webnovel

0146 กำลังจะมาถึง

ตอนที่ 146 กำลังจะมาถึง 

แม้จะมีความกังวลว่าวิชานี้มันอาจจะให้ผลลัพธ์ที่ล้มเหลว ทว่าอย่างน้อยที่สุด เขาก็จะเสียไปเพียงสิบแต้มพลังวิญญาณเท่านั้น เสียไปกับการเรียนรู้เทคนิคที่ไม่สามารถใช้ได้ผลจริง 

อย่างไรก็ตาม หากวิชายับยั้งลมหายใจนี้ส่งผลลัพธ์ที่ดีอย่างไม่คาดคิด นั่นจะทำให้เขาได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล 

“ทำการเรียนรู้” 

ติ๊ง! 

“ผู้เล่นได้ทำการเรียนรู้สุดยอดวิชาลับ ยับยั้งลมหายใจ แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ สามร้อยสิบส่วนยี่สิบ” 

กระแสไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากใบหยก ไหลบ่าเข้าไปหลอมรวมกับทะเลแห่งห้วงสติของกู่ฉิงซาน 

กู่ฉิงซานได้เข้าใจถึงวิธีการใช้งานสุดยอดวิชาลับยับยั้งลมหายใจ โดยสมบูรณ์ 

เทคนิคฝึกยุทธนี้ช่างง่ายดายยิ่ง มันไม่มีขอบเขตหรือขั้นต่อไป หากเรียนรู้ได้แล้วก็คือเรียนรู้ไปเลย 

กู่ฉิงซานทดลองใช้งานมันอยู่ครู่หนึ่งและพบว่า ตนเองสามารถจำลองสถานะของตนให้อยู่ในขอบเขตปราณปรับแต่งขั้นหนึ่งได้จริงๆ! ผลลัพธ์ของวิชายับยั้งลมหายใจนี้ไม่เลวเลย! 

นี่มันเป็นสิ่งที่ดียิ่ง ทีนี้เขาก็จะสามารถอัปเลเวลได้โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้เสียที 

เขาเก็บใบหยกกลับคืนอย่างสงบ ก่อนจะหยิบใบหยกที่บรรจุ ‘เทคนิคลับ รังสรรค์แก่นแท้แห่งปราชญ์ร้อยบุปผา’ออกมา แล้วจ่ายสี่สิบแต้มพลังวิญญาณเพื่อเรียนรู้วิธีการเข้าสู่ขอบเขตก่อตั้งขั้นกลาง 

แต้มพลังวิญญาณขณะนี้ คงเหลืออยู่เพียงสองร้อยเจ็ดสิบแต้ม ทว่าเขากลับสามารถเอื้อมไปถึงรู้วิธีการเข้าสู่ขอบเขตก่อตั้งขั้นกลางได้อย่างสมบูรณ์ 

ตอนนี้ก็สามารถเริ่มต้นที่จะทะลวงมันได้เสียที 

ปริมาณพลังวิญญาณทั้งหมดของกู่ฉิงซานในตอนนี้ เพียงพอที่จะใช้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อตั้งขั้นกลางแล้ว ทว่าเพื่อความปลอดภัย เขาจึงหยิบเม็ดยาฟื้นฟูพลังวิญญาณขึ้นมากินอีกหนึ่งเม็ด 

ในช่วงที่ทะลวงฝ่า ยังต้องระมัดระวังให้ดี เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงให้ไม่ถูกรบกวนโดยบังเอิญ ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อให้เกิดธาตุไฟเข้าแทรกได้ 

เขาวางมือลงในถุงอสูรวิญญาณ ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งทว่าสุดท้ายก็ผละออกจากมันไป 

และเลือกที่จะตบลงบนถุงสัมภาระแทน กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลมาวางข้างตัวเขา 

พลังวิญญาณเอ่อล้นไปในดิสก์ค่ายกล พร้อมกับค่ายอาคมแจ้งเตือนเล็กๆ เริ่มก่อตัวขึ้น 

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม พอเขาจับดิสก์ค่ายกลและก้มลงมองไปที่มัน ตนจึงถอนหายใจออกมา 

การเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าการที่มิได้เตรียมตัวใดๆ 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็มองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม 

ภายใน‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ปรากฏข้อมูลของสกิลขึ้นมาทันที 

“ค่ายกลป้องกันระดับทั่วไป สามารถปลดปล่อยค่ายอาคมแจ้งเตือน ‘พรายกระซิบ’ ออกมาได้ จำนวนที่สามารถใช้งาน สามสิบครั้ง” 

หรือหากคุณต้องการที่จะเรียนรู้ ‘พรายกระซิบ’ ต้องจ่ายสิบสองแต้มพลังวิญญาณ ต้องการเรียนรู้หรือไม่? 

“เรียนรู้” 

“ผู้เล่นได้ทำการเรียนรู้การจัดวาง ‘พรายกระซิบ’ แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ สองร้อยห้าสิบแปดส่วนยี่สิบ” 

กระแสไอร้อนไหลผ่านเข้ามาในทะเลแห่งห้วงสติได้ไม่นาน กู่ฉิงซานสามารถรู้ถึงวิธีการจัดวางค่ายกลขั้นต้นได้ 

เขาคว้าจับไอยังดิสก์ค่ายกล ก่อนจะเริ่มจัดวางพรายกระซิบ 

ค่ายกลพรายกระซิบมีระยะที่กว้างขวางมาก มันสามารถสังเกตถึงการเคลื่อนไหวได้จากทุกทิศทาง เมื่อเกิดความผิดปกติใดๆ ขึ้น เหล่าผู้ฝึกยุทธที่อยู่ภายในจะได้มีเวลามากพอที่จะเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่กำลังจะมาถึงได้ 

หากได้ยินเสียงพรายจากค่ายกลนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด กู่ฉิงซานก็จะสามารถยุติการทะลวงด่านได้ในทันที และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ได้ทุกเมื่อ 

เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จ กู่ฉิงซานก็เริ่มเตรียมการทะลวงขอบเขต 

สองขาไขว้สลับกัน สองตาปิดลง เริ่มต้นที่จะทำการทะลวง 

หลังจากผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สองตาของเขาก็เปิดออก 

มันเปล่งประกายเรืองรอง สุกสกาวอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ตัวเขาได้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตก่อตั้งขั้นกลางแล้วอย่างเป็นทางการแล้ว! 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็เร่งจีบมือ ใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจทันที ควบคุมความผันผวนของพลังวิญญาณให้ตกลงในขอบเขตก่อตั้งขั้นต้น 

“ขอบเขตก่อตั้งขั้นกลาง…มีพลังวิญญาณเพิ่มมากขึ้นกว่าสามในสิบส่วนอย่างที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ” 

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณในตันเถียน เขาจึงส่งวิชาลับยับยั้งลมหายใจออกไปและควบคุมความผันผวนของพลังวิญญาณให้ภายนอกดูเหมือนขอบเขตก่อตั้งขั้นต้น 

จากนั้น 

เขาก็ริเริ่มที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อตั้งขั้นปลาย! 

การทะลวงเข้าสู่ขั้นปลายนี้ จำต้องการแต้มพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จากก่อนหน้าที่เพียงสี่สิบตอนนี้จำต้องใช้ถึงแปดสิบแต้ม  

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับยามที่เหล่าผู้เล่นใช้อัปเลเวลด้วยแต้มค่าประสบการณ์ในชีวิตก่อนหน้า กระบวนการเช่นนี้นับว่ารวดเร็วยิ่งกว่ามาก! 

กู่ฉิงซานยอมจ่ายแปดสิบแต้มพลังวิญญาณออกไปโดยตรง และรู้วิธีการเข้าสู่ขอบเขตก่อตั้งขั้นปลายก็ประทับเข้าไปในจิตใจของเขาโดยสมบูรณ์ 

แต้มพลังวิญญาณคงเหลือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแต้ม 

ณ ขณะนี้ เขากลายเป็นเหมือนกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อตั้งขั้นปลาย ไม่ว่าจะเป็นประสาทสัมผัสหรือด้านอื่นๆ เพียงแต่พลังวิญญาณของเขายังคงอยู่ในระดับขอบเขตก่อตั้งขั้นกลางก็เท่านั้น 

ยามแรกมันเหมือนกับถ้วยที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำ ทว่าทันทีที่สามารถตระหนักถึงแก่นแท้ของขั้นปลายที่เกิดจากการจ่ายแต้มพลังวิญญาณในการเรียนรู้ออกไป ถ้วยเมื่อครู่ก็พลันกลับกลายเป็นหม้อใบใหญ่ หม้อที่อุดมไปด้วยพื้นที่ว่างมากมายที่จะใช้ใส่น้ำลงไปได้ 

และน้ำที่จะเติมลงไปก็คือพลังวิญญาณที่ถูกบรรจุไว้ในเม็ดยาซึ่งเขาเตรียมที่จะกัดกินมันโดยตรง! 

กู่ฉิงซานตบลงไปในถุงสัมภาระ คว้าจับเม็ดยาฟื้นฟูที่ดีที่สุดที่นางเซียนไป่ฮั่วเตรียมเอาไว้ให้เขา โยนเข้าปาก ใช้ฟันงับมันจนปริร้าว 

ในขณะเดียวกัน เขาก็จีบมือใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ บรรเทาความผันผวนอันแข็งแกร่งของพลังวิญญาณลง 

มองเพียงภายนอก เขายังคงเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อตั้งขั้นต้น 

แต่ภายในร่างกายของกู่ฉิงซาน พลังวิญญาณกลับพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับน้ำพุร้อนใต้ดินที่ถูกขุดขึ้นมาจนก่อเกิดแรงอัดพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า มันค่อยๆ ไหลบ่าไปยังแขนขา เส้นเอ็นและกระดูกจนทั่วร่างกายอย่างเงียบๆ 

หนึ่งชั่วยามต่อมา 

กู่ฉิงซานก็สามารถก้าวเข้าสู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อตั้งขั้นปลายได้ในที่สุด 

อย่างไรก็ตาม พริบตาที่ทะลวงผ่าน เขาก็กระอักเลือดคำหนึ่ง หมอกโลหิตกระจายไปทั่วบริเวณ แม้กระทั่งตามตัวและรูขุมขนก็ปรากฏเลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลซึมออกมา 

เส้นชีพจรลมปราณจากทั่วทุกหนแห่งเต้นเร่าเป็นกลองชุด ตรงตันเถียนรู้สึกเจ็บปวดราวกับมีเข็มแหลมทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา ภายในทะเลแห่งห้วงสติราวกับถูกค้อนยักษ์กระหน่ำฟาด 

ด้วยการอัปเลเวลอย่างบ้าคลั่งดังกล่าวนี้ เป็นการกระทำที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะสามารถตัดผ่านพวกมันได้สำเร็จก็ตามที ทว่าหากเทียบกับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ แล้วนั้น การกระทำเช่นนี้จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก 

ทว่าด้วยการที่กู่ฉิงซานมีประสบการณ์ฝึกยุทธมาก่อนแล้วในชีวิตก่อนหน้า หนุนเสริมด้วยวิชายุทธเทพสงครามและวิชาฝึกยุทธของนักปราชญ์ที่ช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ ทำให้พลังวิญญาณไม่เกิดการตีกลับ จนเกิดการระเบิดออกจากร่างและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ 

หากสับเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่น ต่อให้อีกฝ่ายมีพรสวรรค์ระดับที่ถูกเรียกว่าปีศาจเลยก็ตาม การจะตัดผ่านถึงสองช่วงชั้นรวดเดียวเหมือนที่เขากระทำนี้ เกรงว่าจำต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหลายวัน 

แต่ในช่วงสองวันที่กำลังจะมาถึง มนุษยชาติก็จะริเริ่มสงครามขั้นแตกหักอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงแล้ว กู่ฉิงซานไม่มีเวลามากมายขนาดนั้น 

มีเพียงแค่ต้องจำใจต้องยอมรับความเสี่ยง ฝืนกระทำการอันไม่สมควรเช่นนี้ 

เขาถอนหายใจเล็กน้อย โยนเม็ดยาฟื้นฟูคุณภาพสูงใส่เข้าปาก เคี้ยวกรึบๆ 

มันไม่ใช่เรื่องดีเลยสำหรับเขาที่จะกระทำสิ่งต่างๆ อย่าบ้าคลั่งมากเกินไป จนต้องมาคอยกังวลกับผลกรรมที่ตามติดเป็นจรวดของมัน หลังผ่านพ้นช่วงเวลาบ้าคลั่งนี้ไปแล้ว เขาคงต้องใช้อีกมากในการรักษาร่างกายของตน และปรับสภาพให้เข้ากับขอบเขตใหม่ 

หากมิใช่เพราะว่าสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขาสัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่ผิดแผก จนต้องพลันนึกไปถึงสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้า จริงๆแล้วเขาก็ไม่ต้องการที่จะมาทำการอัปเลเวลอย่างบ้าบิ่นเช่นนี้เลย 

ในตอนนั้นเอง ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ก็เด้งขึ้นมาพร้อมกับประโยคตัวอักษร 

“เนื่องจากผู้เล่นทำการฝืนตัดผ่านขอบเขตพื้นฐานวรยุทธอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การเรียนรู้พื้นฐานวรยุทธจากเทคนิคฝึกยุทธทั้งหมดเข้าสู่สถานะคูลดาวน์” 

ระยะเวลาคูลดาวน์นั้นจะเนิ่นนานเพียงใด มันไม่ได้ถูกระบุเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ค่อนข้างจะกระจ่างชัดดีถึงคำตอบของมัน 

หากอยากจะเร่งเวลาคูลดาวน์ให้น้อยลงน่ะหรือ ที่ต้องทำก็เพียงแค่ต่อสู้! 

เพราะสิ่งที่จะกระตุ้นความสนใจของหน้าต่างระบบเทพสงครามได้มากที่สุด ก็คือการต่อสู้นั่นเอง! 

ครึ่งชั่วยามผ่านพ้นไป 

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นและมองไปยังค่ายพักแรมของเหล่ารุ่นเยาว์ที่อยู่เบื้องหลัง 

ทั้งค่ายกลป้องกันและค่ายกลซ่อนตัว ต่างก็ยังคงเปิดใช้งานอยู่ ในขณะนี้ทุกคนคงกำลังทำสมาธิพักผ่อนกันอยู่ 

พลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านหวนคืนสู่สภาวะปกติ มันถูกควบคุมโดยเขา

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ อีกครั้ง 

ท่ามกลางแสงสลัวยามค่ำคืน แสงส่องสว่างสีขาวนวลของดวงจันทร์ลอดแหวกพงไพรลงมายังเบื้องล่าง 

เหตุใดโลกที่งดงามเช่นนี้ จึงไม่เกิดสันติสุขขึ้นเสียที 

ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ พลันบังเกิดลมกรรโชก แสงจันทร์ค่อยๆ ถูกกลืนหายไปจากท้องฟ้า 

ชั้นเมฆดำหนาทึบบดบังแสงจันทร์เอาไว้ ส่งผลให้ท้องฟ้าและผืนดินจมลงสู่ความมืดมิด 

ภายในป่าทึบ บังเกิดลมกรรโชกอย่างรุนแรง 

สายลมส่งเสียงหวีดหวิว จนทำให้ผู้คนมิอาจที่จะได้ยินเสียงอื่นใดในยามค่ำคืนได้ 

สองตามิอาจมองเห็น ทว่าสองหูกลับสามารถได้ยินอย่างชัดเจน หากบังเอิญมีสิ่งใดเกิดขึ้นในตอนนี้ นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว 

กู่ฉิงซานคว้าจับไปในอากาศที่ว่างเปล่า เรียกดาบพิภพออกมาในมือของเขา 

จะมีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า? 

หนึ่งลมหายใจ 

ห้าลมหายใจ 

สิบลมหายใจ 

ยี่สิบลมหายใจ 

สามสิบลมหายใจ 

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ ทว่าทันใดนั้นเอง 

จิตสัมผัสเทวะของเขาก็ตรวจพบบางสิ่งบางอย่างบนพื้นดินที่ที่ถูกปกคลุมด้วยหญ้าหนาทึบ ห่างออกไปหลายสิบจั่งจากบริเวณที่ศิลาฟ้าที่เขายืนอยู่ 

เจ้าสิ่งนั้นมันช่างระแวดระวังตัวยิ่ง มันหยุดอยู่นอกพรายกระซิบ ราวกับเฝ้ารออะไรบางอย่างอย่างเงียบๆ 

กู่ฉิงซานขยับเข้าไปใกล้ศิลาฟ้าก้อนใหญ่ที่อยู่ทางขวา ปรับสมดุลร่างกาย อยู่ในท่วงท่าจับดาบอย่างแม่นมั่น 

วินาทีต่อมา ผืนดินก็ขยับไหวอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ มันกลับเคลื่อนตัวออกไปอีกทิศทางหนึ่งแทน 

เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกัน? 

สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง เจตฆ่าที่กำลังเพิ่มพูนถูกระงับเอาไว้อย่างระแวดระวัง มิอาจเล็ดลอดออกมาให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวได้เลยแม้แต่น้อย 

เขาแอบกระโดดขึ้นไปบนศิลาฟ้าอย่างเงียบๆ และหลังจากกำหนดทิศทางได้อย่างชัดเจนแล้ว ดาบพิภพก็ถูกยกสูงขึ้น

วินาทีต่อมา ดาบพิภพก็สับสะบั้นลงโดยเขาอย่างอ่อนโยน ก่อเกิดรังสีดาบขึ้นอย่างฉับพลัน ทะยานออกไปบดขยี้ลงบนพื้นดินที่ขยับไหว 

“ออกมาซะ!” 

เขาคำรามก้อง 

ตูม 

เจ้าสิ่งที่ถูกรังสีดาบฟาดใส่ มิอาจฝืนทนความเจ็บปวดอันรุนแรงเอาไว้ได้ มันเด้งกระดอนขึ้นมาจากพื้นดินในทันที เผยให้เห็นถึงรูปร่างทั้งหมดของมันอย่างชัดเจน 

ร่างกายลากยาวหลายสิบเมตร ขณะที่ความกว้างหนาเท่ากับตัวคนคนหนึ่ง 

ผิวสีน้ำตาลถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลม ทั่วทั้งปากเต็มไปด้วยเขี้ยวพิษสีเขียวเข้ม 

เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ที่แท้คือมารงูหนาม มันอยู่ในขอบเขตก่อตั้งขั้นปลาย และมีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง 

เจ้าตัวนี้ครอบครองพิษอันแสนฉกาจฉกรรจ์ แม้ว่าจะไม่สัมผัสถูกเขี้ยวพิษของมันโดยตรง แต่เพียงแค่ถูกทิ่มแทงโดยหนามอันแหลมคมบนร่างกายของมัน คนที่โดนก็แทบจะไม่อาจยื้อชีวิตรอดต่อไปได้แล้ว!

........................................