นางต้องการพูด และก็ทรงยินดีจะตรวจสอบทุกอย่างด้วยความเที่ยงธรรม
เยี่ยชิงเซียวได้ฟังรับสั่งของฮ่องเต้ นางก็เผยสีหน้าดีใจเป็นที่สุด จึงได้โขกศีรษะลงบนพื้นเพื่อขอบพระทัยในพระเมตตาของฮ่องเต้
"ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
จากนั้นธิดาอ๋องก็ได้กลับไปดูแลบิดาอาการบาดเจ็บของบิดาตามรับสั่ง
วันต่อมาขันทีก็ได้มาทูลรายงานต่อฮ่องเต้ ว่าแม่ทัพหนุ่มซึ่งกำลังถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง ได้ถวายฎีกาเร่งด่วนเพื่อขอเข้าเฝ้าพระองค์
ในเวลานั้นเอง ฮ่องเต้ก็ทรงรู้ได้ทันทีว่าเรื่องอาการบาดเจ็บและวิธีการรักษาของสตรีนางนั้น คงล่วงรู้ไปถึงหูของแม่ทัพหนุ่มเรียบร้อยแล้ว และประจวบเหมาะกับพระองค์เพิ่งทรงได้รับรายงานมาจากกรมคลังและสำนักหมอหลวงถึงหลักฐานจากเยี่ยชิงเซียวที่ส่งไปตรวจสอบ ว่าทั้งสองชิ้นนั้นคือของจริงตามที่นางกล่าวอ้างไว้
ฮ่องเต้จึงทรงอนุญาตให้แม่ทัพหนุ่มได้เข้าเฝ้า
ห้องทรงพระอักษร
"ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
หลงอี้หลิงนั่งคุกเข่าลงบนพื้นและถวายความเคารพต่อองค์ฮ่องเต้อย่างนอบน้อม และไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาเพราะสำนึกถึงความผิดของตนที่ได้กระทำไว้
ฮ่องเต้จึงทรงเสด็จจากที่ประทับตรงมาหาแม่ทัพหนุ่มและพยุงตัวเขาลุกขึ้นยืน "ท่านแม่ทัพหลงลุกขึ้นเถิด"
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
หลังจากที่แม่ทัพหนุ่มได้ลุกขึ้นยืน การสนทนาของทั้งสองคนจึงได้เริ่มต้นขึ้น
"ท่านแม่ทัพคงกำลังร้อนใจหนักสินะ ถึงขนาดส่งฎีกาด่วนเพื่อขอพบเรา นี่ท่านไม่เชื่อใจว่าเราจะตัดสินคดีที่เกิดขึ้นยังจวนแม่ทัพอย่างเป็นธรรมกระนั้นรึ"
ฮ่องเต้ได้ทรงตรัสถามแม่ทัพหนุ่มถึงเรื่องอื่น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาขอเข้าเฝ้าด้วยจุดประสงค์ใด
"พระอาญามิพ้นเกล้า ขอฝ่าบาททรงประทานอภัยในความขาดสติและร้อนใจของหม่อมฉัน แต่เหตุผลที่หม่อมฉันต้องขอเข้าเฝ้าพระองค์ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เป็นเรื่องของฟ่งหลันหลั่นพ่ะย่ะค่ะ"
หลงอี้หลิงทูลชี้แจงกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"อ้อ! หากเจ้าต้องการเข้าเฝ้าเราเพื่อมาขอร้องเรื่องของสตรีนางนั้นหรอกงั้นรึ แต่เราขอโทษด้วยที่จะต้องปฏิเสธในคำขอนั้น"
ฮ่องเต้ยังไม่ทรงได้ฟังเลยว่าแม่ทัพหนุ่มจะกล่าวสิ่งใด แต่พระองค์ก็ได้ทรงชิงปฏิเสธเขาไปก่อนอย่างชัดเจน เพราะฮ่องเต้ทรงคาดเดาได้ถึงความในใจของแม่ทัพหนุ่มผู้นี้
หลงอี้หลิงได้ยินรับสั่งจากฮ่องเต้ เขาก็ทรุดเข่าทั้งสองข้างลงบนพื้นทันที และทูลวิงวอนขอพระเมตตาจากพระองค์
"ฝ่าบาทโปรดทรงเมตตา ขอพระองค์ทรงยอมอนุญาตให้หม่อมฉันได้ช่วยนางด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
หลงอี้หลิงกล่าวเสียงหนักแน่นและนัยน์ตาคมกริบฉายแววเด็ดเดี่ยว หากไม่ได้รับพระราชาอนุญาต เขาจะไม่ยอมลุกขึ้นอย่างแน่นอน
"หลงอี้หลิง เจ้ากำลังขอความเมตตาจากเราอย่างงั้นรึ คำขอของเจ้าคือการเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือสตรีนางเดียว ถ้าเกิดอะไรกับเจ้าขึ้นมา และหากต้องสูญเสียแม่ทัพคนสำคัญของพวกเขาไปเพราะเหตุการณ์นี้ เราจะตอบประชาชนในแคว้นโหย่วนี้ได้เยี่ยงไรกัน"
ฮ่องเต้เองก็ทรงลำบากพระทัยที่จะอนุญาตในคำขอของหลงอี้หลิง เพราะเขาเป็นแม่ทัพคนสำคัญที่มากไปด้วยความสามารถและเปี่ยมไปด้วยคุณความดี และเป็นที่รักของประชาชนอีกมากมาย
และถึงแม้จะเป็นพระองค์เอง หากถึงคราวจำเป็นที่จะต้องเลือกระหว่างความรักต่อครอบครัวกับหน้าที่รับผิดชอบต่อแผ่นดินแล้ว แม้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่อาจจะเลือกได้ตามใจปรารถนา เพราะแผ่นดินและความสงบสุขของบ้านเมือง ย่อมสำคัญกว่าเหนือสิ่งอื่นใด
"พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันเข้าใจในพระประสงค์และความห่วงใยจากพระองค์เป็นอย่างดี หม่อมฉันตระหนักในหน้าที่ของตนที่มีต่อบ้านเมืองและปฏิบัติตามรับสั่งเสมอมา แม้ต้องกรำศึกสงคราม ต่อสู้กับข้าศึกศัตรูมากมายแค่ไหน หม่อมฉันก็มิเคยหวาดหวั่นและพร้อมยอมพลีชีพในทุกศึกสงคราม"
"เรื่องนั้นเราและขุนนางทั้งหลาย รวมทั้งประชาชนทุกคนต่างก็รู้ดี และพวกเราก็ขอขอบคุณเจ้าที่ทำหน้าที่ของตัวเองมาเป็นอย่างดี ทว่าเรื่องที่เจ้าต้องการขออนุญาต เราไม่อาจจะมอบให้ได้จริง ๆ"
ฮ่องเต้ทรงพยายามขืนพระทัย ยืนกรานด้วยพระสุรเสียงหนักแน่น ไม่ทรงยอมอนุญาตตามคำขอของแม่ทัพหนุ่ม และพระองค์เองก็ทรงรู้สึกเจ็บปวดพระทัยไม่แพ้เขาที่ต้องตรัสเช่นนั้นออกมา
แต่แม่ทัพหนุ่มก็ไม่ยอมลดละความพยายาม
"ทูลฝ่าบาท แต่สาเหตุที่ฟ่งหลันหลั่นได้รับบาดเจ็บสาหัสอาการเป็นตายเช่นนี้ ก็เพราะในวันนั้น...หม่อมฉันยังคงยึดถือและปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด จึงไม่ได้ยื่นมือเข้าไปปกป้องนางจากการทำร้ายของเยี่ยอ๋องอย่างทันทีทันใด และเพราะความประมาทเลินเล่อของตน จนปล่อยให้ซ่งเฉาเกาทำร้ายคนได้เช่นนั้น"
"สถานการณ์ในตอนนั้น เราและคนอื่น ๆ ก็รู้ดีแก่ใจ ว่าเจ้าระแวงว่าคนของหยวนจูวเย่ อาจจะคิดจับตัวเราเป็นตัวประกันเพื่อแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัยของผู้เป็นนาย ดังนั้นเจ้าจึงไม่ได้ขยับตัวแม้สักนิด เพราะไม่อยากทิ้งห่างออกไปจากตำแหน่งของตนซึ่งกำลังยืนคุมเชิงอยู่ในเวลานั้น และได้ทนปวดใจยืนมองนางอันเป็นที่รักถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา โดยไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยอย่างทันท่วงที จนเหตุการณ์มันได้บานปลายอย่างที่เห็น แต่เราเชื่อว่านางผู้นั้นจะเข้าใจถึงความลำบากใจและเหตุผลที่เจ้ามีและนางไม่มีทางกล่าวโทษว่าเป็นความของเจ้าอย่างแน่นอน"
ฮ่องเต้ทรงพยายามโน้มน้าวเพื่อหวังให้แม่ทัพของพระองค์ยอมเปลี่ยนใจจากความคิดที่มีอยู่ในเวลานี้
"ทูลฝ่าบาท ในฐานะบุรุษอกสามศอก ชายชาติทหาร หากแม้ตนเองไม่สามารถปกป้องสตรีอันเป็นที่รักยิ่งให้ปลอดภัยได้ หม่อมฉันก็มิอาจจะแบกหน้าไปปกป้องผู้อื่นได้เช่นกัน และหากทรงไม่ยอมอนุญาตก็โปรดทรงเมตตาสั่งลงโทษประหารหม่อมฉันให้ตายตกไปพร้อมคนรักด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
แม่ทัพหนุ่มทูลวิงวอนขอความเมตตาจากฮ่องเต้อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และโดยไม่ว่าจะยังไงเขาก็จะไม่ยอมเปลี่ยนใจ กระทั่งที่ว่าเอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน
ฮ่องเต้ได้ทรงฟังคำพูดอันเด็ดเดี่ยวของแม่ทัพหนุ่ม ทำให้พระองค์ทรงลำบากพระทัยยิ่งนัก และทรงอดกริ้วในความดื้อดึงของเขาเสียไม่ได้
"หลงอี้หลิง! เจ้าช่างดื้อดึงเกินผู้ใดเสียจริง ๆ"
ฮ่องเต้ตรัสเสร็จ พระองค์ก็ทรงหมุนพระวรกายพร้อมกับสะบัดชายฉลองพระองค์อย่างข่มพระทัย และเสด็จกลับไปประทับลงบนพระที่นั่งดังเดิม และทอดพระเนตรมองมายังแม่ทัพหนุ่มอย่างทอดถอนพระทัยยิ่งนัก
"หลงอี้หลิงนะหลงอี้หลิง! เจ้าช่างทำให้เราลำบากใจ กลืนไม่เข้าคาย ไม่ออกเสียจริง เราจะจัดการกับเจ้าในเรื่องนี้ยังไงดีนะ"
แม่ทัพหนุ่มที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ เมื่อได้ฟังพระดำรัสตำหนิและพระอิริยาบถที่ทรงกังวลพระทัยในตัวเขาเช่นนั้น เจ้าตัวก็ได้หมอบกราบลงบนทันที
"พระอาญามิพ้นเกล้า ขอฝ่าบาททรงได้โปรดเมตตาหม่อมฉันและฟ่งหลันหลั่นด้วยเถิด หากแม้นบนโลกใบนี้ไร้ซึ่งนางแล้ว หม่อมฉันก็มิอาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ"
เซียงไค 盛開