webnovel

0063 ท้าทายราชันย์วิญญาณ

ตอนที่ 63 ท้าทายราชันวิญญาณ

หลังแสงสว่างวาบ กู่ฉิงซานก็พบว่าตนเองถูกส่งมาปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนห้องโถงขนาดใหญ่

เขาลุกขึ้นและมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง

ใช่แล้ว นี่มันเป็นอาคารในยุคโบราณจริงๆ

ทั้งสองฝั่งของห้องโถง จัดวางไปด้วยรูปปั้นประติมากรรมที่ถูกสลักเป็นท่วงท่าต่างๆ ของผู้ฝึกยุทธที่มีลักษณะแตกต่างกันไป เรียงกันเป็นทิวแถว

หากแต่เพียงสิ่งเดียวที่ในประติมากรรมผู้ฝึกยุทธทั้งสิบมีเหมือนกัน นั่นก็คือพวกเขาทั้งหมดกุมดาบยาวเอาไว้ในมือ

“ผู้ฝึกดาบยุคโบราณ…” กู่ฉิงซานพึมพำ

ประติมากรรมเหล่านี้เมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามา หัวของพวกเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนจากทำตำแหน่งเดิม หันตรงมายังทิศทางที่กู่ฉิงซานยืนอยู่

“รุ่นเยาว์ผู้นี้ เห็นข้าและคนอื่นๆ แล้วยังไม่รีบโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพอีก?” หนึ่งในประติมากรรมตะโกน

กู่ฉิงซานยิ้มและเดินไปโค้งคำนับ ก่อนจะมองลึกเข้าไปในห้องโถงหลัก

เบื้องหน้าของห้องโถงหลัก มีที่สักการะเทวรูปราชันวิญญาณตั้งอยู่

กู่ฉิงซานเดินเข้าไปยังเบื้องหน้าของเทวรูปราชันวิญญาณก่อนจะโค้งคำนับ และเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง

เทวรูปนี้เป็นชายสวมเกราะทองคำ ในมือซ้ายถือยอดขุนเขาเอาไว้ ขณะที่ในมือขวาถือดาบยาวรูปทรงแปลกๆ และมีใบหน้าที่ดูเงียบขรึม

สายตาของกู่ฉิงซานจดจ้องอยู่กับดาบ

มันเป็นดาบยาวสีดำเข้ม และมีลวดลายกว่า5แห่งกระจัดกระจายไปตามจุดต่างๆ บนใบดาบอย่างสม่ำเสมอ ให้ความรู้สึกที่ดูลึกลับ และส่งผลให้ผู้พบเห็นต้องสั่นสะท้านไปทั่วร่าง

ลวดลายที่ว่านั้นคือตราราชัน 

ตราราชันนั้นเปรียบเทียบได้กับรูนระดับสูง  การโชคดีได้มันมาครอบครองนับว่าสวรรค์ทรงเมตตาโดยแท้ เพียงแค่ใช้มัน อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับสวรรค์และโลกเลยก็ได้

กู่ฉิงซานเพ่งมองมันอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้นก็เดินอ้อมไปมองด้านหลังของรูปปั้น

ปรากฏผนังสูงขนาดเท่าห้าคนยืนเหยียบหัวเรียงต่อๆ กัน พร้อมด้วยภาพที่ถูกวาดโดยสีหมึก

เมื่อเพ่งมองดู กู่ฉิงซานก็ต้องเบิกตากว้าง จิตรกรรมบนฝาผนังเหล่านี้บอกเล่าถึงการกระทำอันกล้าหาญของผู้ฝึกยุทธสมัยโบราณที่นำโดยราชันวิญญาณเข้าห้ำหั่นกับพวกมาร

ภาพผู้ฝึกยุทธช่วยราชันวิญญาณต่อสู้กับเผ่ามาร ภาพต่อมาก็เป็นราชันวิญญาณกำลังอยู่บนบัลลังก์แห่งเกียรติยศ

แต่ละภาพบอกเล่าเรื่องราวส่วนต่างๆ จนในที่สุดก็มาถึงภาพสุดท้ายบนฝาผนัง ภาพของผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่ได้เสียสละตัวเอง พลีชีพต้านทานเผ่ามารและคว้าชัยมาได้ในที่สุด

เมื่อสังเกตอย่างใกล้ชิด จะพบว่าผู้ฝึกยุทธในจิตรกรรมแท้จริงแล้วนั้นก็คือ ประติมากรรมผู้ฝึกยุทธทั้งสิบในห้องโถง

สิบผู้ฝึกยุทธโบราณ สิบวีรบุรุษผู้กล้าหาญที่เสียสละเพื่อให้มนุษยชาติดำรงอยู่ต่อไป

แน่นอนว่าพวกเขาช่างน่าเลื่อมใสและควรค่าแก่การยกย่องจริงๆ

นางเซียนไป่ฮั่วนั้นย่อมเคารพผู้คนเหล่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย มิน่าแปลกใจเลยว่าทำไมตัวเขาถึงถูกกล่าวกระตุ้นเตือนว่าไม่สมควรทำกิริยาไม่สุภาพ

ณ ใจกลางจิตรกรรมฝาผนังทั้งหมด มีมอนสเตอร์เพียงตนเดียวที่ถูกวาดขึ้น ใต้ฝ่าเท้าของมันกำลังเหยียบย่ำเมฆทะมึนหรืออาจเรียกว่าเมฆทะมึนกำลังรองรับฝ่าเท้าของมันอยู่ก็ได้ ขณะที่ในมือของมันกำลังกวาดเมืองมนุษย์และเตรียมที่จะลากเข้าไปในปาก

รอบกายมอนสเตอร์ตัวนั้น รายล้อมไปด้วยผู้ฝึกยุทธดาบโบราณทั้งสิบ ภายใต้การนำโดยราชันวิญญาณ

ผู้ฝึกยุทธดาบแต่ละคนล้วนมีสีหน้าภาคภูมิ มือหนึ่งกุมจับดาบยาว ขณะที่อีกมือหนึ่งจีบออกด้วยสัญลักษณ์แปลกๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็นท่วงท่าในการใช้วิชาลับ ชี้ไปยังมอนสเตอร์

มองไปยังฉากนี้ ก็พอจะบอกได้ว่าพวกเขากำลังพยายามผนึกเจ้ามอนสเตอร์อยู่

จิตรกรรมนี้ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดในบรรดาภาพจิตรกรรมทั้งหมด และรอบๆ ก็อัดแน่นไปด้วยตราราชัน 

ตามสามัญสำนึก ตราราชันเหล่านี้สมควรมีไว้ใช้ในการปิดผนึกมอนสเตอร์

กู่ฉิงซานเริ่มสังเกตไปยังมอนสเตอร์

เจ้ามอนสเตอร์กำลังหันหลังอยู่ และดูเหมือนมันจะรู้ตัวว่ามีคนจ้องมอง จึงเอี้ยวตัวกลับมา ยื่นหัวออกมาจนชนฝาผนังเพื่อจ้องกู่ฉิงซานสวนกลับไปในระยะประชิด

“ชัดเจนแล้วว่ามันถูกผนึกเอาไว้ในจิตรกรรมฝาผนัง” กู่ฉิงซานพึมพำ

กู่ฉิงซานเดินไปวนดูภาพบนผนังทั้งหมดอีกรอบ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับไปยังเบื้องหน้ารูปปั้นรูปแรก

รูปปั้นนี้เป็นผู้ฝึกยุทธวัยกลางคน มีใบหน้าเหมือนคนจีนทั่วๆ ไป สวมชุดคลุมสีขาวและดาบยาวในมือที่แผ่กระแสไอเย็นออกมา

และก่อนหน้านี้ก็เป็นรูปปั้นรูปนี้เช่นกันที่ตะโกนใส่กู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานโค้งคำนับและกล่าวถามด้วยความเคารพ “ผู้เยาว์อยากจะขออนุญาตเอ่ยถามถึงช่วงเวลาที่อาวุโสได้เสียสละตนลง”

รูปปั้นเชิดศีรษะขึ้นและกล่าว “ใช้ชีวิตตนเองแลกเปลี่ยนกับชีวิตผู้คนนับแสนให้กลับคืนสู่จิตธรรมชาติ นับว่าคุ้มค่า”

กู่ฉิงซานถามต่อ “อาวุโสช่วยอธิบายถึงรายละเอียดในเรื่องนี้ได้หรือไม่ อย่างน้อยก็จะได้ช่วยให้ผู้เยาว์ได้รู้ซึ้งถึงความภาคภูมิในครั้งอดีตของผู้อาวุโส”

ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนก้มหน้าลงจ้องมองกู่ฉิงซาน “ร่างหลักของจิตเทวะของข้ากำลังผนึกมารบนผนังอยู่ ไม่มีเวลาที่จะมากล่าวถึงรายละเอียด”

กู่ฉิงซานมองไปยังดาบในมืออีกฝ่าย และเห็นว่าบนด้ามจับที่เชื่อมต่อกับใบดาบแกะสลักด้วยตัวอักษรสองคำเล็ก

“ซวงหนิง” น้ำค้างเยือกแข็ง

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆและกล่าว “ผู้น้อยก็เป็นผู้ฝึกดาบเช่นกัน  ใคร่จะขอคำแนะนำในเรื่องการใช้วิชาดาบได้หรือไม่? หากมิได้ขอแค่ชื่อวิชาดาบของผู้อาวุโสก็นับว่าเพียงพอแล้ว”

ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนกล่าวอย่างภาคภูมิ “วิชาดาบเพลิงพิภพกำเนิดฟ้า”

กู่ฉิงซานโค้งคำนับและกล่าว “ขอบคุณที่สอนสั่งผู้น้อย”

จากนั้นเขาก็เดินมายังรูปปั้นตัวถัดไป และยังคงโค้งคำนับและเอ่ยถามอย่างสุภาพ “ผู้เยาว์ใคร่ที่จะขอเอ่ยถามถึงการเสียสละของผู้อาวุโส?”

รูปปั้นที่คราวนี้มีเค้าโครงเป็นชายหนุ่มรูปงาม เมื่อได้ยินเขาก็เอ่ยตอบ “สังหารมารหลายสิบล้านจนเหน็ดเหนื่อย ใช้พละกำลังจนหมดสิ้น และตกตายลง”

“พอจะสามารถกล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมได้หรือไม่ เผื่อจะช่วยให้ผู้น้อยได้เข้าใจถึงความภาคภูมิของผู้อาวุโสในครั้งอดีต”

ชายรูปงามจ้องมองกู่ฉิงซานและกล่าว “วิญญาณเทวะส่วนหนึ่งของข้ากำลังผนึกมารในจิตรกรรม ไม่มีเวลาว่างมากล่าวถึงรายละเอียด”

กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าว “ผู้น้อยก็เป็นผู้ฝึกดาบเช่นกัน ใคร่ขอถามถึงชื่อวิชาดาบของผู้อาวุโสจะได้หรือไม่?”

ชายรูปงาม “วิชาดาบไร้คลื่น”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อทันที “ผู้อาวุโสเป็นผู้ฝึกดาบที่ใช้ ‘พลังวิญญาณธาตุสายฟ้า’ อันหาได้ยากยิ่ง ช่างน่านับถือ”

ชายรูปงามกล่าว “เจ้ามีความรู้ดีไม่เลวนี่”

ได้ยินคำนี้ สีหน้าของกู่ฉิงซานก็ผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์

เขาเดินตรงไปยังเบื้องหน้าห้องโถงหลักและยืนหยัดอยู่ด้านหน้าเทวรูป

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ธนูยาวก็พลันปรากฏขึ้นในมือของเขา

กู่ฉิงซานค่อยๆ ดึงลูกศรออกมาและแนบกับคันธนู ก่อนจะเล็งไปยังเทวรูปสักการะ

พริบตานั้นเอง เทวรูปก็ลืมตาขึ้นพร้อมตะโกนด้วยเสียงก้องราวฟ้าผ่า “เจ้ากล้า! เป็นเพียงมนุษย์ตัวจ้อย บังอาจเล็งธนูมายังเราราชันกระนั้นหรือ ยังไม่รีบคุกเข่าขอขมาอีก! มิฉะนั้นข้าจะส่งเจ้าไปยังสังสารวัฏแห่งการกำเนิดใหม่!”

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ฉันเป็นมาร แน่จริงก็เข้ามาสิ แล้วก็จะบอกอะไรให้นะ ฉันมาที่นี่เพื่อปลดปล่อยเจ้ามอนสเตอร์บนฝาผนังนั่นน่ะแหละ”

สิบผู้ฝึกดาบยุคโบราณพลันคำรามโดยพร้อมเพรียง  หนึ่งในนั้นโบกสะบัดดาบยาวในมือ ขณะที่ทั่วทั้งร่างล้นหลามไปด้วยปราณดาบ

“มารร้าย ข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”

“เผ่ามารที่น่าชิงชัง จงตาย!”

“จงน้อมรับโชคชะตาของเจ้าแต่โดยดี!”

เสียงของพวกเขาดังกึกก้องดังสนั่น สะเทือนพสุธา ทุกผู้ตั้งท่าเตรียมใช้ออกด้วยเพลงดาบอันยอดเยี่ยม

ณ ภายนอกจอมรกต สีหน้าของหญิงรับใช้แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน “เจ้าเด็กบ้านี่กำลังคิดจะทำอะไร!”

สองมือของเธอจีบออกอย่างรวดเร็วเตรียมใช้วิชาลับ ในพริบตาเดียว ผนึกมนตราก็ปรากฏออกมา

หลังจากนั้นเธอก็จีบนิ้วอีกครั้ง และชี้ไปยังผนึกมนตรา หากกระตุ้นพลังวิญญาณ เทคนิคมนตรานี้ย่อมจะสำแดงออกทันที

ทว่าในพริบตานั้นเอง ขณะที่หญิงรับใช้คิดปล่อยกระบวนท่า เธอกลับไม่ได้จุดประกายพลังวิญญาณแต่อย่างใด

เธอจับจ้องจอมรกตชนิดตาไม่กะพริบ และครู่หนึ่งสีหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย

ณ ห้องโถงหลัก

กู่ฉิงซานรออยู่ครู่หนึ่ง เหล่าผู้ฝึกดาบก็ไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหว

“น่าชังนัก!” ผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนที่มีโครงหน้าเหลี่ยมตะโกนก้อง “พลังวิญญาณทั้งหมดของข้าถูกใช้ไปเพื่อผนึกเผ่ามาร ปัจจุบันหลงเหลือแค่เพียงวิญญาณเทวะที่อยู่ภายนอก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าเจ้าเด็กนี่!!”

“ข้าก็ด้วย!”

“ข้าก็เช่นกัน!”

ผู้ฝึกดาบต่างคร่ำครวญเป็นเสียงเดียวกัน

กู่ฉิงซานมองไปยังเทวรูปใจกลางห้องโถง สายธนูที่ถูกขึงจนตึงแลคล้ายพระจันทร์เต็มดวงก็ค่อยๆ ถูกผละออก

บรัช!

ลูกศรเฉี่ยวขูดผ่านหูของเทวรูป สกิล‘ยิงระเบิด’เจาะเข้าไปในผนัง ก่อนจะระเบิดผนังแผ่นหนึ่งที่เต็มไปด้วยจิตรกรรมจนแตกร้าว ร่วงหักลงเหลือเพียงครึ่ง

ผู้ฝึกดาบยุคโบราณพลันหุบปากของพวกเขาลง

ทั่วทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบอย่างน่าประหลาดใจ

กู่ฉิงซานไม่เผยรสอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า เขาหยิบศรขึ้นมาอีกดอก แนบกับคันธนูและเล็งไปยังเทวรูปอีกครั้ง

“ขอโทษที เมื่อกี้ฉันเล็งพลาดไป คราวนี้ขอลองใหม่อีกรอบนะ”

เทวรูปไม่เอ่ยคำใดออกมา

กู่ฉิงซานง้างสายธนูจนตึงและกล่าว “ท่านไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรือ? หลังจากทั้งหมดนี้ บางทีท่านอาจจะไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากอีกแล้วนะ”

ทันใดนั้นเทวรูปก็รีบเอ่ยออกมา “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะระบายความโกรธเกรี้ยวโดยการปลดปล่อยมารที่ทำให้โลกจมลงสู่ความชั่วร้ายหรือ?”

กู่ฉิงซานกล่าว “แค่ฝูงผู้ฝึกยุทธลวงโลกเนี่ยน่ะเหรอจะสามารถปลดปล่อยมารร้ายที่แข็งแกร่งออกมาได้ ฉันไม่เชื่อหรอก”

เทวรูปถามอีก “จิตใจเจ้ามันทำด้วยอะไร เหตุใดจึงกล่าวว่าร้ายผู้ฝึกยุทธดาบสมัยโบราณเช่นนี้?”

“แกกำลังบังคับให้ฉันต้องพูดทั้งๆที่แม้แต่ตัวแกเองยังไม่กล้าพูดจริงๆ น่ะหรือ”

ทันใดนั้นเอง ในห้องโถงก็ปรากฏเสียงดังสนั่นของหญิงสาวขึ้นอย่างฉับพลัน “จงเอ่ยออกมา ถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นนี้ให้ชัดเจน!”

........................................