บนท้องถนนหลักใจกลางเมืองหลวงเต็มไปด้วยผู้คนที่พาครอบครัว คนรัก ญาติสนิทมิตรสหาย ออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลกันอย่างคับคั่งหนาแน่น
ฟ่งหลันหลั่นรู้สึกตื่นตากับค่ำคืนอันสวยงามนี้เป็นยิ่งนัก ตลอดเส้นทางที่พวกเขาเดินผ่าน โคมไฟสวยงามรูปลักษณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปสัตว์ หรือบ้านเรือน หรือรูปแบบอื่น ๆ ล้วนถูกแขวนอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน และตามแผงร้านค้ามากมายบนถนนขนาบสองข้างทาง ก็เต็มไปด้วยสินค้าเหล่านี้
พ่อค้าขายของเล่นปาหี่และพ่อค้าขายพุทราเชื่อมเดินสวนกันไปมาขวักไขว่ ทุกคนต่างส่งเสียงเรียกร้องลูกเร่งทำยอดขายกันอย่างขยันขันแข็งเพราะวันเทศกาลจะเป็นวันที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่พวกเขา
ร้านหาบเร่ขนมหวาน บะหมี่ร้อน เองก็ไม่แพ้กัน พวกเขาขยันเร่งค้าขายในช่วงโอกาสสำคัญเช่นนี้แม่จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่มีเวลาให้หยุดพัก เพราะต้องทำงานหาเงินเลี้ยงปากท้องตนเองและครอบครัว
แม้แต่เหล่าขอทานคนเร่ร่อนก็พลอยได้อิ่มท้องไปด้วยจากเทศกาลนี้ เพราะยังมีคนใจบุญมีจิตเมตตาแบ่งปันอาหารให้คนยากไร้เช่นกัน
ฟ่งหลันหลั่นวิ่งไปดูแผงนั้นทีแผงนี้ทีอย่างตื่นเต้นดีใจ ราวกับเด็กน้อยผู้ซึ่งได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองให้ออกนอกเรือนครั้งแรกกระนั้นแหละ
หลงอี้หลิงเดินตามหลังสตรีน้อยต้อย ๆ สายตาจับจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา โดยมีจางเก่อและเข่อลั่ว ยืนทิ้งระยะห่างเล็กน้อยอยู่ทางด้านหลังของพวกเขา
ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง เคร่งเครียดและดุดัน บัดนี้ได้เผยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนออกมาบนดวงหน้าอันหล่อเหลาอย่างไม่รู้ตัว
อาภรณ์สีครามกับผ้าพันคอเฟอร์ขนมิงค์ฟูฟ่องสีกรมท่าที่ห่อหุ้มให้ความอบอุ่นแก่ลำคอของแม่ทัพหนุ่ม ดูขับผิวพรรณและใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาให้ดูเด่นและสะดุดตามากยิ่งขึ้น
ทหารนายกองคนสนิททั้งสองของแม่ทัพหนุ่มเห็นสีหน้าของนายน้อยเต็มไปด้วยความสุขซึ่งพวกเขาแทบไม่เคยเห็นรอยยิ้มนี้จากผู้เป็นนายมานานมากแล้ว ทั้งคู่จึงมีความคิดเห็นตรงกันว่าไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ ดังนั้นจึงพากันเดินแยกตัวไปตรวจตราความสงบเรียบร้อยของงาน
ช่วงเวลานี้ฟ่งหลันหลั่นมีความสุขมาก ด้วยความตื่นเต้นและความ สนอกสนใจกับสิ่งใหม่ ๆ แปลกตาตรงหน้าที่ไม่เคยพบเจอ ทำให้นางลืมตัว เผลอดึงแขนหลงอี้หลิงให้เดินตามติดตัวเองไปตลอดเส้นทางที่มีการจัดงานเทศกาล
สตรีน้อยชวนแม่ทัพหนุ่มพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน หลงอี้หลิงก็ยิ้มตอบรับให้นางอย่างอ่อนโยน สายตาอบอวลไปด้วยความรู้สึกดี ๆ ซึ่งแสดงออกมาโดยไม่ตัว จนทั้งคู่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงกลางสะพานโค้งแห่งหนึ่ง
ซึ่งด้านล่างเป็นคลองเส้นเล็ก ๆ ที่มีแม่น้ำไหลผ่านและมีเรือนำพานักท่องเที่ยวไปลอยประทีปอยู่กลางสายน้ำสองสามลำ
หางตาของฟ่งหลันหลั่นเหลือบมองไปเห็นชายชราขอทานคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ตรงหัวสะพานของอีกฝั่ง ภาพความทรงจำเกี่ยวกับตาเฒ่าฟ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว รอยยิ้มสุขใจบนดวงหน้างามก็จางหายไป พลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าหมองเกิดขึ้นมาแทนที่
หลงอี้หลิงสังเกตเห็นได้ถึงความผิดปกตินั้น จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างห่วงใย
"มีอะไรหรือเปล่า"
"เปล่า แค่พอเห็นชายชราขอทานผู้นั้น มันทำให้ข้าอดคิดถึงตาเฒ่าที่จากไปของข้าไม่ได้ ไม่รู้ป่านนี้ดวงวิญญาณของเขาเป็นยังไงบ้าง จะสุขสบายดีหรือจะลำบากเหมือนตอนที่มีชีวิตอยู่กับข้า"
สตรีน้อยตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเศร้า พลางละสายตาจากชายชราขอทาน ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าซึ่งราตรีนี้พระจันทร์เต็มดวงเปล่งประกายทอแสงสีทองอร่ามงามตายิ่งนัก
แม่ทัพหนุ่มไม่สามารถย้อนกลับไปช่วยหรือแก้ไขอดีตที่ผ่านมาของสตรีผู้นี้ได้ และไม่รู้ว่านางกับตาเฒ่าผู้นั้นได้ผ่านเรื่องราวอันใดร่วมกันมาบ้าง แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้คือทั้งสองคนรักและผูกพันกันมาก ทว่าเขามีบางสิ่งบางอย่างที่ติดใจอยู่และยังหาคำตอบเกี่ยวกับอดีตของสองคนนี้
"การเกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกหนีพ้น อย่าได้ทำหน้าเศร้าเช่นนั้นไปเลย ข้ามั่นใจว่าท่านตาของเจ้า คงกำลังเฝ้ามองเจ้าอยู่ จากที่ไหนสักแห่งหรืออาจจะบนท้องนภาอันกว้างใหญ่นั้นแน่นอน" น้ำเสียงเขาเรื่อยเฉื่อยหากแต่นุ่มนวลเสนาะหู
ฟ่งหลันหลั่นรู้ดีว่าแม่ทัพหนุ่มกำลังพยายามปลอบใจ และมันก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะถ้อยคำของเขาก็ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ คนเดียวบนโลกใบนี้อีกต่อไป
สตรีน้อยหันกลับมาจ้องหน้าสบตากับแม่ทัพหนุ่มอีกครั้ง นางโปรยยิ้มหวานให้เขาเล็กน้อย และพลางตอบด้วยน้ำเสียง
"ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ปลอบใจ ข้ารู้ดีว่ามันคือสัจธรรมของชีวิต แต่เขาก็ไม่น่าจากข้าไปเร็วขนาดนั้น ร่ำลากันสักคำก็ยังไม่มี แถมเขายังไม่ได้ดื่มเหล้ามงคลของข้า เช่นนี้แล้วหากข้าออกเรือน ใครกันที่จะส่งตัวข้าเข้าห้องหอ...หรือว่าท่านแม่ทัพจะเป็นผู้ทำหน้าที่นั้นแทนตาเฒ่าของข้า"
น้ำเสียงอ่อนนุ่มเกือบเข้าขั้นปะเหลาะเอาใจแกมหยอกล้อของสตรีน้อย เพื่อหวังจะเปลี่ยนบรรยากาศชวนหดหู่ใจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะนางไม่ชอบทำตัวอ่อนแอให้ผู้ใดเห็นได้ง่าย ๆ นั่นเอง
แต่คนที่คิดจริงจังกลับดูเหมือนจะเป็นหลงอี้หลิง เขารีบปฏิเสธเสียงแข็งอย่างขึงขังทันควัน เพราะหน้าที่นี้เขามิยอมตอบรับอย่างแน่นอน
"ข้ามิใช่ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายไหน คงทำหน้าที่นั้นแทนท่านตาของเจ้าไม่ได้หรอก และหากเจ้าลืมไป ข้าจะย้ำอีกครั้ง เจ้าคือคนของข้า! ดังนั้นเรื่องที่จะให้ส่งตัวเจ้าเข้าร่วมหอโหมโรงกับบุรุษอื่น เจ้าเลิกคิดไปได้เลย"
ฟ่งหลันหลั่นได้ฟังคำกล่าวด้วยท่าทีจริงจังนั้นของแม่ทัพหนุ่ม ทำให้นางรู้สึกขบขัน
ปุ ปุ๊ด
พลันรีบยกสองมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง แต่ก็สุดจะกลั้น จึงหัวเราะร่าเสียงดังออกมา
"ฮะฮ่าฮ่า!...นี่ท่านคิดจริงจังไปถึงไหนเนี่ย ไม่ต้องใส่ใจหรอก ข้าก็แค่พูดล้อเล่นเท่านั้นเอง"
ถึงจะบอกแม่ทัพหนุ่มออกไปเช่นนั้น แต่ดวงหน้างามกลับแดงก่ำระเรื่อขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน จนร้อนผ่าวไปทั่วไปหน้าของตน นางจึงเอื้อมมือไปตบไหล่ของอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนรู้สึกที่มีอยู่ในขณะนี้
"ผู้ใดล้อเล่นกับเจ้ากัน ข้ากล่าวสิ่งใดออกไปก็หมายความตามคำกล่าวนั้น ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้"
น้ำเสียงแฝงยืนกรานห้ามโต้แย้งใด ๆ ใบหน้าของเขาในตอนนี้ เดาอารมณ์ไม่ออกเลยว่ากำลังรู้สึกเช่นไรอยู่
สตรีน้อยหุบรอยยิ้มสดใสลงเล็กน้อย ดวงตากลมโตยังคงมองหน้าแม่ทัพหนุ่ม
"ฟังนะ! ข้าเพิ่งจะเลยวัยปักปิ่นมาได้ไม่นาน แม้ใคร ๆ จะบอกว่าถึงเวลาต้องออกเรือนแล้ว แต่ข้าเป็นพวกรักอิสระ และยังมีเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่องที่จะต้องทำให้สำเร็จ ตอนนี้ข้าไม่มีความคิดที่จะเอาชีวิตของตัวเองไปผูกมัดกับผู้ใด อีกอย่างวัน ๆ ข้าก็เจอแต่หน้าท่านกับเหล่าทหารของท่าน แล้วบุรุษที่ไหนจะมาชอบพอหรือมาสู่ขอข้าได้กันเล่า"
ในจังหวะที่ฟ่งหลันหลั่นกำลังกล่าวประโยคนั้นออกมา ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้งนาง จู่ ๆ เสียงเรียกอย่างคุ้นหูจากบุรุษผู้หนึ่งก็ทักทายดังขึ้นมาจากตรงด้านหน้าหัวสะพาน เยื้อง ๆ จากจุดที่ชายชราขอทานนั่งอยู่
"แม่นางฟ่ง ทางนี้!"
ฟ่งหลันหลั่นกับแม่ทัพหนุ่มหันไปมองตามเสียงอย่างแปลกใจ ใครกันส่งเสียงทักทายนางอย่างสนิทสนมเช่นนี้
"หยวนจูวเย่งั้นหรือ"
แม่ทัพหนุ่มกล่าวชื่อของบุรุษผู้นั้นขึ้นอย่างลอย ๆ สีหน้าดูไม่สบอารมณ์
"คุณชายหยวน" สตรีน้อยส่งยิ้มและโบกมือหย็อย ๆ ตอบอย่างเป็นมิตร
บัณฑิตหนุ่มรูปงามเห็นสตรีน้อยส่งเสียงทักทายตอบรับ เขาก็รีบก้าวเท้ายาวฉับ ๆ เดินตรงดิ่งมาหานางทันที
หยวนจูวเย่โปรยเสน่ห์ยิ้มหวานให้กับสตรีน้อยและกล่าวร่ายยาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล วาจาอ่อนหวาน
"โชคดีจังที่เจอแม่นางฟ่งที่นี่ ก่อนหน้านี้ข้าไปหาท่านที่จวนแม่ทัพ กะว่าจะชวนออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลโคมไฟด้วยกัน แต่ทหารยามบอกว่าท่านพักผ่อนไปเรียบร้อยแล้ว"
สายตาที่เขามองอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำหัวใจที่ได้เจอกับนางอีกครั้งในค่ำคืนนี้ และก็ไม่ลืมที่จะหันไปกล่าวทักทายแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งเจ้าตัวกำลังยืนทำหน้าตาขมึงทึงอยู่ข้างกายสาวใช้
"ท่านแม่ทัพ" หยวนจูวเย่พยักหน้าทักทายแม่ทัพหนุ่ม แบบไม่เป็นพิธีการตามมารยาท
หลงอี้หลิงเองก็พยักหน้าตอบรับตามมารยาท ตอนนี้ไม่ใช่เวลาราชการดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดยึดถือกฎปฏิบัตินัก
หยวนจูวเย่เห็นสีหน้าบึ้งตึงนั้นของอีกฝ่าย ทำให้เขาอดที่จะยั่วโมโหบุรุษผู้นี้ไม่ได้
"ช่างน่าประหลาดใจนัก ที่ได้เห็นท่านแม่ทัพหลงมาเดินเที่ยวงานเทศกาลแบบนี้ด้วย เพราะทุกปีท่านมักจะไปยืนประจำตำแหน่งอยู่ตรงหอบังคับการตรวจตราเมืองเพราะคอยดูแลความสงบเรียบร้อย ดูทว่าปีนี้เมืองหลวงคงจะมีเรื่องให้น่าสนใจเป็นอย่างแน่นอน จริงไหมท่าน"
ที่จริงแล้วหยวนจูวเย่เป็นบัณฑิตหนุ่มที่มากความสามารถผู้หนึ่งแห่งเมืองหลวง และหากเข้ารับราชการเป็นขุนนางในราชสำนัก เขาก็คงจะมีตำแหน่งที่สูงไม่ใช่น้อย แถมรูปลักษณ์ก็งดงามไม่แพ้หลงอี้หลิง ทั้งสองจึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน และยิ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งคู่กำลังชื่นชมในบุปผาแรกแย้มดอกเดียวกันเสียแล้ว
"มิใช่เรื่องแปลกอันใด คนของข้าอยู่ที่ใด ข้าย่อมอยู่ที่นั่นเป็นเรื่องธรรมดา" วาจานี้แฝงน้ำเสียงหึงหวงจนออกนอกหน้า
คำตอบราบเรียบแต่โจ่งแจ้งชัดเจน แฝงซึ่งความหนักแน่นจริงจังในถ้อยคำนี้ของหลงอี้หลิง ทำให้คนฟังอดเข้าใจและคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
'มารความสุขเสียจริง'
อาการหึงหวงของแม่ทัพหนุ่มได้ถูกแสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างไม่รู้ตัว
ฟ่งหลันหลั่นเห็นบุรุษรูปงามทั้งสองตรงหน้าตน กำลังยืนจ้องหน้าและเขม่นสายตาขึงขังใส่กันราวกับเสือพบสิงห์ ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะทะเลาะกันและอาจพานทำให้เสียบรรยากาศค่ำคืนนี้ไป
นางจึงรีบคิดหาวิธีตัดบทสนทนาของทั้งคู่ ด้วยการเดินไปคั่นกลางระหว่างพวกเขา และผลักหน้าอกทั้งสองคนพร้อมกันเบา ๆ เพื่อแยกออกจากกัน
"เอาละ ๆ พวกท่านเลิกจ้องหน้ากันอย่างกับเสือปะทะสิงห์ได้แล้ว นี่ถ้าแม่นางมู่ อยู่ที่นี่ด้วย ข้าก็คงจะรู้สึกดีกว่านี้"
จังหวะนั้นเองฟ่งหลันหลั่นก็เหลือบมองไปเห็นมู่เซียวหลานพร้อมกับสาวใช้คนสนิทกำลังเดินอยู่ริมคลองของอีกฟากฝั่งพอดี ราวกับนัดแนะกันไว้ก่อนช่างเหมาะเจาะมาก
"โย่! แม่นางมู่ทางนี้"
สตรีน้อยชูมือโบกไหว ๆ ไปมาและส่งเสียงร้องเรียกสตรีผู้โฉมงามให้เดินมารวมกลุ่มกับพวกตน
เมื่อมู่เซียวหลานได้เดินมารวมกลุ่ม ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวทักทายผู้ใด สาวใช้คนสนิทของนางก็พูดทักทายฟ่งหลันหลั่นขึ้นด้วยความดีใจ
"แม่นางฟ่ง บังเอิญจังที่พวกเราได้เจอท่านที่นี่ ไม่เช่นนั้นนายหญิงของข้าคงจะต้องเดินเที่ยวงานเทศกาลอย่างเงียบเหงาคนเดียวเป็นแน่"
มู่เซียวหลานหันไปมองสาวใช้และปรามนางด้วยสายตาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับหาทั้งสามคน นางได้ย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้เกียรติต่อบุรุษทั้งสอง และกล่าวทักทายอย่างมีมารยาท วาจาอ่อนหวานและถ่อมตน
"หากว่าเข้ามารบกวนเวลาของคุณชายทั้งสอง ต้องขออภัย"
บุรุษหนุ่มทั้งสองพยักหน้าตอบรับตามมารยาท แต่ไม่มีกล่าวสิ่งใดกลับ มู่เซียวหลานก็หันไปทักทายพูดคุยกับฟ่งหลันหลั่น ซึ่งเจ้าตัวกำลังยืนยิ้มแป้นและแสดงสีหน้าโล่งใจเป็นพิเศษ แถมยังยกมือขึ้นมาป้องปากแอบกระซิบนินทาคนอย่างซึ่งหน้า
"แม่นางมู่ ท่านมาช่วยข้าได้ทันเวลาพอดีเลย มิเช่นนั้นตรงนี้คงมีคนเปิดศึกใหญ่ปะทะปะมือกันเป็นแน่"
มู่เซียวหลานทำหน้าตางงและสงสัย นางไม่เข้าใจในคำกล่าวนั้นของฟ่งหลันหลั่น แต่พอเบนสายตาไปทางบุรุษทั้งสอง และเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของพวกเขา นางจึงคาดเดาสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้ทันที พลันเผยรอยยิ้มขบขันให้กับสตรีน้อยตรงหน้า
"เนื้อหอมเสียจริง ถ้าคนเมืองจิ่วมาเห็นเจ้าตอนนี้ พวกเขาคงแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าลิงน้อยแห่งเมืองจิ่ว จะมีบุรุษรูปงามถึงสองคนประกบข้างกายมิยอมห่างเยี่ยงนี้"
ฟ่งหลันหลั่นถูกมู่เซียวหลานแซวหนักต่อหน้าบุรุษทั้งสอง แถมพวกเขายังหัวเราะชอบใจอีก ทำให้สตรีน้อยขวยเขินจนเสียอาการ
เพื่อแก้ไขสถานการณ์นางจึงได้ถือโอกาสนั้นชวนทุกคนไปปล่อยโคมไฟด้วยกัน เพราะพวกเขาล้วนแต่เป็นสหายที่นางได้พานพบหลังจากที่สูญเสียตาเฒ่าฝูไปนั่นเอง
.....
เซียงไค 盛開