ตอนที่ 62 จอมรกต
ภิกษุกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “เนิ่นนานมาแล้วหลายทศวรรษที่อาตมาได้ท่องออกไปทั่วสารทิศเพื่อรวบรวมเจตแห่งดาบ ท้ายที่สุดจึงค้นพบกับสองคำตอบ”
“สิ่งนี้มันขึ้นอยู่กับความคิดเห็นส่วนบุคคล ทว่าอย่างไรเสียท่านก็เอ่ยออกมาแล้ว เชิญกล่าวคำตอบ” กู่ฉิงซานไม่คิดเยิ่นเย้อ
ภิกษุโบกมือและกล่าว “ประสกไม่สมควรจะดูถูกคำตอบที่อาตมาได้มา อาตมาใช้เวลาถึงหลายสิบปีในการเฝ้ามองแก่นแท้แห่งผู้ฝึกดาบจึงจะได้มันมา”
“เช่นนั้นคงต้องขอฟังรายละเอียด” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ภิกษุส่ายศีรษะและกล่าว “ทฤษฎีแรกก็คือ ไม่ว่าเบื้องหน้าจะเป็นผู้ใด ก็จำต้องตัดสะบั้นด้วยคมดาบ ตัดสะบั้นจนกว่ามันจะแยกสวรรค์และโลกออกจากกัน ตัดสะบั้นจนกว่าทุกสรรพสิ่งอย่างจะประจักษ์และเชื่อฟัง”
“ทฤษฎีที่สองก็คือ การฝึกยุทธนั้นเปรียบดั่งเรือที่ไหลทวนกระแสน้ำ ทักษะดาบก็เช่นกัน หากใครก็ตามที่กีดขวางวิถีดาบของฉัน ไม่ชีวิตฉันก็ชีวิตของอีกฝ่ายที่ต้องจบสิ้นลง ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นสรวงสวรรค์ก็ตามที”
กูฉิงซานตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยแทรกใดๆ
ภิกษุเอ่ยต่อ “นี่คือสองคำตอบ มันคือความหมายที่เที่ยงแท้ของผู้ฝึกดาบ แล้วประสกเล่าคิดเห็นเช่นไร? โปรดเอ่ยกล่าวอธิบายถึงคำตอบของประสกด้วย”
หลังจากที่คิดอย่างจริงจังและรอบคอบ กู่ฉิงซานก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ดาบมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับทุกสรรพสิ่ง ทว่าแท้จริงแล้วมันเกี่ยวข้องกับเพียงสิ่งเดียว นั่นคือจิตใจของผู้ใช้”
ภิกษุประหลาดใจเล็กน้อยและเอ่ย “เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนี้?”
กู่ฉิงซาน “จิตที่ลังเล จะทำให้คมดาบทื่อด้าน มิอาจสะบั้นได้แม้กระทั่งฟืนไม้ ทว่าจิตที่เป็นอิสระ คมดาบก็จะไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง สะบั้นได้แม้กระทั่งเหล็กกล้า”
ภิกษุส่ายหัว “ที่ประสกกล่าวยังไม่ตรงประเด็น โปรดตอบคำถามของอาตมาโดยตรง”
‘ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเอ่ยถึงใจความสำคัญของมันจริงๆซะแล้ว’ กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ รวบรวมสมาธิและผ่อนคลายลง
“ความหมายที่ฉันกำลังจะบอกก็คือ ท่านต้องฆ่าสังหารผู้คน โดยไม่จำเป็นต้องคิดสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ให้มันมากมายนัก”
“หืม?” ภิกษุฮัมเสียงเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยตอบกลับไป
กู่ฉิงซาน “หากท่านต้องการที่จะช่วยเหลือทุกสรรพชีวิต ท่านก็จำต้องใช้คมดาบฆ่าสังหารทุกสรรพชีวิตเช่นกัน หากมัวแต่สนใจคิดแต่ว่าสิ่งนั้นทำได้ สิ่งนั้นมิอาจทำได้ แทนที่จะดี มันอาจส่งผลร้ายในทางตรงกันข้ามเสียมากกว่า”
ภิกษุกลั่นกรองและตั้งใจฟังอย่างลึกซึ้ง
กู่ฉิงซานกล่าวเสริม “เมื่อถึงช่วงเวลาที่ท่านต้องใช้ดาบจริงๆ นั่นหมายถึงมันจะต้องเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ผิดพลั้งเพียงหนึ่ง นั่นหมายถึงการถูกสาปส่งชั่วนิรันดร์ หากพิจารณาดูแล้ว ยามเมื่อจำต้องใช้ออกด้วยคมดาบ พันหมื่นกฎเกณฑ์ พันหมื่นเหตุผล สมควรโยนทิ้งไว้ข้างหลังอย่าให้มันมารบกวน การตัดสินของหัวใจตนเป็นอันขาด”
“แล้วการตัดสินของหัวใจตนของประสกคือสิ่งใด”
กู่ฉิงซาน “ฆ่าสังหารทุกสรรพสิ่งเบื้องหน้า”
“อมิตาภพุทธะ ในอนาคตอันใกล้ การกระทำของประสกจะต้องก่อให้เกิดบาปมหันต์อันร้ายแรงเป็นแน่แท้” ภิกษุประกบฝ่ามือขึ้นพนม
“ทุกผู้คนที่กุมดาบ ต่างก็ใช้มันเพื่อห้ำหั่นกันทั้งสิ้น หากท่านยังคงยืนกรานที่จะกล่าวว่าการฆ่าสังหารศัตรูเป็นสิ่งผิดบาป นี่มันจะไม่ดูเสแสร้งย้อนแย้งไปหน่อยหรือ?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างอิดโรย “ในทุกคมดาบที่ผู้คนฟาดฟัน มันแฝงไว้ซึ่งความภาคภูมิ บ้างกตัญญู บ้างเศร้าโศก บ้างโกรธแค้น นี่มันคือชีวิตของมนุษย์ในทางโลก หากมัวแต่เฝ้ากังวลอยู่แต่กับความผิดบาป ก็เปรียบดั่งการตรีตรวนเจตจำนงแห่งดาบเอาไว้ เช่นนั้นจะนับว่าเป็นผู้ฝึกดาบได้อย่างไร?”
พอได้ฟัง ภิกษุก็เงียบไป ไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อยู่ครู่หนึ่ง
เบื้องนอกม้วนภาพ มุมปากของหญิงรับใช้ในวังยกสูงขึ้นทันที
เธอเอื้อมมือออกไป พร้อมกันหมอกหนาที่ปรากฏขึ้น และล้วงหยิบยันต์สื่อสารออกมา
“ประโยคที่เขากล่าวเหล่านี้นับว่าไม่เลวร้ายเลย ตอนแรกภิกษุกล่าวสั่งสอนเขา แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าถูกเขาสอนสั่งกลับ ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเขาจะรับมือกับ ‘มัน’ได้อย่างไร”
กล่าวจบ หญิงรับใช้ในวังก็ถ่ายเทพลังวิญญาณไปยังฝ่ามือ ยันต์สื่อสารพลันลุกพรึบไปด้วยเปลวไฟ ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปยังสุดขอบฟ้า
หญิงรับใช้ในวังเหลือบมองตามยันต์สื่อสาร และกล่าวเสียงกระซิบ “เด็กคนนี้ดูเหมือนจะฆ่าเผ่ามารมาไม่น้อย แต่แท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คงได้แต่เฝ้ารอให้เขาเลือกรายการทดสอบแล้วผ่านมันให้ได้เสียก่อน ค่อยมาว่ากันใหม่”
เธอจีบมือใช้ออกด้วยวิชาลับ และร่างของกู่ฉิงซานจู่ๆ ก็โผล่พรวดออกมาจากม้วนภาพในทันที
“นี่หมายความว่าฉันผ่านแล้วใช่ไหม?” กู่ฉิงซานถาม
หญิงรับใช้ “อืม…ก็คงผ่านล่ะนะ”
“รอดไปที ภิกษุรูปนั้นดูเหมือนจะค่อนข้างเชื่อมั่นในวิถีตน ถ้าหากฉันยังคงพูดต่อไป เกรงว่าก่อนจะผ่านการทดสอบ เขาคงจะอกแตกตายไปเสียก่อน” กู่ฉิงซานพยักหน้า
เมื่อหญิงรับใช้ได้ยินคำนั้นจู่ๆ เธอก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีฉันได้เตรียมไว้อีกหลายการทดสอบ แต่ตอนนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะให้คุณได้รองรับรายการทดสอบดาบโดยตรงเลย”
กู่ฉิงซานดูจะมีความสุขขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ขอบคุณมาก!”
เขาไม่กล้าเอ่ยมากกว่านี้แม้หนึ่งคำ
หญิงรับใช้ยิ้มและเดินไปยังเบื้องหน้าของจอมรกตก่อนจะทาบมือของเธอลง “ในหน้าจอนี้ มีสุดยอดค่ายกลดาบสมัยโบราณหลบซ่อนอยู่”
“สุดยอดค่ายกลดาบสมัยโบราณ!?” กู่ฉิงซานผงะ ท่าทีเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ในชีวิตก่อนหน้า เขาไม่เคยมายังอาณาจักรร้อยบุปผา เรื่องราวและการกระทำต่างๆของนางเซียนไป่ฮั่ว เขาก็เคยได้ยินได้ฟังมาจากคนอื่นพูดถึงในภายหลังเท่านั้น ทว่ากลับไม่เคยได้ยินเรื่องค่ายกลดาบสมัยบรรพกาลนี้มาก่อนเลย
ยุคนั้นเป็นยุคสมัยของราชันวิญญาณ ตามบันทึกที่ขาดๆ หายๆ กล่าวกันว่าพลังอำนาจของราชันวิญญาณมิใช่สิ่งผู้ฝึกยุทธจะสามารถต่อกรได้ ดังนั้นของทุกสิ่งที่ตกทอดหลงเหลือมาจากยุคบรรพกาลจึงเต็มไปด้วยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่!
มันเป็นยุคของความแข็งแกร่งอันหาที่เปรียบมิได้ ทว่าเนื่องด้วยเกิดการทำลายล้างของยุคสมัยขึ้น ทำให้สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ได้หายสาบสูญไป และยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้
ในระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่หนึ่งปี ราชันวิญญาณทั้งหมดก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
มันราวกับค่ำคืนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ถูกตัดออกไป
จนกระทั่งในห้าปีต่อมา หลังจากช่วงที่เกมเริ่ม ก็พลันเกิดเรื่องอันน่าตกตะลึงบางอย่างขึ้น! ราชันวิญญาณองค์แรกได้ถูกอัญเชิญกลับมาโดยผู้เล่น ทว่า…
หญิงรับใช้ในวังกล่าวขัดความคิดของกู่ฉิงซาน “สิ่งนี้ทำให้นางเซียนไป่ต้องประหลาดใจเช่นกัน แม้ว่าเธอจะสามารถเอาชนะค่ายกลดาบนี้ได้ แต่เธอก็ยังไม่สามารถหา ‘จิตวิญญาณแห่งดาบ’ ที่แท้จริงของมันได้”
“ภารกิจของคุณก็คือเข้าไปในค่ายกลดาบและตามหาจิตวิญญาณแห่งดาบ”
“เมื่อครู่คุณบอกว่านางเซียนไป่พิชิตค่ายกลดาบนี้ได้ใช่รึเปล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามฉับพลัน “ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่านางเซียนไป่ได้เจ้าสิ่งนี้มาได้อย่างไร?”
หญิงรับใช้จ้องอีกฝ่ายเล็กน้อยและกล่าว “สิ่งนี้เป็นของขวัญจากน้อมสวรรค์ซวนหยวนที่ได้มอบให้กับนางเซียนไป่ในวันครบรอบวันเกิด”
“หนึ่งในสามไตรภาคี น้อมสวรรค์ซวนหยวน? มอบให้เป็นของขวัญวันเกิด?” บนหน้าของกู่ฉิงซานเผยให้เห็นถึงร่องรอยแปลกๆ
หญิงรับใช้กล่าว “ก็ใช่น่ะสิ”
“ตกลง ฉันจะลองดู”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเกิดความคิดบางอย่างขึ้น ทว่ามันยังคงคลุมเครือมากเกินกว่าที่จะมั่นใจได้
หญิงรับใช้พยักหน้าเล็กน้อย ในมือใช้ออกด้วยวิชาลับ และจิ้มนิ้วลงบนจอมรกต
จอมรกตเกิดการสั่นสะเทือน พร้อมกับเปล่งแสงเจ็ดสีเรืองรองจนจำต้องละสายตาจากมันออกมา
ในความว่างเปล่า ร่างเงาที่แลดูราวกับสัตว์ร้ายกำลังคืบคลานออกมา ขับคลอด้วยท่วงทำนองราวดนตรีสวรรค์ เมฆสีชมพูครอบคลุมไปทั่วฟ้าภายในหน้าจอมรกต
ร่างเงาตนหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน ทว่าร่างเงาตนนี้แท้จริงแล้วคือผู้ฝึกยุทธที่มีชีวิตอยู่ในยุคบรรพกาล!
ร่างเงายกมือขึ้นและชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า และผืนฟ้าก็แยกออกในทันใด เผยให้เห็นถึงห้วงลึกอันไร้ที่สิ้นสุด และเต็มไปด้วยกระแสความว่างเปล่าที่เชี่ยวกราก น่าหวาดหวั่น และท่วมท้นไปด้วยความโกรธ
ภูติใช้อีกนิ้วหนึ่งชี้ลงไปบนพื้นดิน และผืนดินก็แยกออกอีกครั้ง ไม่แตกต่างจากผืนฟ้าเมื่อครู่ สี่ห้วงทะเลเดือดพล่าน ทุกสรรพชีวิตถูกทำลายลง
เพียงใช้ออกด้วยสองนิ้ว ทั้งสวรรค์เบื้องบนและพื้นโลกเบื้องล่างก็แปรเปลี่ยนไป ซึ่งนี่มันอยู่นอกเหนือจินตนาการของผู้ฝึกยุทธไปโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งนักปราชญ์ก็ไม่อาจกระทำได้
มันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าตื่นตา ไม่อาจนำมาเปรียบกับผู้ฝึกยุทธในปัจจุบันได้เลยโดยสมบูรณ์
หญิงรับใช้เฝ้ามองมัน ในหัวใจของเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเอ่ยกล่าว “เมื่อคุณเข้าไปข้างใน คุณจะต้องระมัดระวังตัวให้มากเข้าไว้ แม้ว่าคุณจะไม่สามารถตามหาจิตแห่งดาบได้หรือไม่ก็ตาม แต่ก็ยังไม่นับว่าพ่ายแพ้”
จ้องมองไปยังกู่ฉิงซานที่ใบหน้ากำลังสับสน หญิงรับใช้พยายามกล่าวอธิบายอย่างอดทน “ภายในจอมรกต ประกอบไปด้วยความทรงจำของ สิเอ็ด ร่างเงาราชันวิญญาณ มันเป็นความทรงจำการใช้ชีวิตก่อนตาย คุณไม่สมควรไปล้ำเส้นหรือล่วงเกินพวกเขา มิฉะนั้นแม้กระทั่งฉันก็ไม่สามารถช่วยคุณได้”
กู่ฉิงซานมองไปยังปรากฏการณ์อันน่าเหลือเชื่อบนจอมรกตและกล่าว “เข้าใจแล้ว”
ในมือของหญิงรับใช้เริ่มใช้กระบวนวิชาลับอีกครั้ง และรัศมีเจ็ดสีบนจอมรกตก็พลันโถมเข้าปกคลุมร่างของกู่ฉิงซาน
ตามมาด้วยเสียงอันไพเราะที่ดังขึ้นไปพร้อมกัน
“เด็กน้อย หลังจากที่ธูปไหม้หมดก้าน เจ้าก็จะสามารถเริ่มต้นได้ทันที”
กู่ฉิงซานได้ยิน ก็หันไปทางหญิงรับใช้
หญิงรับใช้พยักหน้าเล็กน้อย
กู่ฉิงซานเฝ้ารอให้กลิ่นธูปจางหายไป ก่อนจะโค้งคำนับ และก้าวเดินเข้าไปในม่านแสง
เพียงพริบตาที่เขาหายตัวไป ท่าทีผ่อนคลายของหญิงรับใช้ก็พลันเปลี่ยนไป สีหน้าของเธอกลายเป็นเคร่งขรึมและเฝ้ามองจอมรกตไม่วางตา
“นี่ก็เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ฉันไม่ได้แตะต้องมัน หวังว่าเจ้าหนูนั่นจะทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงแรงดลใจที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว ขึ้นมาบ้างนะ...” หญิงรับใช้เอ่ยงึมงำเบาๆ
........................................