webnovel

บทที่ 1 เกิดใหม่

บทที่ 1

ณ จักลวาลจักรพรรดิ อันเเสนห่างไกล

ดินเเดนเสินอู๋ ศักราชปีที่ ไม่อาจทราบได้

เดือน ไม่ทราบ ปี ไม่ทราบ

นอกเมืองหงส์ฟ้า เขตทุ่งหญ้าเขียวขจี

เด็กหนุ่มผมสีดำยักศกอายุสิบเอ็ดสิบสองปีกำลังย่นดิ้วเข้าหาหันอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาสีเปลวเพลิงจ้องเขม็ง ภาพเบื้องหน้าเขาเป็นร่างของสัตว์อสูรหนึ่งกำลังยืนกินหญ้าอยู่ มันไม่แยแสเจ้าของสวนแห่งนี้ที่ยืนหัวโด่งจ้องเขม็งมองมันจนตาไฟลุกสักนิด

เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยอารมณ์ "เพ้ย! ไอ้ม้าบ้า นี่มันสวนข้านะ ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!"

เจ้าม้าอสูรได้ยินก็เงยหน้าหันมามองเขา ก่อนจะส่งเสียงดัง 'หึ' จากนั้นเหลมหญ้าต่อเฉย คล้ายเมื่อกี้เป็นแค่เสียงลมพัดผ่าน

ความหยิ่งยโสของม้าตัวนี้ทำให้หยางอวี้เลือดขึ้นหน้า เด็กหนุ่มกระทืบเท้าด้วยความโมโหควงหมัดพุ่งเข้าใส่

"ตายซะ!"

เจ้าม้าอสูรแหล่ดวงตาสีแดงเทือกของมันมองที่เขาก่อนจะยิ้มเย้ย หมัดนี้เป็นเพียงแค่กำปั้นเปล่าๆเท่านั้น ไม่ได้ใช้พลังชีด้วยซ้ำ มันยังต้องกลัวอะไรอีก!

ม้าอสูรหันก้นอันงดงามให้กับหยางอวี้ แล้วดีดขาหลังข้างขวามันสุดแรง "ฮี่!~"

ผัวะ!

โดนม้าถีบไปจังๆหนึ่งดอกหยางอวี้ถึงกับกระเด็น ร่างของเขาหมุนม้วนหลังสามตลบกลางอากาศก่อนหล่นตุบในท่านอนคว่ำบนพื้นอย่างอดสู เด็กหนุ่มวัยสิบสองปีกัดฟันด้วยความเคียดแค้นจ้องเจ้าม้ายโสราวกับขูดเลือดขูดเนื้อมัน เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนมาถอนใจยอมรับผลการต่อสู้พลางพลิกตัวแหงนหน้ามองขึ้นฟ้า

หยางอวี้เอ่ยขึ้นไม่สบอารมณ์ "แกชนะอีกแล้วนะไอ้มาบ้า!"

เจ้าม้าบ้าก็ร้องตอบรับ "ฮี่" แล้วฉีกยิ้มอย่างน่าเกลียดสะบัดหน้าม้าของมันไปมาอย่างล้อเลียน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขากับเจ้าม้าอสูรสู้กัน นับตั้งแต่เมือสิบปีก่อนจนถึงตอนนี้ หยางอวี้สู้กับม้าตัวนี้มาห้าปี จนถึงวันนี้เขาก็ยังไร้วี่แววจะชนะ สาเหตุมาจากตัวเขาเองที่เกิดมาผิดที่และอยู่ผิดทางสุดๆ

"ฮี่~" ม้าอสูรเดินทอดน่องมาหาอย่างอวี้พลางถ่มน้ำลายสีโลหิตใส่เขา เด็กหนุ่มกลิ้งหลบด้วยความไวแสง พริบตาที่น้ำลายของม้าอสูรหยดลงบนพื้นหญ้า ต้นหญ้าที่โดนมันก็แห้งเฉาและกลายเป็นขี้เถ้าในที่สุด หยางอวี้มองค้อนมันไปหนึ่งรอบก่อนจะนอนแหงนหน้ามองฟ้าต่ออย่างไม่ใส่ใจ

"หึ" ม้าอสูรก็หัวเราะร่านั่งลงข้างเขาเคี้ยวเอื้องอย่างผิดปกติจากธรรมชาติของม้าสุดๆ

หยางอวี้แม้จะตกใจที่ม้าตัวนี้มันเคี้ยวเอื้องได้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ยังไงชาตินี้เขาคงไม่ได้รับคำตอบหรอก เขาเอื้อมมือลูบปอยผมสีแดงเทือกบนหัวมันแล้วหลับตาลงอย่างครุ่นคิด

"สวรรค์ใจร้ายจริงๆ ทำไมไม่ส่งไปข้าโลกเวทมนต์และมอนสเตอร์…" หยางอวี่บ่นกับสวรรค์ที่ส่งเขามาเกิดใหญ่แบบผิดที่สุดๆ

ในชาติที่แล้วตัวเขาเป็นหนุ่มโสดซิงลูกคนรวย โอตาคุสายนิยายข้ามโลกและแฟนตาซีเวทมนต์แบบสุดกู่ เขาใช้เวลากับไลท์โนเวลและนิยายสายนี้ไปเยอะ ดังนั้นข้อมูลในหัวของเขาเลยเต็มไปด้วย ศาสตร์ของเวทมนต์ พระเจ้า ปีศาจ มอนสเตอร์

แต่ใครจะคาดคิดว่าจู่ๆก็มีฟ้าผ่าลงเครื่องบินส่วนตัวของเขา แล้วโดนจานบินของมนุษย์ต่างดาวชนเอา เลยได้มาเกิดใหม่ในโลกของจอมยุทธ์เช่นนี้ ช่างน่าเวทนาตัวเองโดยแท้...

แต่ดีหน่อยที่พ่อบุญธรรมกับแม่บุญธรรมของตัวเขาในชาตินี้เป็นคนดี ที่สำคัญพวกเขายังมีความลับเกี่ยวกับตัวเองมากมาย ซึ่งหยางอวี้ได้รู้เรื่องหมดแล้ว คนอื่นอาจจะมองว่าฐานะองครอบครัวเขายากจนแต่นั่นแหละ ตัวหยางอวี้เองก็ไม่อยากจะทำตัวเป็นคนทรัพย์สมบัติสักหน่อย เลยไม่ไม่มีใครได้งัดเอาเงินที่เก็บไว้มาใช้เลย ทำให้เงินทองกับสภาพแวดล้อมเปลือกนอกดูค่อนข้างเลวร้ายสุดๆ

ต่อมาพ่อแม่บุญธรรมของเขาก็ไม่อยู่แล้ว แม้พวกเขาจะเป็นพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง แต่สำหรับหยางอวี้ ทั้งสองคนนี้คือ พ่อแม่ของเขาจริงๆ เพราะในชาติที่แล้ว พ่อและแม่ของเขา ตายไปตั้งแต่เขาอายุได้สองขวบ

บนจักรพรรดิแห่งนี้เป็นโลกของจอมยุทธ์และผู้ฝึกตน ฉะนั้นสิ่งที่กำหนดความเป็นไปของทุกอย่างคืออำนาจและความแข็งแกร่ง แน่นอนมันเป็นค่านิยามสำหรับคนทั่วไป ส่วนหยางอวี้เหรอ? เขาเป็นโอตาตุเวทมนต์ แต่ดันมาเกิดใหม่ในโลกจอมยุทธ์ ฉะนั้นสามัญสำนึกของเขาไม่สามารถใช้ได้เลยกับที่นี่ได้ รวมไปถึงความรู้ต่างๆที่ฝังหัวไว้ด้วย

ครั้งหนึ่งพ่อแม่ได้ส่งเขาเข้าไปเรียนในสำนักคุ้มภัยในตัวเมือง ปรากฏว่าอาจารย์ให้โคจรพลังชี่ของตัวเองไปจุดตันเถียน ซึ่งทำให้หยางอวี้งงมาก เขายังจำประโยคที่กล่าวต่อหน้าสหายวัยเดียวกันมากมายได้ขึ้นใจ

"เออ จุดตันเถียนเนี่ย มันคือเชี่ยไรครับอาจารย์!"

แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวหยางอวี้ก็กลายเป็นตัวประหลาดในห้อง สายตาที่คนอื่นมองเขานั่น เหมือนกับเศษขยะ ก็แค่ไม่รู้ว่าจุดตันเถียนคืออะไรทำไมต้องมองด้วยแปลกสายตาแปลกๆด้วย นี่เป็นความจริงไม่มีการตัดต่อ

ความรู้ในด้านเวทมนต์(จากไลท์โนเวล) ในชาติก่อนก็ใช้ไม่ได้ ในขณะที่คนอื่นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ชาตินี้เขาก็ดันซวยเกิดมาเป็นเพียงคนธรรมดา นี่ทำให้หยางอวี้สิ้นหวังท้อแท้

เขาได้ไม่ได้เส้นลำปราณพิการ ไม่ได้โดนพิษ ไม่มีวิชาโบราณที่ทำให้สามารถใช้ลมปราณได้ เขาไม่มีแม้พลังชี่ที่คนปกติส่วนใหญ่ร้อยละเก้าสิบเก้าจะมีด้วย โดยรวมจะเรียกว่าเป็น 'คนธรรมดา' ก็คงไม่ผิด

"โลกนี้มันเลวร้ายมากสำหรับฉันจริงๆ!" หยางอวี้กรีดร้อง!

พลังชี่ คือ พลังของคนปกติในโลกนี้ มันคือพลังที่ไหลเวียนในร่างกายมนุษย์ ที่พอทะลวงไปในระดับสูงๆก็จะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งจนน่ากลัว โดยทั่วไปแบ่งระดับเป็นเช่นไรนั่น หยางอวี้ไม่ทราบ เพราะเขาใช้ไม่ได้เลยไม่เก็บมาคิดให้รกสมอง เขาตั้งใจทำสวนปลูกผักกินตามประสาชาวบ้านทั่วๆไป

บนจักรวาลนี้มีผู้ฝึกยุทธ์มากมายนับไม่ถ้วน ส่วนสำนักและนิกายก็มีมากมายเช่นนั้น เทียบกับ ความรู้เรื่องเวทมนต์ที่ฝังในหัว มันแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยในโลกใบนี้

หยางอวี้ลืมตาขึ้นก็เจอกับศีรษะของม้าอสูร ดวงตาสีแดงเทือกดูหน้ากลัว กลิ่นอายรอบๆตัวที่ต่อให้เป็นสุนัขก็ยังรู้อันตราย แต่เมื่อเป็นเจ้าม้าตัวนี้หยางอวี้กลับไม่กลัวมัน ถ้าถามว่าทำไมล่ะก็ เขาสู้กับเจ้าม้าตัวนี้จนกลายเป็นเพื่อนกันแล้วล่ะ

ม้าอสูรเอาหัวของมันเขี่ยศีรษะของหยางอวี้ มันทำแบบนั้นสองสามครั้งก่อนจะฟุบหัวลงบนพื้นหญ้าแล้วหลับตาพริ้ม ภายใต้การลูบไล้ของหยางอวี้

ว่ากันว่าต้นกำเนิดของอสูรบนดินเเดนนี้ ในยุคบรรพกาลนั่นหลังสงครามครั้งใหญ่สิ้นสุด ราชันย์อสูรที่ถูกสวรรค์หลอกลวงจนพ่ายแพ้และสูญเสียพลังอสูรไปทั้งหมด ร่างกายกับวิญญาณของมันแตกดับ หลงเหลือเพียงเจนจำนงทิ้งลงไปยังโลกมนุษย์ก่อเกิดเป็นเหล่าสัตว์อสูรที่ปัจจุบันกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก

ไม่มีใครรู้ว่าใช่เรื่องจริงไหม แต่ผู้คนที่นี่ล้วนมีความเชื่อแบบนั้น ทำให้พวกเขาต่างหวาดกลัวและรังเกียจอสูรเป็นอย่างมาก เพราะราชันย์อสูรเป็นคนเริ่มสงครามเข่นฆ่ามนุษย์

สายลมของวสันตฤดูพัดโชยมา อากาศยามเช้าดีๆแบบนี้หาได้ยากนักในโลกนี้ หากได้นอนท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ย่อมต้องหลับสบายอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าหยางอวี้หลับตาลงไม่ถึงนาที เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากก็เดินใกล้เข้ามา

เด็กหนุ่มเบิกตาขึ้นกว้างแล้วกรอกตาไปทางที่มาของเสียง เงาร่างของเด็กหนุ่มหลายคนกำลังมุ่งมาทางนี้ หยางอวี้ค่อนข้างคุ้นตาคนพวกนี้มาก เพราะเป็นโจทย์เก่าในสำนักคุ้มภัยประจำเมืองหงส์ฟ้า

เด็กหนุ่มหัวโจ๊กของกลุ่มนี้ที่สวมชุดผ้าไหมสีแดงเทือกก็ยิ้มเย้ยทันทีที่เห็นหยางอวี้ "ฮ่า ฮ่า ดูสิใครกำลังนอนเล่นกับม้าในสวนหลังบ้าน ขณะที่คนอื่นเขากำลังทำตัวมีประโยชน์ อ้อ เจ้าขยะอาอวี้นี่นั้นเอง!"

"ใช่ๆ รีบๆออกไปจากที่นี่ซะเจ้าขยะ เกะกะลูกตาชะมัด" คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

"….." หยางอวี้มองพวกที่มาใหม่ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายังคงสบายๆ เหมือนกับเมื่อครู่เป็นเสียงนกเสียงกาที่ร่ำร้องทั่วไป เขาไม่โกรธเด็กน้อยพวกนี้ด้วยอายุเขาหากนับรวมกับร่างในยุคนี้ประมาณสามสิบปลายๆแล้ว ถ้ายังจะเลือดขึ้นหน้าวีดแตกกับขี้ปาก คงเสียเกียรติของผู้ใหญ่แน่ๆ

เห็นหยางอวี้ไม่มีการตอบสนองใดๆ หลานจงก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เขาตั้งใจมายั่วหยางอวี้เต็มที่ เพื่อจะได้ใช้เป็นข้ออ้างทดสอบพลังชี่ของตัวเองที่พึ่งจะทะลวงสู่ขั้นกลางได้สำเร็จ

แต่เหนือคาดที่หยางอวี้ไม่ได้สนใจสักนิด เขายังคงนั่งลูบขนม้าอย่างสบายอารมณ์คล้ายกับว่าโลกใบนี้มีแค่เขากับม้าเพียงหนึ่งคนหนึ่งตัวเท่านั้น

ใบหน้าของหลานจงดูบิดเบี้ยวอย่างมากเพราะโดนหักหน้า

เห็นนายน้อยตนกำลังหน้าเสีย รีบก้าวไปข้างหน้าและเอ่ย "เจ้าขยะหยางอวี้! นายน้อยของข้ากำลังคุยกับเจ้าอยู่นะ!"

หยางอวี้ทำเพียงถอดถอนใจอีกครา ก่อนจะลุกขึ้นยืน

เจ้าม้าอสูรพลันลุกขึ้นพร้อมกัน มันกระพริบดวงตาสองสามที ครู่เดียวดวงตาของม้าปกติก็พลันปรากฏ ดวงตาสองข้างนั้นจ้องเขม็งไปทางกลุ่มพวกหลานจงที่เข้ามาขัดจังหวะการนอนหลับภายใต้การลูบไล้ของหยางอวี้

"ใจเย็น 'หลงอี้' แกไปเหลมหญ้าตรงโน้นซะ!" หยางอวี้เอ่ยแกมสั่ง เจ้าม้าพ่นลมร้อนและควันสีขาวออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ แต่จำต้องเดินไปมุมหนึ่งของสวนหลังบ้านด้วยคำสั่งของหยางอวี้ แม้ทั้งมันและหยางอวี้จะพ่ายแพ้แต่มันกับเขาก็สู้กันมาหลายปีจนเรียกได้ว่า เป็นเพื่อนในสนามรบกันไปเรียบร้อย

หยางอวี้เอ่ยด้วยอารมณ์ว่า "หลานจง อย่าได้มาทำตัวโอ้อวดที่นี่ เพราะนี่มันเขตของบ้านข้า รีบๆออกไปซะ!"

"เพ้ย!" หลานจงไม่ยอมแพ้ส่งสายตาดูถูกสวนกลับ "แกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า ขยะไร้ประโยชน์เช่นแกมีหน้าที่ต้องก้มหัวให้พวกเรา ไม่ใช่ต่อต้าน!"

"…" หยางอวี้ส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เขาเกิดมาในยุคประชาธิปไตยที่เน้นเสรีภาพมากกว่าการกดขี่ ดังนั้นไอ้กฎ 'ผู้แข็งแกร่งคือทุกอย่าง' ของที่นี่ แทบจะไม่สามารถเปลี่ยนสามัญสำนึกของเขาได้เลย

"หยางอวี้ วันนี้เป็นวันที่อากาศดี ฉะนั้นข้าจะให้เจ้าได้เห็นขอดีสักหน่อยล่ะกัน...." หลานจงกล่าวอย่างไร้เหตุผลดวงตามันหรี่ตาลงพร้อมกับระเบิดพลังของเขาออกมา

ตูม!

พลังชี่พลันแผ่ซ่านออกมาร่างจากร่าของหลานจง เขารู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่มากล้น เขาฉีกยิ้มราวกับเด็กน้อยที่หยิ่งผยองพลางกำหมัดสองข้างแน่น พริบตานั้นพลังชี่ก็ถ่ายโอนมาที่มือสองข้าง

ตูม!

กลิ่นอายของพลังชี่แผ่ซ่าน คล้ายกับออร่าปลดปล่อยออกมาจากร่างหลานจง หยางอวี้เลิกคิ้วขึ้นแล้วมองมันอย่างสนใจด้วยใบหน้าตายด้านสุดๆ

"ข้าจะแสดงให้เห็นถึงความต่างชั้น ระหว่างขยะกับยอดคน!" หลานจงรวมพลังชี่ไว้ที่ร่างกายพุ่งเข้าหาหยางอวี้ทันที หลานจงในสภาวะนี้ในมุมมองของหยางอวี้ มันคล้ายกับการสวมเกราะ แถมความเร็วในการเคลื่อนไหวเองก็ยังมากอีกด้วย เพียงอึดใจก็มาปรากฏตรงหน้าของหยางอวี้

"รับมือ!" หลานจงรสมพลังชี่ไว้ที่มือซ้าย เหวี่ยงหมัดซ้าย ซัดเข้าใส่ใบหน้าของหยางอวี้

แต่หยางอวี้กลับไม่หลบ เขาย่อตัวลงเล็กน้อย ยกแขนทั้งสองขึ้นมาก่อนจะเคลื่อนไหวด้วยปฏิกิริยาตอบโต้ของมนุษย์ทั่วไป มือซ้ายสะบัดปัดลำแขนของหลานจงอย่างรวดเร็วทำให้หมัดนี้ไม่เข้าเป้าแต่เบี่ยงออกไปด้านข้าง ชั่วพริบตาต่อมาเขาก็โน้มตัวไปด้านหน้าแล้วประคองหมัดขวาซัดจากล่างขึ้นบนเล็งอัดยังท้องน้อย

"อั่ก!" หลานจงสำลักน้ำลายอย่างตกตะลึง เพราะไม่นึกว่าจะโดนสวนกลับเช่นนี้ หลังหยางอวี้ถอยห่างออกสี่ก้าวร่างเขาก็ทรุดลงทันที มือสองข้างยกกุมท้องไว้ใบหน้าแสดงอาการทรมานเป็นอย่างมาก

"หมัดของแกทรงพลังก็จริง ถ้าโดนไปทีนี่น่าจะนอนหยอดน้ำข้าวต้มหกเจ็ดวัน แต่นั้นแหละถ้ามันโจมตีโดนอะนะ" หยางอวี้ว่าพลางหาววอดใหญ่พลางจ้องใบหน้าของกลุ่มหลานจงที่ดูจะตะลึงงัน

หยางอวี้ไม่มีพลังแบบปกติของคนในยุคนี้ก็จริง ทว่าเขาเองในชาติที่แล้วก็ไม่ได้เป็นโอตาคุทั่วไป ด้วยการบังคับจากผู้เป็นตาเฒ่าที่น่ารังเกียจนั่นทำให้เขาได้เรียนศิลปะป้องกันตัวมาหลายอย่าง แน่นอนส่วนมากเขาชำนาญอย่างยิ่ง ฉะนั้นไอ้หมัดที่ถูกชกด้วยเด็กๆเช่นนี้ แทบจะไม่มีพิษสงกับผู้ใหญ่เช่นเขาเลย

"แก ไอ้ตัวขยะบัดซบ!" หลานจงคำราม เขาระเบิดพลังชี่ออกมาแล้ววิ่งตรงเข้าใส่หยางอวี้

โดนต่อยไปทีหนึ่งก็ไม่ล้มสมกับเป็นผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ หากเป็นที่โลกโน้นคงจะสลบไปแล้ว หยางอวี้ชื่นชมคนบนโลกนี้อย่างแท้จริง

"หมัดทลายหิน!" หลานจงชกหมัดขวาตรงพลางคำรามชื่อท่า หมัดนี้ก็สมกับชื่อมันนั่นแหละ หยางอวี้เพ่งสายตามองอย่างเยือกเย็น หากเขาโดนเข้าไปกระดูกสักแห่งคงได้หักเป็นแน่แท้ บ้านก็มีตัวเองแค่คนเดียว ขืนป่วยไปคงนอนตายคาเตียงแน่

หยางอวี้รีบเคลื่อนไหวในฉับพลันประชิดตัวอีกฝ่ายในหนึ่งอึดใจ ตอนแรกจะคว้าเอาไหล่ แต่กระแสพลังชี่กำลังปกป้องหลานจงไว้ทำให้อยางอวี้ถอนใจ เขาใช้สองมือคว้าเอามือขวาของหลานจงอย่างเหนียวแน่น จากนั้นใช้แผ่นหลังตนยันสีข้างอีกฝ่ายแล้วกระชากแขนโน้มตัวล้มไปด้านหน้า แบกอีกฝ่ายทุ่มลงกับพื้น

ตูม!

อาศัยแรงของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาก็ทำให้ผลการสวนกลับครั้งนี้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก พลังวิญาณขาดหายไปในทันที ส่วนหลานจงนอนสลบคาพื้น

"...…"

ทุกคนเงียบกริบไม่มีใครกล้าปริปาก หยางอวี้จ้องมองเด็กน้อยพวกนี้พลางยิ้มละไมให้แล้วเอ่ย "ข้าบอกพวกเจ้าตั้งแต่รู้จักกัน ว่าอย่ามายุ่งกับข้าเด็ดขาด ดูพวกเจ้าสิ ยังจะมายุ่งกับข้าอีก นี่พวกเจ้าไม่สนคำเตือนของข้ารึ?"

ได้ยินดังนั้นลูกน้องหลานจงพลันเดือดดาล ปลดปล่อยพลังชี่ออกมา แรงกดดันขนาดย่อมๆกดทับร่างของหยางอวี้ แต่ใบหน้าของเขาที่แสดงออกมาหาได้ตกใจหรือตื่นกลัวไม่ เขาเพียงถอนใจอย่างปลงๆ พลางถลาพุ่งเข้าหาเหล่าเด็กน้อยกลุ่มนั้นในทันที

หยางอวี้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยฝีเทาที่ว่องไวและคล่องแคล่ว ไม่ใครเลยคว้าจับเขาได้ จนกระทั้งเขาเริ่มโจมตีฟันสันมือใส่หลังคอของพวกนันอย่างไร้ความปราณี

พวกนั้นสลบลงไปทีละคนๆ จนเหลือเพียงคนสุดท้าย ที่แม้จะมีพลังวิญาณหุ้มกายอยู่ แต่อาการหวาดกลัวนั่นแสดงออกมาชัดเจนมาก

"เจ้านะ แบกพวกมันกลับไปซะ แล้วห้ามพวกมันมาวิ่งเล่นแถวนี้อีเด็ดขาด" น้ำเสียงเด็ดขาดของหยางอวี้เข้าสู่ประสาทของเด็กน้อยผู้โชคดีที่ยังมีสติครบเพียงคน

"ขะ…..ขอรับ…." ใบหน้าของเด็กน้อยเวลาตอบดูบิดเบี้ยวมาก หยางอวี้ไม่ใส่ใจเขาหันหลัวให้พลางผิวปากอย่างสบายอารมณ์ ชั่วพริบตานนั่นเด็กน้อยผู้โชคดีที่ปลดปล่อยพลังออกมาจนถึงขีดสุดหิ้วเพื่อนทุกคนกลับสู่ถิ่นของพวกเขา

หยางอวี้จงใจเหลือไว้คนหนึ่งเพราะขี้เกียจแบกเด็กน้อยพวกนี้ไปส่ง แถมเขาไม่อยากเข้าตัวเมืองเสียด้วย

ในตัวเมืองเต็มไปด้วยตระกูลมากมาย แถมพวกคนจากตระกูลเหล่านี้ หาคนยืนคุยด้วยดีๆยากมาก ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่อยากเข้าไปในตัวเมืองสักเท่าไหร่

มองแผ่นหลังที่กำลังหายลับไป หยางอวี้พลันสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว "เด็กบ้าอะไร แบกเพื่อนสี่ห้าคนได้ด้วยตัวคนเดียว ตัวประหลาดชัดๆ" หยางอวี้บ่นอุบก่อนจะเดินกลับไปหาอาชาอสูรที่เหลมหญ้าได้ไม่นานก็กลับมาที่เดิมกำลังจะข่มตาลนอนหลับ ประหนึ่งดูละครฉากหนึ่งที่พึ่งฉายจบ