เรือนหลงหลิง
หลงอี้หลิงกับฟ่งหลันหลั่นและจางเก่อ เดินทางกลับมาถึงเรือนหลงหลิงเรียบร้อย ยกเว้นเข่อลั่วได้แยกตัวออกไประหว่างทาง
เพลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เข่อลั่วก็กลับมาพร้อมกับท่านหมอคนเดิมที่เคยมารักษาอาการบาดเจ็บของฟ่งหลันหลั่นในคราวก่อน
ห้องพักส่วนตัวของฟ่งหลันหลั่น
ยามโหย่วล่วงเข้ายามซวี[1] ภายในห้องพักส่วนตัวของสตรีน้อย ท่านหมอกำลังตรวจและรักษาบาดแผลให้ผู้เจ็บอย่างตั้งใจ โดยมีแม่ทัพหนุ่มนั่งเฝ้าประกบอยู่ใกล้ ๆ มิยอมห่าง สายตาคมเฉียบจ้องอย่างไม่วางตา
[1]ยามโหย่ว (酉:yǒu) คือ 17.00 - 18.59 น.
ยามซวี (戌:xū) คือ 19.00 - 20.59 น.
พอหลงอี้หลิงได้เห็นว่าบาดแผลว่ามันลึกกว่าที่เขาคาดคิดไว้ สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มยิ่งดูบึ้งตึงและเผยความไม่พอใจมากยิ่งขึ้น มือที่วางอยู่เหนือเข่าทั้งสองข้างกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
ใช้เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ท่านหมอก็ช่วยทำแผลให้สตรีน้อยเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นเขาก็ขอตัวลากลับไปทันที โดยมีจางเก่อและเข่อลั่วตามออกไปส่ง ปล่อยให้นายน้อยของเขาได้อยู่ตามลำพังกับเจ้าของห้องนั้น
หลงอี้หลิงยื่นมือไปจับตรงข้อมือของสาวใช้ ปลายนิ้วหนาและสาก ลูบสัมผัสลงบนผิวขาวเนียนนุ่มละมุนนั้นอย่างทะนุถนอม
เขาไม่สบายกระนั้นหรือ อารมณ์ขึ้นลงสลับไปมาจนเราตามแทบไม่ทัน อย่างกับสตรีที่กำลังมีระดูอยู่
ในขณะที่สตรีน้อยจ้องหน้าเขาและคิดสงสัยในใจ แม่ทัพหนุ่มก็ดึงมือน้อยของนางเข้ามาหาตัวเขา นางจึงชักมือกลับทันที เพราะรู้สึกไม่คุ้นชินกับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ของอีกฝ่าย
แต่ทว่าหลงอี้หลิงก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ เขาตอบโต้สวนกลับด้วยความ ขึงขัง ด้วยการออกแรงดึงกระชากมือน้อยจนร่างบางอรชรถลาเข้าหาตัวเขาอย่างรวดเร็ว สายตาคมเฉียบจ้องมองใบหน้างามอย่างโกรธขึ้ง ราวกับออกคำสั่งให้อีกฝ่ายยอมจำนน
หลงอี้หลิงเอ่ยถามสตรีตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเข้มกับคำถามคำเดิม ซึ่งนางกำลังก้มนั่งมองผ้าพันแผลบนฝ่ามือของตนเพื่อต้องการหลบสายตาอันดุดันของเขา
"ฟ่งหลันหลั่น ก่อนที่พวกเราจะเดินทางไปจวนเยี่ยอ๋อง ข้าได้กำชับเจ้าไว้เยี่ยงไร"
ฟ่งหลันหลั่นรีบเงยขึ้น นางไม่ตอบคำถาม แต่กลับโต้แย้งสวนเขาอย่างทันควัน
"จะถามกี่ครั้งคำตอบก็เหมือนเดิม ว่าคนพวกนั้นเข้ามาหาเรื่องข้าเองก่อน"
สตรีน้อยตอบอย่างฉะฉาน แต่ก็ยังพยายามเลี่ยงที่จะไม่สบตากับ แม่ทัพหนุ่ม เพราะรู้ดีแก่ใจว่าตนก็มีส่วนผิดที่ไม่มีความอดทนอดกลั้นมากพอ จนปล่อยให้เกิดเรื่องราวบานปลายใหญ่โตขึ้นตามมา
แม่ทัพหนุ่มจ้องดวงหน้างามและถอนหายใจออกมาเบา ๆ เล็กน้อย อย่างอ่อนใจ
"ข้าจะทำเยี่ยงไรกับเจ้าดี หากไม่กลัวเจ็บ ก็จงรู้สึกกลัวตายเสียบ้างสิ แต่นี่กระไร เจ้ากลับพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงในเรื่องอันตรายทุกครั้งร่ำไป" ถ้อยคำตำหนิแกมดุเล็กน้อยของหลงอี้หลิง ผสมไปด้วยความโกรธและความห่วงใยระคนกัน
ด้วยเพราะแม่ทัพหนุ่มนิสัยจริงจังและเถรตรงมากเกินไป จึงมักทำตัวแข็งกระด้าง เย็นชา และไม่ค่อยเปิดเผยความคิดและอารมณ์ของตัวเองต่อผู้อื่นให้เห็นง่าย ๆ อีกทั้งยังพยายามซ่อนความรู้สึกแท้จริงเอาไว้ข้างในใจ
ฟ่งหลันหลั่นเองก็รู้ตัวดี เพราะตั้งแต่จำความได้ นางก็มีแต่เรื่องให้ต้องเจ็บตัวอยู่เสมอ
"ข้าก็ไม่ได้อยากทำตัวเองให้บาดเจ็บ แต่ดูเหมือนมันคงเป็นชะตากรรมที่ข้าไม่อาจฝืนหรือหลบเลี่ยงได้กระมัง ถ้าไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน สุดท้ายปัญหามันก็จะวิ่งเข้ามาหาอยู่ดี" สตรีน้อยกล่าวเหมือนกำลังตัดพ้อต่อโชคชะตาของตน
พ่อลูกสกุลเยี่ยคู่นั้นเป็นคนประเภทผูกใจเจ็บ เจ้าคิดเจ้าแค้น แม่ทัพหนุ่มจึงกังวลว่าอีกฝ่ายจะตามมาเอาเรื่องกับสตรีน้อยอาจจะถึงขั้นเอาชีวิต เพราะนางดันไปทำให้พวกเขาเสียหน้าแถมในงานสำคัญเช่นนั้น
"การที่เจ้าไปมีเรื่องกับคนตระกูลเยี่ยโดยไม่ยำเกรงต่ออำนาจของพวกเขาเยี่ยงนั้น ต่อจากนี้เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ห้ามออกไปข้างนอกตามลำพัง คนเดียวเด็ดขาด หากจำเป็นจะต้องไปไหนจริง ๆ ให้มาบอกข้าเสียก่อน"
โทนเสียงเข้มที่เปล่งออกมา ผนวกกับถ้อยคำอันหนักแน่นและสายตาจริงจังของแม่ทัพหนุ่ม ล้วนสื่อได้ถึงความกังวลใจที่มีต่อตัวนาง
"ข้าเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาผู้ต่ำต้อย แถมยังตัวคนเดียว ไม่มีญาติและครอบครัวให้ต้องห่วง อีกทั้งก็ข้าไม่ใช่คนสำคัญอะไรต่อใคร เยี่ยอ๋องและธิดาผู้นั้นของเขาคงไม่มาสนใจข้านักหรอก ท่านแม่ทัพอย่าได้กังวลจนเกินเหตุไปเลย"
นางกล่าวขึ้นอย่างไร้ความกังวล เพราะไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่ผู้อื่นพากันพยายามหลีกหนีและไม่อยากมีปัญหาด้วยมากที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ รองจากองค์ฮ่องเต้
แม่ทัพหนุ่มมีอายุและประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมามากกว่า จึงมองคนได้ขาดกว่าฟ่งหลันหลั่น อีกทั้งเล่ห์เหลี่ยมวังวนการแก่งแย่งอำนาจของคนในเมืองหลวง โดยเฉพาะพวกขุนนาง สตรีน้อยผู้นี้แทบไม่รู้อะไรเลย
"ทุกชีวิตย่อมมีคุณค่าและมีความสำคัญเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดา คนสูงศักดิ์ ขุนนาง ข้าราชการหรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ กระทั่งองค์ฮ่องเต้ ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินผืนนี้ และเจ้าก็เป็นคน..."
หลงอี้หลิงกล่าวยังไม่ทันจบประโยค จังหวะนั้นก็มีเสียงร้องเรียก สตรีน้อยดังขัดจังหวะเขาขึ้นมาเสียก่อน
"แม่นางฟ่ง! อีกประเดี๋ยวพวกข้าจะออกไปตรวจตราความสงบเรียบร้อยภายในตัวเมือง จึงได้แวะมาบอกท่านเอาไว้ก่อน เผื่อว่าท่านสนใจที่จะออกไปเที่ยวชมงานเทศกาลโคมไฟพร้อมกับพวกเรา ท่านจะได้เตรียมตัวให้พร้อม"
น้ำเสียงของเข่อลั่วดังลอดเข้ามาในห้องของสตรีน้อยชัดเจนทุกถ้อยคำไม่มีตกหล่น และกระซิบเบา ๆ ถามเพิ่มอีกหนึ่งประโยคอย่างระแวงอีกด้วย
"...แม่นางฟ่ง ว่าแต่นายน้อยยังไม่รู้เรื่องที่ท่านจะตามพวกข้าเข้าไปในเมืองใช่ไหม"
ฟ่งหลันหลั่นนั่งหน้าเจื่อนอยู่ข้างกายของแม่ทัพหนุ่ม แม้นางอยากจะตะโกนตอบเข่อลั่วกลับไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะสายตาพิฆาตของเขากำลังจับจ้องมองมาอย่างดุดัน
แม่ทัพหนุ่มได้ยินเนื้อความของประโยคที่ลูกน้องคนสนิทกำลังพูด นัดแนะกับสาวใช้ส่วนตัวของเขา ถึงแผนการที่ทั้งสองได้ตกลงกันไว้ แต่ไม่มีใครขออนุญาตหรือบอกกล่าวให้เขารู้เรื่องนี้มาก่อนเลยสักคน ทำให้เจ้าตัวถึงกับชักสีหน้าโกรธขึ้งไม่พอใจและทำตาดุให้กับสตรีน้อยข้างกายทันที
"โชคดีที่ข้ายังไม่กลับห้องพัก เลยทำให้ได้ล่วงรู้แผนการอันแยบยลของพวกเจ้าในครั้งนี้" แม่ทัพหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างใจเย็น แต่แววตาฉายแววดุดันราวกับสิงโตจ้องจะตะครุบเหยื่อตรงหน้า
เข่อลั่วสะดุ้งตัวโหยงด้วยความตกใจที่ได้ยินเสียงของแม่ทัพหนุ่มตอบกลับมา แทนที่จะเป็นสาวใช้เจ้าของห้อง เขาจึงรีบผลักประตูเข้าไปข้างในอย่างลนลาน พร้อมเผยสีหน้าตื่นตระหนกต่อหน้านายน้อยของตน ซึ่งอีกฝ่ายยังคงนั่งอยู่กับสตรีน้อย ยังเก้าอี้ตรงตำแหน่งของโต๊ะทรงกลมกลางห้องนั้น
เข่อลั่วยืนตัวสั่นเทาและเอ่ยถามนายน้อยของตนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก และก้มหน้าหลบสายตาโกรธขึ้งคู่นั้นอย่างกังวลใจ เพราะเขารู้ตัวว่าตัวเองทำผิดกฎและผิดคำสั่งของแม่ทัพหนุ่ม
"นะ นายน้อยท่านยังอยู่หรือขอรับ นี่ก็จะเข้ายามซวี[1]แล้ว ข้านึกว่าท่านกลับห้องพักไปแล้วเสียอีก"
แม่ทัพหนุ่มได้เห็นท่าทีประหม่าตกใจของทหารนายกองคนสนิท เขาจึงคำรามเสียงเข้ม ขู่ถามเขาออกไปอย่างดุดัน
"เข่อลั่ว! เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวกับข้าอย่างนั้นรึ!"
เข่อลั่วได้ฟังดังนั้น เขาก็ทรุดตัวเข่านั่งคุกเข่าลงกับพื้นตรงนั้นอย่างรวดเร็ว และยอมรับผิดไว้เพียงคนเดียว เพราะกลัวว่านายน้อยของตนจะโกรธหนักจนพานสั่งลงโทษฟ่งหลันหลั่นไปด้วย
"นะ นายน้อยเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าแต่เพียงผู้เดียว ข้าจะรับโทษทัณฑ์นั้นไว้เองขอรับ แต่แม่นางฟ่งไม่ได้ร่วมวางแผนหรือมีส่วนรู้เห็นอะไรทั้งนั้น คืนนี้ในเมืองหลวงมีการจัดงานเทศกาลรื่นเริง วันนี้เกิดเรื่องไม่ดีมากมายขึ้นที่จวนเยี่ยอ๋อง ข้าเลยอยากช่วยให้แม่นางฟ่งอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เลยมาชวนนางออกไปเที่ยวชมงานก็แค่นั้น"
นายกองร่างท้วมออกตัวปกป้องฟ่งหลันหลั่นอย่างหน้าตาใสซื่อ เพราะหากนายของตนรู้ว่าพวกเขาได้วางแผนร่วมกันมาล่วงหน้ามาหลายวันแล้ว มีหวังสาวใช้ผู้นี้คงจะถูกลงโทษห้ามออกนอกเรือนหลงหลิงไปอีกหลายวัน และก็คงจะอดเที่ยวงานคืนนี้ด้วยเป็นแน่
ฟ่งหลันหลั่นซาบซึ้งในน้ำใจของนางกองผู้นี้ แต่นางก็ไม่ใช่คนที่ขี้ขลาด กล้าทำก็ต้องกล้ารับ สตรีน้อยจ้องตาแม่ทัพหนุ่มด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวและกล่าวออกตัวรับผิดทั้งหมดไว้คนเดียวอย่างหนักแน่น ไม่ต่างจากการกระทำของเข่อลั่ว
"ท่านเข่อลั่วไม่ผิด ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของข้าเองคนเดียว เขาแค่ทำตามที่ข้าได้ร้องขอไปเท่านั้น หากท่านแม่ทัพจะสั่งลงโทษก็จงมาลงที่ข้าเพียงผู้เดียว"
หลงอี้หลิงได้เห็นถึงความรักในพวกพ้องของทั้งสองคนซึ่งต่างฝ่ายต่างก็แย่งกันรับผิดเพื่อปกป้องอีกฝ่าย หลังจากที่ฟังแล้ว เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน พลางหันไปเอ่ยกับสาวใช้ข้างกายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยไม่ได้มองหน้านาง
"ช่วงนี้ในเมืองหลวงกลางคืนอากาศค่อนข้างเย็น มิแน่คืนนี้อาจจะมีหิมะแรก ยังไงเจ้าก็สวมใส่อาภรณ์ให้มันมิดชิดและหยิบผ้าคลุมติดตัวไปด้วยล่ะ หากล้มป่วยไม่สบายกลับมาจะลำบากผู้อื่นเอาได้"
คำกล่าวอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยนของแม่ทัพหนุ่ม ทำให้ทั้งคู่ได้ฟังแล้วถึงกับแทบไม่เชื่อหูตัวเอง จนต้องหันไปมองหน้ากันอย่างประหลาดใจยิ่งนัก
สตรีน้อยดีใจเป็นที่สุด เพราะนี่เป็นครั้งแรกของนางที่จะได้มีโอกาสเที่ยวชมงานเทศกาลที่จัดขึ้นในเมืองหลวงสักครั้งในชีวิต
แม่ทัพหนุ่มเห็นท่าทีที่ดีใจจนออกหน้าออกตาของสตรีน้อย เขาไม่อยากถ่วงเวลาในการตระเตรียมของอีกฝ่าย เขาจึงลุกขึ้นและเดินตรงออกไปจากห้อง แต่ก้าวขายังไม่ทันพ้นขอบประตู เขาก็ชะงักไว้และกล่าวเสริมขึ้นอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
"เข่อลั่ว! กลับมาจากตรวจตราเวรยามเสร็จเมื่อใด เจ้าจงไปรับโทษโบยหลัง 50 ไม้กระบองกับนายทหารผู้คุมกฎที่จวนด้วย" น้ำเสียงเข้ม ดุดันของผู้เป็นนายน้อย ได้ออกคำสั่งต่อลูกน้องคนสนิทอย่างจริงจัง
"ขอรับนายน้อย" เข่อลั่วรับคำด้วยน้ำเสียงกร่อย ฟังดูหดหู่เศร้าสร้อยอย่างยอมจำนน
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ฟ่งหลันหลั่นก็ได้ติดตามจางเก่อและเข่อลั่ว ออกมาเดินเที่ยวชมงานเทศกาลในเมืองหลวง แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทั้งลูกน้องคนสนิททั้งสองพากันแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครกล้าถามออกมา นั่นคือนายน้อยของพวกเขา ผู้ที่ไม่เคยสนใจในเทศกาลงานใด ๆ เลยสักครั้ง แต่วันนี้เขากลับตามออกมาด้วย แถมยังเดินประกบสาวใช้ส่วนตัวไม่ยอมให้คลาดสายตาหรือห่างกายไปไหนแม้เพียงครึ่งก้าว
ประหนึ่งว่า นางคือไข่ในหินของเขาก็ไม่ปาน
นายกองร่างท้วมทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหว จึงเอ่ยถามสหายสนิทซึ่งเดินอยู่ข้างกาย สายตาก็จ้องมองไปยังคู่หนุ่มสาว ซึ่งกำลังเดินอยู่ทางด้านหน้าตนอย่างสนอกสนใจ
"จางเก่อ...เจ้าว่ามันน่าแปลกหรือไม่ ?"
จางเก่อผู้ที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของผู้ใด รู้สึกเบื่อหน่ายในความสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านของเข่อลั่ว เขาจึงย้อนถามสหายอย่างกวนอารมณ์ ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ดีว่าสหายนั้นหมายถึงเรื่องอันใด
"เจ้าหมายถึงบรรยากาศในงานเทศกาลในค่ำคืนนี้ หรือหมายถึงสิ่งใดกันล่ะ"
เข่อลั่วหันไปมองค้อนให้สหายและเอ่ยสวนกลับไปอย่างหงุดหงิดใจ
"จางเก่อ! เจ้าไม่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเลย พวกเราทั้งกองพันต่างก็รู้และเห็นกันอย่างชัดเจน ว่าช่วงสองสามเดือนมานี้นายน้อยดูผิดปกติ เขาดูไม่เป็นตัวของตัวเองเอามาก ๆ ตั้งแต่ที่ได้พบกับแม่นางฟ่งผู้นี้"
พอพูดจบเข่อลั่วก็หันกลับมาจ้องมองนายของตนจากทางด้านหลังด้วยความสงสัยและพินิจพิจารณา
จางเก่อจึงย้อนถามสหายแกมขู่กลับไปอย่างระอาและเหนื่อยใจยิ่งนัก ซึ่งทั้ง ๆ ที่เข่อลั่วก็เจ็บตัวมาตลอดเพราะนิสัยชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพักในความขี้สงสัยและอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเจ้านายเกินหน้าที่เลยแม้แต่น้อย
"เข่อลั่ว! เจ้าอยากถูกโบยหลังเพิ่มอีกสัก 200 ไม้กระบองงั้นหรือ"
เข่อลั่วได้ฟังก็หันกลับมามองสหายอีกครั้งและทำหน้าตาเจ็บปวดเมื่อนึกถึงภาพตอนที่เขาถูกนายทหารรักษากฎโบยหลังด้วยไม้กระบอง พลันรีบตอบสวนกลับอย่างฉับไว
"เจ้าถามแปลก ถูกโบยหลังเจ็บจะตาย ใครอยากจะโดนลงโทษกันเล่า พูดขึ้นมาแล้วข้ายังรู้สึกเจ็บปวดแปลบและแผลยังแผลเก่าก็ยังไม่หายดีเลย"
เขากล่าวเบา ๆ เพราะกลัวว่าคนทางด้านหน้าจะได้ยิน พลางยกมือมาลูบแผ่นหลังอันหนาของตัวเอง
"ถ้าเช่นนั้นก็จงทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีเถิด อย่าได้คิดสงสัยในสิ่งใดที่ไม่ใช่เรื่องของตัวให้มันมากนัก หากนายน้อยได้ยินคำพูดเหล่านั้นของเจ้า แผ่นหลังอันหน้าซึ่งเต็มไปด้วยเนื้อหนังและไขมันเหล่านั้น คงจะถูกเพิ่มจำนวนไม้กระบองอย่างแน่นอน"
จางเก่อกล่าวเตือนเข่อลั่วด้วยความหวังดี และเอื้อมมือไปตบลงบ่าไหล่ของสหายเบา ๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปหาแม่ทัพหนุ่มทางด้านหน้า
เข่อลั่วเองก็ไม่รอช้ารีบวิ่งต้วมเตี้ยมตามหลังไปสมทบกับทุกคนทันที ทว่า คำเตือนจากสหายสนิทก็มิได้แทรกซึมเข้าโสตประสาทหูของเขาเลยสักนิด
[1] ยามซวี (戌:xū) คือ 19.00 - 20.59 น.
...
เซียงไค 盛開