webnovel

0145 ข้อควรระวัง

ตอนที่ 145 ข้อควรระวัง 

พอได้ฟังว่าจะมุ่งหน้าไปพำนักกันในที่ปลอดภัย คราวนี้หลี่ชูเฉินก็ดูจะกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ เขาเร่งเรียกอสูรวิญญาณออกมาหลายตัว และให้เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงที่กำลังบาดเจ็บนั่งบนหลังอสูรวิญญาณทีละคน ทีละคน 

ทั้งกลุ่มเริ่มประสานงานกันอย่างรวดเร็ว กางแผนที่ออก และมุ่งหน้าตรงไปยังค่าย 

หลังจากที่วิ่งมาเป็นเวลาหลายชั่วยาม 

อาการบาดเจ็บของเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงที่ยังไม่หายดีก็เริ่มกลับมากำเริบอีกครั้ง แม้ว่าพวกเธอจะแค่เพียงนั่งอยู่บนหลังของอสูรวิญญาณ ทว่าสีหน้ากลับหนักอึ้ง เลือดสีแดงสดใหม่ค่อยๆ ไหลซึมออกมาตามร่างกาย 

กู่ฉิงซานจึงจำต้องตะโกนให้หยุด 

ส่วนหนึ่งเพราะพวกผู้ฝึกยุทธหญิงไปต่อไม่ไหวแล้ว อีกส่วนก็เพราะในยามนี้ ตะวันมีได้สาดแสงลงมาอีกต่อไป 

กู่ฉิงซานมองไปรอบๆ ก่อนจะพบกับสถานที่ที่เงียบสงบ เขาจึงริเริ่มติดตั้งค่ายอาคมจากดิสก์ค่ายกลทั่วไป 

ค่ายอาคมป้องกันขนาดเล็กระดับทั่วไปนี้ ต่อให้ไม่มีปรมาจารย์ค่ายกลก็ยังสามารถจัดเรียงมันได้ ขอเพียงแค่มีดิสก์ค่ายกลเท่านั้น 

เขาหันไปเรียกทุกคน “วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ เดินทางตอนกลางคืนมันจะทำให้เหนื่อยล้า แถมอาจพบเจอกับการจู่โจมที่คาดไม่ถึงได้ ดังนั้นพวกเจ้าจึงสมควรต้องมาพักเพื่อฟื้นฟูพลังงานของตน จะได้จากไปอย่างสบายใจในวันพรุ่ง” 

“หลี่ชูเฉิน เจ้าส่งอสูรวิญญาณออกไปสำรวจความปลอดภัยโดยรอบ ไป่ไฮ่ตง เจ้าจงออกไปจัดเรียงกับดัก ส่วนซางฟางมีความแข็งแกร่งที่ดี ดังนั้นเจ้าจงตามไปช่วยปกป้องไป่ไฮ่ตงระหว่างที่เขากำลังวางกับดักก็แล้วกัน” 

“สุดท้ายก็พวกเจ้า เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิง ก็พักรักษาตัวที่นี่ซะ” 

เมื่อทั้งหมดเห็นว่าเขาสามารถจัดวางรูปแบบทัพและแบ่งหน้าที่ได้อย่างเป็นระเบียบ ทุกคนก็ค่อยสงบใจลง และทำตามคำสั่งของเขา 

หลังจากที่เหล่าผู้ฝึกยุทธชายได้ออกไปทำหน้าที่ของตนเองแล้ว กู่ฉิงซานก็หันกลับมา และเอ่ยถามกับหลิวฉิงหยานอีกครั้ง 

“เจ้าพอจะกล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมได้หรือไม่? ว่าดิสก์ค่ายกลในค่ายทหารมันผิดปกติได้เยี่ยงไร” 

หลิวฉิงหยานขบคิดอย่างรอบคอบ เอ่ยปากกล่าว “ยามนี้ พอได้ลองขบคิดดูดีๆ แก่นแท้ที่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา ข้าว่าน่าจะมาจากสองค่ายอาคมป้องกันชั้นแรก” 

“ทว่าเนื่องเพราะค่ายอาคมอื่นๆ ยังคงทำงานได้ดี ดังนั้นทุกคนจึงมิได้ใส่ใจเกี่ยวกับมัน” 

กู่ฉิงซานถาม “แล้วในค่ายมีปรมาจารย์ค่ายกลหรือไม่?” 

“มีสิ แต่ในช่วงเวลานั้นปรมาจารย์ดื่มไปหนักมาก เขาเมาชนิดที่ว่าตะโกนเรียกอย่างไรก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา” 

“หลังจากที่ค่ายทหารแตก ปรมาจารย์ค่ายกลก็ถูกสังหารลง โดยการบังคับวินัยทางทหาร” 

“ช่วงเวลาที่เขาถูกฆ่า เขารู้สึกตัวอยู่หรือไม่” 

“รู้สึกตัวอยู่” 

“ทว่าเขากลับไม่คิดอธิบายถึงสิ่งใดออกมาเลย” 

“เขาเอาแต่ตะโกนว่ามันไม่ยุติธรรมๆ ทว่าในเวลานั้นทุกคนต่างเกลียดชังถึงเรื่องราวยุ่งยากที่เขาเป็นคนก่อ เขาจึงถูกปลดอาวุธตามกฎวินัยทางทหาร และหลังจากที่ถูกฆ่าตายไป ก็ไม่มีใครเอ่ยถามถึงเขาอีกเลย” 

ประกายในสายตาของกู่ฉิงซานสว่างวาบ

“เช่นนี้นี่เอง เอาล่ะ ข้าขอรบกวนเพียงเท่านี้ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” 

“อา เรื่องเล็กน้อย อย่างไรเสีย ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วยที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้” 

“มิจำเป็น เมื่อเห็นเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นเบื้องหน้า จะทำเป็นไม่ใส่ใจได้อย่างไร” 

ไม่นานนักหลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันเสร็จ หลี่ชูเฉินก็กลับมา 

“เจ้ากำลังเอ่ยสิ่งใดกัน??” เขามองไปยังทั้งสอง เอ่ยปากถามออกมาอย่างไม่ตั้งใจ 

หลี่ฉิงหยานกำลังจะอ้าปากเอ่ยกล่าวออกไปตามตรง ทว่าเธอกลับได้รับข้อความผ่านทางการถ่ายทอดความคิดมาจากกู่ฉิงซานเสียก่อน ใจความว่า “เจ้ากำลังเอ่ยถึงถามถึงเกราะไหล่ของข้าที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย” 

หลี่ฉิงหยานเป็นคนฉลาดมาก คิดเพียงเสี้ยววินาที ถอนหายใจเอ่ยปากกล่าวออกไปอย่างรวดเร็ว “พวกเรากำลังพูดเกราะไหล่ที่เสียหายของศิษย์พี่กู่ที่พึ่งแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ว่าข้าจะสามารถช่วยเขาได้อย่างไรดี” 

ในหัวใจของเธอ กู่ฉิงซานนั้นคือศิษย์ของนักปราชญ์ เป็นสหายที่ดีของศิษย์พี่หญิง นอกจากนี้ยังได้ช่วยชีวิตตัวเธอเองเอาไว้อีกด้วย มันย่อมเป็นธรรมดาที่เธอจะเชื่อใจเขา 

การที่อีกฝ่ายระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ไม่คิดให้เธอแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป แน่นอนว่าเขาย่อมต้องมีเหตุผล มันคงจะดีกว่าหากเลือกที่จะปฏิบัติตาม 

หลี่ชูเฉินถอนหายใจ ปากเอ่ยกล่าวสรรเสริญ “ยามข้ามาถึงก็พบว่าสิบห้าดาบกำลังเข่นฆ่าสังหารเผ่ามารราวกับพยัคฆ์ร้ายกระหายเลือด เป็นภาพที่ช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง” 

กู่ฉิงซานมิได้เอ่ยอันใด เขาเพียงตบลงไปในถุงสัมภาระ และหยิบหม้อดำใบใหญ่ออกมา 

เวลานี้ ไป่ไฮ่ตงกับจางฟางก็กำลังเดินกลับมาด้วยกัน เมื่อเห็นฉากนี้ จางฟางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้านำสิ่งนี้ออกมาทำไม?” 

“ปรุงอาหารวิญญาณมื้อค่ำ” กู่ฉิงซานเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยปากกล่าว “ศิษย์พี่ของข้าได้ตระเตรียมวัตถุดิบอาหารวิญญาณบางส่วนไว้สำหรับข้า ทว่าจำเป็นต้องอุ่นให้ร้อนเสียก่อน นับว่าเป็นลาภปากของพวกเจ้าโดยแท้” 

ไป่ไฮ่ตงเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ของเจ้า ใช่หมายถึงคลื่นลูกใหม่ฉินเซี่ยวโหลว?” 

กู่ฉิงซานกล่าว “ถูกต้อง” 

หลี่ชูเฉินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ บ่นงึมงำ “ที่แท้ก็เป็นเขาจริงๆ ลาภปากโดยแท้แล้วที่กำลังจะได้กินอาหารฝีมือเขาเช่นนี้”

หลายคนเฝ้ารออาหารวิญญาณในหม้อ เมื่อมันเดือดได้ที่ จึงทำการแบ่งลงใส่ชาม 

จางฟางยื่นชามถ้วยหนึ่งลงเบื้องหน้าหลิวฉิงหยานและกล่าว “เจ้ากำลังได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นสมควรจะต้องกินให้มาก” 

ใบหน้าของหลิวฉิงหยานแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย ยกมือขึ้นอย่างเงอะงะเคอะเขิน สักพักจึงสามารถรับชามมาได้ในที่สุด 

นี่ขนาดว่าเธอเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดแล้วนะ แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะยกมือขึ้นมารับชามอยู่ดี 

ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ฝึกยุทธหญิงคนอื่นๆ แม้กระทั่งลุกนั่ง พวกเธอก็ยังต้องฝืนทนอย่างยากลำบาก 

ในสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งหมดคงสามารถพักผ่อนได้เพียงแค่ช่วงกลางดึก ดังนั้นควรรีบฟื้นฟูร่างกายตนเองให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็เริ่มออกเดินทางตามแผนอีกครั้ง 

หลายคนเริ่มรับประทานอาหารวิญญาณอย่างเงียบๆ หลังจากพูดคุยและพักผ่อนกันสักเล็กน้อย กู่ฉิงซานก็เริ่มจัดเวรยามรักษาความปลอดภัยช่วงกลางคืน 

“ข้ากับหลี่ชูเฉินจะเฝ้าระวังช่วงก่อนถึงเที่ยงคืน ส่วนจางฟางกับไป่ไฮ่ตงจะรับไม้ต่อ เฝ้าระวังหลังช่วงเที่ยงคืนขึ้นไป” 

ทุกคนตอบรับ 

ทุกการดำเนินการของกู่ฉิงซานนั้นฉับไวและคมชัด ภาพในยามที่เขาพุ่งปะทะล่าสังหารกับเผ่ามารยังคงติดตรึงอยู่ในสายตาของทุกผู้คน ดังนั้นยามเขาเอ่ยปาก จึงไม่มีใครคิดจะโต้แย้ง หรือแสดงความคิดเห็นไปในอีกทิศทางหนึ่งออกมา 

“หากหนึ่งกลุ่มแบ่งเป็นสองคน เช่นนั้นจะกำหนดการเฝ้าตรวจตราอย่างไร?” ไป่ไฮ่ตงเอ่ยถาม 

“รอบค่าย หนึ่งหน้า หนึ่งหลัง ในช่วงเวลาเฝ้ายาม แต่ละคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบริเวณที่รับผิดชอบเด็ดขาด หากเผอิญมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น พวกเราจะต้องได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้า เนื่องจากสมาชิกในตอนนี้ มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่มากมาย ดังนั้นคนที่เฝ้าระวังจึงสมควรมีสมาธิอยู่ตลอดเวลา ห้ามผิดพลั้งใดๆ” 

“หากมีใครฝ่าฝืน ข้าจำเป็นต้องจัดการกับเขาตามกฎวินัยทางทหาร” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น 

“ทราบแล้ว” ทุกคนพยักหน้าเอ่ยรับอย่างพร้อมเพรียง 

ในบรรดาผู้ฝึกยุทธเหล่านี้ เขานับได้ว่ามียศทางกองทัพสูงสุด จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องตระเตรียมการอย่างเหมาะสมตามภารกิจ ให้สอดคล้องกับหลักวินัยทางทหารของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ คนทั้งหมดต้องเชื่อฟังคำสั่งเขา 

ตกกลางคืน 

หลังจากที่ต้องประสบกับช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมาทั้งวัน เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงจึงไม่รอช้า ทั้งหมดเริ่มทำสมาธิและพักผ่อน 

จางฟางรวบรวมความกล้าหันไปเอ่ยกับหลิวฉิงหยานอยู่หลายคำ ก่อนจะกลับมาด้วยใบหน้าที่สีแดงระเรื่อ 

สองขาของเขาซ้อนทับกันอยู่ในท่วงท่าสบาย ริเริ่มควบคุมลมหายใจนั่งสมาธิ 

ส่วนทางด้านไป่ไฮ่ตง ในมือของเขากำลังถือยันต์สื่อสารอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังสื่อสารกับผู้ใด 

กู่ฉิงซานกับหลี่ชูเฉินพูดคุยกันครู่หนึ่ง ก่อนหนึ่งจะแยกไปปกป้องหัวค่าย ส่วนอีกหนึ่งแยกไปปกป้องหาง 

กู่ฉิงซานเอนอิงลงบนก้อนศิลาฟ้าขนาดใหญ่อย่างเงียบๆ ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ 

มันจะต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่ๆ คงไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอก 

หลังจากทั้งหมดนี้ ปัจจุบัน ยังคงเหลือเวลาอีกกว่าครึ่งปี เกมถึงจะเริ่มต้นขึ้น 

ในเวลานี้ หากสิ่งที่เขาคาดเดาดันบังเอิญถูกต้องขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ คงได้แต่พูดว่า ‘โลกนี้มันบ้าไปแล้ว’ เท่านั้นแหละ 

ในจิตใจของกู่ฉิงซานคิดไปไกลเลยเถิด สายตาจับจ้องไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม 

“กู่ฉิงซาน แต้มพลังวิญญาณ สามร้อยยี่สิบส่วนยี่สิบ” 

สมกับที่เป็นหน้าต่างระบบเทพสงคราม มันนั้นรักใคร่ในการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง รักใคร่อย่างบ้าคลั่งชนิดที่ว่าจะต้องให้ตัวตนที่อ่อนแอเช่นเขา เอาชนะตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นจึงจะมอบแต้มพลังวิญญาณจำนวนมากเช่นนี้ให้ 

ใช่แล้ว คงยังไม่ลืมกันนะว่ากู่ฉิงซานเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อตั้งขั้นต้นเท่านั้น 

ตราบใดที่เขายังคงได้ต่อสู้กับเผ่ามารเหมือนดั่งเช่นในวันนี้ การจะทะยานขึ้นสู่ขอบเขตก่อตั้งขั้นกลาง หรือแม้กระทั่งขั้นปลาย ก็มีแนวโน้มว่าเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว 

เขานั้นครอบครองเกราะรบชั้นพันตรี มันเป็นเกราะรบที่หาได้ยากยิ่งในหมู่มวลมนุษยชาติ ในสนามรบมันสามารถช่วยในการต้านทานการโจมตีของเผ่ามารได้อย่างมหาศาล 

นอกจากนี้ยังมีดาบพิภพในมือที่สามารถส่งแรงกระแทกอันหนักหน่วงออกไปได้ถึงหลายหมื่นจิน ควบคู่ไปกับเทคนิคลับแห่งดาบที่ครอบครอง เพียงเท่านี้ตัวเขาก็แทบจะอยู่ยงคงกระพันในดงอสูร 

ต่างจากผู้ฝึกหกศิลป์ที่ต้องขัดเกลาฝีมือตนเองอยู่ร่ำไป 

ผู้ฝึกดาบ แท้จริงแล้วก็มิต่างอันใดกับเพชฌฆาตที่มุ่งเน้นไปทางฆ่าสังหารอย่างบ้าคลั่ง 

ด้วยอุปกรณ์ที่มีพลังป้องกันอันน่าเชื่อถือ และคมดาบที่มากไปด้วยพลังโจมตี ผู้ฝึกดาบก็จะสามารถระเบิดความแข็งแกร่งออกมาได้มากยิ่งกว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ 

กู่ฉิงซานมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม ความตึงเครียดในหัวใจของค่อยบรรเทาลงเล็กน้อย 

เขาเลือกที่จะอัปเลเวลของตนในทันที 

ด้วยแต้มพลังวิญญาณปริมาณมากมายเหล่านี้ นับว่ามีเหลือเฟือที่จะใช้ทำการเรียนรู้เทคนิคฝึกยุทธขอบเขตก่อตั้งจากแผ่นหยกที่อาจารย์ได้มอบมาให้ 

ข้อได้เปรียบของแต้มพลังวิญญาณหากเทียบกับแต้มค่าประสบการณ์นั้นก็คือ ในการอัปเลเวลแต่ละครั้ง มันจะใช้จ่ายพลังวิญญาณออกไปน้อยมาก แถมยังสามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณให้กลับคืนมาจนเต็มเปี่ยม 

หากอัปเลเวลโดยใช้แต้มค่าประสบการณ์ บางทีเกรงว่า ช่วงเวลาตลอดทั้งเช้าที่กู่ฉิงซานฆ่าสังหารเผ่ามาร มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะสะสมแต้มค่าประสบการณ์ให้มากพอที่จะใช้อัปเลเวลไปยังอีกขั้นด้วยซ้ำ 

ทว่าสิ่งที่แตกต่างและสำคัญที่สุดระหว่างทั้งสองเลยก็คือ การใช้แต้มพลังวิญญาณอัปเลเวลจะช่วยให้กู่ฉิงซานได้ตระหนักถึงแก่นแท้ของขอบเขตต่อไปได้อย่างราบรื่น ฝึกฝนตัดผ่านมันได้อย่างเรียบง่าย ส่งเสริมให้เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง 

เมื่อเทียบกับการใช้แต้มค่าประสบการณ์ในการอัปเลเวลแล้ว แม้มันจะสะดวกกว่า แต่การใช้มันอัปเลเวลจะช่วยเพิ่มพูนความสามารถของผู้เล่นแค่เพียงหยาบๆ เท่านั้น มันมิได้บอกกล่าวให้พวกเขาเข้าใจถึงแก่นแท้ของขั้นต่อไปได้อย่างถ่องแท้ จำต้องศึกษาให้แตกฉานเสียก่อนจึงจะสามารถระเบิดความแข็งแกร่งในขอบเขตหรือขั้นนั้นออกมาได้อย่างแท้จริง 

เพราะหากยังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้แห่งการฝึกฝน ต่อให้ตัวเขานั้นจะครอบครองความแข็งแกร่งเพียงใด ในท้ายที่สุด ผู้เล่นก็จะไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพได้อยู่ดี 

นี่คือสิ่งที่กู่ฉิงซานได้เรียนรู้มันมาจากในชีวิตก่อนหน้า เป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวด 

ผู้คนจำนวนมากได้สูญเสียเส้นทางที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตนั้นไป แม้จะทำการฝึกฝนอย่างหนัก ทว่าด้วยเวลาที่ไม่มากพอ กว่าจะเติบโตไปถึงจุดนั้นและทำความเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ มนุษยชาติก็ได้พ่ายแพ้ลงโดยสมบูรณ์แล้ว 

กู่ฉิงซานจ้องมองหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างเงียบๆ ขบคิดไตร่ตรองยาวเหยียด 

เขาตบลงบนถุงสัมภาระ คว้าจับใบหยกออกมา 

เมื่อใบหยกถูกคว้าจับ ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ก็เริ่มทำงานขึ้น ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยที่ร้อยเรียงเป็นตัวอักษรขนาดเล็กเด้งขึ้นมาทันที 

“ค้นพบสุดยอดวิชาลับ ยับยั้งลมหายใจ ต้องการจ่ายสิบแต้มพลังวิญญาณเพื่อเรียนรู้มันหรือไม่?” 

ไม่คาดคิดเลยว่าฉินเซี่ยวโหลวจะมอบสิ่งที่ตรงกับความต้องการของเขามากที่สุดให้อย่างพอดิบพอดี  

ขณะนี้ดูท่าว่าเรื่องราวในแนวหน้า มันจะลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่าที่เขาคิด 

เขาจะต้องทำการศึกษาวิชานี้เสียก่อน หลังจากนั้นในขณะที่ทำการตัดผ่านไปยังขั้นต่อไป กู่ฉิงซานก็จะได้สามารถปกปิดความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นของตน ส่งผลให้คนอื่นๆ มิอาจตัดสินถึงขอบเขตที่แท้จริงของเขาได้ 

แน่นอนว่านี่มิใช่การละเล่นหมูกินเสือ ทว่าเป็นการกระทำที่ใช้ปกป้องตนเองอย่างรอบคอบต่างหาก!

........................................