ตอนที่ 144 ลูกศรกริ่ง
“เจ้ารับมือทางซ้าย ข้าทางขวา!” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเร่งร้อน
“ตกลง!” จางฟางคำรามลั่น
เขาเป็นนายทหารชั้นพันตรี นอกจากนี้ยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อตั้งระดับสูงสุดขั้นสมบูรณ์แบบ ทุกคราที่จ้วงแทงหอกยาวออกไป สามารถปลดปล่อยแรงกดดันได้มากกว่ากู่ฉิงซานกว่าครึ่ง
ขณะนี้ นอกวงล้อม พลันปรากฏชั้นน้ำค้างเยือกแข็งผุดขึ้นมาจากพื้นดิน สองเท้าของมวลมารถูกแช่จนแข็งค้าง มิอาจยกมันขึ้นมาได้
“ข้าสามารถแช่แข็งพวกมันได้เพียงห้าลมหายใจเท่านั้น ขอพวกเจ้าจงใช้เวลาให้คุ้มค่าล่ะ!” เสียงของไป่ไฮ่ตงตะโกนเข้ามา
“เยี่ยมมาก!”
สองตาของกู่ฉิงซานกับจางฟางสว่างวาบ ทั้งสองใช้ออกด้วยกระบวนท่ากดดันทันที
เทคนิคลับ ฝ่าวารีเชี่ยว!
ปราณที่เที่ยงแท้ มังกรทะยานภูผา!
หนึ่งดาบหนึ่งหอกแปรเปลี่ยนเป็นยมทูตที่คอยเก็บเกี่ยวชีวิต ระเบิดโจมตีสังหารมวลมารที่กระจุกตัวรวมกันอยู่ชั้นแล้วชั้นเล่า
ทั้งสองขณะนี้แลดูราวกับเครื่องบดเนื้อ ทั้งสับทั้งแทงเผ่ามารที่รายล้อมอยู่รอบกายเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิง ล้างบางพวกมันตัวแล้วตัวเล่าที่เข้าใกล้
ทว่าด้วยความที่ทั้งสองเร่งร้อนที่จะฆ่าสังหารพวกมันเกินไป ทำให้สองอาวุธบังเอิญเหวี่ยงเข้ามาปะทะกันเอง ‘แก๊ง!’ อย่างไม่ทันระวัง
นับว่าโชคยังดีที่สวมใส่ชุดเกราะอันแข็งแกร่งและทนทาน มันดูดซับแรงปะทะนี้ กระแทกทั้งสองแยกออกจากกันโดยมิได้รับบาดเจ็บใดๆ
“เรายังพอเหลือเวลาที่จะฆ่าพวกมันได้อีกครู่หนึ่ง” กู่ฉิงซานมองไปยังทั้งร่างของมารที่ถูกแช่ไปด้วยน้ำค้างแข็งและกล่าว
“งั้นแยกกันไปคนละฝั่ง แล้วค่อยกลับมาเจอกันใหม่” ซางฟาง ควงหอกยาวและกล่าว
“ไป!” กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง ดาบพิภพในมือถูกกุมจนแน่น
แผ่นหลังของทั้งสองแนบอิงกัน ก่อนพุ่งทะยานออกไปคนละทิศทาง ระเบิดโจมตีอย่างเต็มกำลัง
เทคนิคลับ ตัดจันทรา!
ปราณที่เที่ยงแท้ มังกรสะบัดหาง!
แสงจันทร์และมังกรแหวกว่ายเข้าไปในชั้นกองทัพมาร หนึ่งดาบหนึ่งหอกคร่าสังหารเผ่ามารตนแล้วตนเล่า หนึ่งตีวงทวนเข็มนาฬิกา อีกหนึ่งตีวงไปตามเข็ม โดยมีเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงอยู่กึ่งกลาง เพียงครู่พวกเขาทั้งสองก็ฝ่าวงล้อมกลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง
“ช่างเป็นเทคนิคหอกที่ดี!” กู่ฉิงซานกล่าว
“ดาบของเจ้าก็ไม่เลวเช่นกัน” จางฟางหัวเราะ
ทั้งสองจากทางฝั่งซ้ายขวา บ้างสับบ้างจ้วงคอยปกป้องเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิง จนไม่มีมารตนใดกล้าย่างกรายเข้ามาใกล้พวกเขา
เผ่ามารที่หลงเหลืออยู่ในระยะห่างออกไปเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี พวกมันจึงเร่งหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเอง หลี่ชูเฉินที่จงใจชะลอความเร็วก็มาถึง เขายังมิทันได้ช่วยเหลือคนอื่นๆ ฆ่าสังหาร เผ่ามารก็จากไปกันหมดแล้ว
ทั้งหมดตรงมายังเบื้องหน้าศพของภิกษุ
หลังจากถอนหายใจเฮือกหนึ่ง กู่ฉิงซานก็ทำพิธีฝังร่างของเขา
หลังจากนั้น ฝูงชนก็มานั่งรวมตัวกันเพื่อหยุดพักผ่อน
“บาดแผลของเจ้าหนักนัก เหตุใดจึงไม่ใช้เม็ดยาฟื้นฟูเล่า?” กู่ฉิงซานถาม
“ใช้ไปจนหมดเกลี้ยงแล้วในระหว่างทางที่หลบหนีมา” ผู้ฝึกยุทธหญิงตอบ
กู่ฉิงซานหยิบเม็ดยาฟื้นวิญญาณของนิกายร้อยบุปผาออกมา และแจกจ่ายให้เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิง
เขากล่าวอีกครั้ง “เช่นนั้นอันดับแรกพวกเจ้าก็ใช้สิ่งนี้รักษาก่อนเถิด หลี่ชูเฉินกับไป่ไฮ่ตงจะเฝ้าระวังให้เอง ส่วนจางฟางกับข้าขอไปปรับลมหายใจสักครู่”
“ตกลง”
สามผู้ฝึกยุทธชายตอบรับ
หลายคนหันมาสำรวจกันและกัน
เห็นเพียงแค่จางฟางยังอยู่ในสภาพที่ดี ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือรอยแผลใดๆ ทว่าบนเกราะรบของกู่ฉิงซานทั้งหมดกับเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนของเผ่ามาร เกราะไหล่แตกหัก เผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้อที่เปื้อนไปด้วยเลือด
มองไปรอบๆ อีกครั้ง ปรากฏทั้งซากร่างและโครงกระดูกของเผ่ามารกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทว่าเลือดของพวกมันกลับไม่อาจสาดกระทบเข้าไปใกล้เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงที่ถูกกู่ฉิงซานกับจางฟางปกป้องอยู่กลางวงล้อมได้เลย
หลายคนมองไปยังพวกเขา บังเกิดความคิดมากมายขึ้นในจิตใจ
แม้พื้นฐานวรยุทธจะด้อยกว่าอีกคนหนึ่ง ทว่าพลังต่อสู้ของชายหนุ่มผู้ฝึกดาบช่างร้ายกาจยิ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงสามารถเลื่อนยศขึ้นมาเป็นนายทหารชั้นพันตรีได้ ทั้งๆ ที่ยังเยาว์วัยอยู่
กู่ฉิงซานลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็มิได้ส่งยันต์สื่อสารไปหาหนิงเยว่ฉาน เหตุผลก็เพราะ
หนึ่ง พวกผู้ฝึกยุทธหญิงได้รับการช่วยเหลือแล้ว สอง บางทีหนิงเยว่ฉานอาจกำลังออกไปทำภารกิจอื่น และติดพันอยู่ มิอาจปลีกตัวออกมาได้ หากเขาบอกเล่าเรื่องราวออกไปมันอาจเกิดผลกระทบได้
ครึ่งชั่วยามต่อมา
เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงก็เริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้เล็กน้อย
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วพวกเจ้ามาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้เยี่ยงไร?”
หลิวฉิงหยานที่ยังบาดเจ็บอยู่กล่าวอย่างแผ่วเบา “พวกเราหลบออกมาจากค่ายหุบเขาธารน้ำตก ทว่ากลับถูกไล่ล่ามาตลอดเส้นทาง จนกระทั่งมาถึงที่นี่”
กู่ฉิงซานและจางฟางตกใจ
จางฟางเอ่ยถาม “เช่นนั้นทางค่ายหุบเขาธารน้ำตกเล่า เกิดอะไรขึ้นกับค่าย?”
หลิวฉิงหยานเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาและกล่าว “พวกเผ่ามารน่ะมันบ้าไปแล้ว พวกมันตัวแล้วตัวเล่าเข้าโถมโจมตีค่ายอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายพวกเราก็ต้านไม่ไหว”
สีหน้าของจางฟางสาดประกายโหดเหี้ยม ทว่าเมื่อคู่ดวงตาของเขาตกลงบนร่างของหลิวฉิงหยาน สีหน้าเขาก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย “จงอย่าหวาดกลัวไป เจ้ามีพวกเราอยู่ที่นี่ด้วยแล้วทั้งคน”
หลิวฉิงหยานตระหนักได้ถึงความใจดีของอีกฝ่าย เธอเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าชุดเกราะรบที่เขากำลังสวมใส่อยู่นั้นคือเกราะของนายทหารชั้นพันตรี ในหัวใจของเธอก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นหนึ่งส่วน เริ่มกลับมาสงบและมั่นคง
มันเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับพวกเธอที่จะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ ตอนนี้พวกเธอยังเป็นเพียงแค่ทหารธรรมดาๆเท่านั้น ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับเป็นถึงนายทหารชั้นพันตรี ย่อมหมายความว่าเขาต้องเคยก้าวผ่านสายลมและฝนเลือดมาแล้วอย่างแน่นอน เป็นผู้ฝึกยุทธที่มีความสามารถอย่างแท้จริง
หลิวฉิงหยานพยักหน้าขอบคุณ
ท่าทีตอบสนองของเธอ ส่งผลให้จางฟางฉีกยิ้มออกมาจนเห็นฟันขาวๆ ทันที
กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่สักพักจึงเอ่ยถาม “ในช่วงเวลาที่ค่ายถูกโจมตี เจ้าได้สังเกตเห็นหรือไม่ว่าเผ่ามารตนใดที่ดูดุร้ายทรงพลังเป็นพิเศษ”
หลิวฉิงหยานเล่าว่า “มีเผ่ามารมากมายเกินไป และตอนนั้นข้าก็หวาดกลัวเกินกว่าที่จะทันได้สังเกตเห็นถึงตัวตนที่พิเศษยิ่งกว่าตนอื่น”
“เช่นนั้น หมายความว่าค่ายแตกแล้วใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ค่ายอาคมป้องกันค่ายจู่ๆ ก็เกิดความผิดปกติขึ้น จากนั้นค่อยพังทลายลงทีละอันๆ ต่อมาค่ายกลโจมตีก็ยังมาเกิดปัญหาขึ้นอีก”
“เมื่อไม่มีการสร้างค่ายกลสนับสนุนเพิ่มเติม พวกมารก็โถมโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง สุดท้ายจึงทะลวงฝ่าเข้ามาในค่ายได้ในที่สุด”
กู่ฉิงซานรับฟังพลางครุ่นคิด
ในสงครามขนาดใหญ่ ค่ายกลป้องกัน นับว่าเป็นหนึ่งในค่ายกลที่ทรงพลังที่สุดของมนุษยชาติ
หากไม่สามารถทะลวงฝ่าค่ายกลมาได้ เผ่ามารก็ไม่สามารถต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์ในระยะประชิดได้เช่นกัน ทำได้แค่เพียงตกอยู่ภายใต้การโจมตีอย่างฝืนทนเท่านั้น
ดังนั้นพวกเผ่ามารจึงมักจะครุ่นคิด พยายามทำทุกวิถีทางที่พอจะเป็นไปได้ และมุ่งมั่นที่จะทำลายค่ายกลของมนุษยชาติก่อนเป็นอันดับแรกตั้งแต่เริ่มต่อสู้
ไม่รู้เหมือนกันว่าในครั้งนี้ พวกเผ่ามารมันใช้วิธีการใดกัน จึงสามารถทำลายค่ายกลป้องกันลงได้
หลังจากทั้งหมดนี้ กู่ฉิงซานมิใช่ปรมาจารย์ค่ายกล แม้ว่าเขาจะกลับมาจุติใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจคาดเดาสิ่งที่มิอาจค้นพบถึงมูลความจริงได้อยู่ดี
หลังจากนี้ เขาคงต้องไปดูดิสก์ค่ายกลของค่ายทหารที่ว่าเสียหน่อย เพื่อที่จะตัดสินใจเบื้องต้นว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น และสมควรทำอะไรต่อไป
กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่เพียงครู่ จากนั้นจึงตบลงในถุงสัมภาระ หยิบลูกศรกริ่งออกมา
เขาถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปในลูกศรกริ่ง
ปรากฏเสียงหวีดร้องแหลมดังขึ้น รัศมีสีเขียวเหินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่หยุดยั้ง จนสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล
ไม่นานนัก นักบวชเต๋าที่กำลังขี่อสูรวิญญาณก็บินตรงเข้ามา
แรงกดดันจากพลังวิญญาณของเขาช่างมหาศาลนัก ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บของเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงไม่อาจฝืนทนได้ คนแล้วคนเล่าร่วงลงคุกเข่าบนพื้นดิน
นักบวชตระหนักได้ถึงสถานการณ์ของฝูงชน ตนจึงเรียกแรงดันวิญญาณกลับคืน
“ลูกศรกริ่งนี้มีเพียงหนึ่งเท่านั้น หากไม่มีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น มันไม่สมควรถูกนำมาใช้ เจ้ามิรู้จักแยกแยะเลยกระนั้นหรือ?” นักบวชเต๋าเอ่ยถามอย่างรุนแรง
กู่ฉิงซานบอกเล่าถึงสถานการณ์ให้แก่เขา ขณะที่เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงก็กล่าวเสริมบ้างเป็นครั้งคราว
สีหน้าของนักบวชเต๋าพลันหม่นทะมึนลง
“จงนำบัตรยืนยันตัวตนทั้งหมดออกมา ขอให้ข้าได้ตรวจสอบมันอีกครั้ง” เขากล่าว
หลายคนโยนบัตรยืนยันตัวตนขึ้นไปในอากาศ
นักบวชเต๋ามองไปยังบัตรยืนยันตัวตนของเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงก่อนเป็นอันดับแรก
บัตรยืนยันตัวตนเหล่านี้ จะมีข้อมูลถูกบันทึกเอาไว้ ว่าผู้ฝึกยุทธที่ครอบครองมันสามารถเก็บเกี่ยวเผ่ามารได้เป็นจำนวนเท่าใด อย่างไรก็ตามการกระทำเช่นนี้มีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับสูงในมนุษยชาติเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะทำการตรวจสอบได้
“อืม สาวกนิกายเทียนจี ไม่เลวเลยจริงๆ ระหว่างทางที่หลบหนี พวกเจ้ากลับสามารถฆ่าสังหารเผ่ามารได้มากมายนัก” นักบวชเต๋าเอ่ยอย่างช้าๆ
เขาหยิบบัตรยืนยันตัวตนของกู่ฉิงซานและคนอื่นๆ มาดูต่อ ทว่าจู่ๆ เขาก็สาดสายตาไปยังหลี่ชูเฉินวูบหนึ่งอย่างรุนแรง
หลี่ชูเฉินถูกแรงกดดันที่มองไม่เห็นกระแทกเข้าใส่ อัดเข้ากับลำต้นไม้ ตกอยู่ในสภาพน่าอับอาย ห้อยต่องแต่ง ขาชี้ฟ้า หัวทิ่มดิน
นักบวชเต๋ายื่นบัตรยืนยันตัวตนกลับคืน และกล่าว “พวกเจ้าสองนายทหารชั้นพันตรีสามารถทำการช่วยเหลือผู้คนได้ทันเวลา รับไปคนละห้าแต้มความสำเร็จ ส่วนไป่ไฮ่ตง เจ้าได้รับหนึ่งแต้มความสำเร็จ”
ทั้งสามเผยสีหน้าเป็นสุข
ได้รับแต้มความสำเร็จทองกองทัพ นี่มันนับเป็นรางวัลที่ยอดเยี่ยมที่สุด!
นักบวชเต๋ากล่าว “เช่นนั้น พวกเจ้าจงเดินทางไปยังทิศใต้ ฝั่งนั้นจะมีนายพลประจำการอยู่ในค่ายทหาร พวกเจ้าจงไปพำนักอยู่ที่นั่นเป็นการชั่วคราว เฝ้ารอคอยคำสั่งต่อไป”
“ขอรับ”
นักบวชเต๋าพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะบินไปยังทิศทางที่ตั้งของค่ายหุบเขาธารน้ำตก
“คิดว่าเขาอยู่ในขอบเขตใดกัน? เจ้าพอจะรับรู้ถึงมันได้หรือไม่?” จางฟางเอ่ยถาม
“ระยะห่างระหว่างขอบเขตของเขากับเรามันกว้างเกินไป จึงไม่อาจตัดสินได้อย่างแม่นยำ ทว่าเท่าที่ข้าประเมินดู เขาน่าจะอยู่ในระดับก้าวสู่เทพ” กู่ฉิงซานเอ่ยจากที่ลองพิจารณาดู
“งั้นหรือ อย่างไรตอนนี้ก็ออกเดินทางกันก่อนเถอะ” จางฟางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “พวกเราสมควรไปที่ค่ายก่อนเป็นอันดับแรก พาพวกนางที่กำลังบาดเจ็บไปรักษาและพักฟื้น”
“นั่นสินะ พวกเราสมควรเริ่มออกเดินทางทันที”
แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าสีหน้าของกู่ฉิงซานกลับเผยออกมาถึงความวิตกกังวลบางอย่างอย่างชัดเจน
........................................