เด็กหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดนาม หยางอวี้ ได้เดินทางเข้าสู่การเป็น เทพยุทธ์ หลังจากได้รับ.....
อารัมภบท
เปรี้ยง!
สายฟ้าสีแดงฉานฟาดลงใส่เครื่องบินลำหนึ่ง เสียงของมันดังก้องสะท้านไปทั่วท้องฟ้า คนที่อยู่ภายในนั่นพลันแสดงสีหน้าตื่นตระหนก ยังไงซะนี่ก็เป็นเครื่องบินส่วนตัว ฉะนั้นนอกจากคนขับ เจ้านาย และคนรับใช้ ล้วนไม่มีใครอื่นอยู่อีก
ชายหนุ่มเจ้าของเครื่องบินหน้าซีดขาว เขาไม่นึกเลยว่าวันนี้ตนจะซวยเช่นนี้ บินท่ามกลางท้องฟ้าที่แจ่มใสอยู่ดีๆ ก็มีเมฆดำตั้งเค้ามาซะอย่างนั้น นี่ไม่เรียกว่าซวยจะเรียกว่าอะไร?
"เจ้านาย!" เสียงของกัปตันในห้องบังคับการณ์ดังขึ้น ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยตอบ เจ้าของเสียงก็พุ่งออกมาจากห้องบังคับ สีหน้าของกัปตันดูตื่นตระหนกมาก เห็นได้ชัดว่าต้องเกิดเรื่อง
"ตอนนี้ระบบรวนไปหมด ผมพยายามกู้มันกลับมาแล้วแต่ไร้ผล รีบหยิบเอาร่มชูชีพเร็ว! ไม่งั้นคงได้ดิ่งเวหาตายไปพร้อมกับมันแน่!" กัปตันเอ่ยเสียงดัง
จากนั้นผู้หญิงที่เป็นคนรับใช้ประจำเครื่องบินลำนี้ก็โผล่มาพร้อมกับร่มชูชีพสามอัน กัปตัน เจ้านาย และคนรับใช้ไม่รีรอสวมมันทันที
ถึงอย่าไรก็ช้าไปนิดเดียว บัดนี้เครื่องบินเริ่มจะเอยเอียงเซไปด้านข้าง ข้าวของที่พวกเขาไม่เก็บต่างเลื่อนไปกองยังอีกฝั่งหนึ่ง กัปตันไม่รอคำสั่งเปิดประตูข้างลำตัวของเครื่องบินพลางกระโดดลงไป
แรงลมพัดแรงมากจนหน้าของชายหนุ่มชาด้าน แต่พลันนึกว่าลืมของสำคัญรีบวกกลับไปยังที่นั่งตนเองและสำรวจใต้เก้าอี้ ในนาทีชีวิตไม่มีนายไม่มีบ่าวพริบตาเดียวคนรับใช้หญิงก็พุ่งไปราวกับกระสุนปืนทะยานออสูเวหาทันใด ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็เหลือบมองยังใต้เก้าอี้อย่างเร่งรีบ ปรากฏเป็นห่อผ้า เขคว้ามันและแกะออกจนได้กระบี่ในฝักเล่มหนึ่งมาถือไว้ในมือ
"กระบี่นี้เป็นของปู่ จะให้มันหายไปไม่ได้เด็ดขาด!" ของสิ่งนี้สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขาเสียอีก ชายหนุ่มไม่กล้าจะเสี่ยงทำมันหาย เพราะมันเกี่ยวพันถึงอำนาจของตระกูลเขา
เครื่องบินไม่อาจจะประคองได้ ไฟในโบกี้ดับพรึบลงพร้อมๆกับหัวที่พุ่งลง ชายหนุ่มหน้าซีดแล้วกระโดดจังหวะเดียวพุ่งออกจากประตูราวกับยอดฝีมือ
ฉับพลันที่รางปะทะกับกระแสลมที่พัดหมุนไปมา ชายหนุ่มไม่กล้ากางร่มชูชีพสุ่มสี่สุ่มห้า เขาแนวแขนสองข้างไว้ข้างลำตัว จากนั้นก็เอนตัวหันศีรษะดิ่งลงด้านล่างอย่างช่ำชอง
เนื่องจากไม่ได้ใส่แว่นตากันลม ดวงตาของชายหนุ่มเลยโดนลมตีจนนำตาเล็ด วิสัยทัศน์ตอนนี้แทบจะคลำทางเลยก็ว่าได้ เขาจำตองนับในใจพลางคำนวณระยะทางก่อนจะถึงพื้น
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงชายหนุ่มก็กระชากสายเส้นหนึ่งของร่มชูชีพสุดแร
พรึบ!
ร่มชูชีพกางออก ทันใดนั่นแรงลมก็ซัดมันลอยหนุนขึ้นด้านบน ชายหนุ่มทำได้เพียงทำใจเท่านั้น หากไม่กางร่มตอนนี้ เห็นทีจะต้องไปตกกลาง ซึ่งมันไม่น่าจะใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่
ดวงตาจ้องมองเบื้องล้างอย่างวิเคราะห์ เมื่อเห็นฝั่งพื้นดินกับทะเลใหญ่ติดกันก็ถอนใจยาว แค่นี้เขาคงไม่ต้องเป็นอาหารฉลามแล้วกระมัง
ทว่า ดีใจได้แค่ครู่เดียวจานบินลำหนึ่งก็พุ่งแหวดเมฆเหนือหัวเข้า รูปทรงของมันคล้ายกับไข่ขาวไม่มีผิด แต่สีของมันดำสนิทจนเงาวับ
จานบินลำนั่นสาดแสงมาทางเขาราวกับต้องการตรวจสอบ ซึ่งชายหนุ่มตอนนี้กรีดร้องอย่างหวาดกลัว
ถ้าถามว่าบนโลกนี้มีจานบินอยู่ไหม เรื่องนี้พูดยาก โอกาสจะเจอนั่นมีแค่ครึ่งเดียว แน่นอนโอกาสที่จะไม่เจอมันห้าสิบส่วนเช่นกัน เขาไม่นึกว่าจะได้มาเจอจานบินของเอเลี่ยนแบบนี้
ในใจของเขาหวาดตัวเป็นอย่างมาก กังวลว่าจะโดนจับไปทดลอง หรือไม่ก็สะกดจิตให้ตนนั่นทำเรื่องบางอย่าง
แต่ว่าจานบินลำนั่นก็ทำลายความกังวลของเขาจนสิ้น
จานบินนั่นคล้ายไม่เป็นเขาอยู่ในสายตา มันบินโฉบมาทางเขาด้วยความเร็วแสง พรึบตาเดียวก็เกิดเสียงคล้ายกับฟ้าคำรามดังขึ้น
ตูม!
ร่างของชายหนุ่มกลายเป็นเศษก้อนเนื้อ กระทั้งเสื้อผ้ายังแยกกันเป็นชิ้นๆ เขาไม่ทันได้ร้องอีกครั้งด้วยซ้ำ ก็โดนจานบินชนตายซะแล้วนับว่าวันนี้โชคร้ายอย่างยิ่ง
แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น สติที่ดับวูบไปพลันกลับมา ดวงตาสองข้างของชายหนุ่มลืมขึ้น ใบหน้าของใครก็ไม่รู้ปรากฏอยู่ตรงหน้า แถมยังพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ เขาฟังไม่เข้าใจสักคำ จนแล้วจนรอดก็คิดว่าตัวเองลอยมาตกยังเกาะไหนสักแห่งในแผ่นที่โลก คู่ผัวเมียตรงหน้าเขาให้เดาคงเป็นเผ่าดินคนแน่ๆ
อนิจจา นี่รอดมาได้ยังต้องมาเจอกับพวกกินคนอีก สวรรค์ไร้ตา ปฐพีไร้ใจจริงๆ ช่างโหดร้ายกับเขาแท้!
เพียงแค่ร้องอู้อี้ไม่กี่สิบคำก็หลับ โดยที่ตัวเขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองนั่น ได้เกิดใหม่ในดินเเดนที่เต็มไปด้วยอันตรายสุดๆ