webnovel

0088 วังหลานเฉา

ตอนที่ 88 วังหลานเฉา

 “นานมาแล้วเมื่อครั้งนักปราชญ์ยังอยู่ในวัยเยาว์ นิกายของนางได้ถูกทำลายลง และนางก็ถูกไล่ล่าโดยอริ ในเวลานั้นมีเพียงแค่ซิวซิวที่รู้ว่านักปราชญ์หลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด”

 “เหตุใดซิวซิวจึงทราบเรื่องนี้?” กู่ฉิงซานถาม เพราะนี่ดูจะเป็นเรื่องสำคัญมาก

 “เนื่องเพราะซิวซิวคือบุตรสาวของผู้นำนิกาย ผู้ที่ช่วยเหลือนักปราชญ์ให้หลบหนีออกไปด้วยตนเอง” ห่านขาวกล่าว

 “ทว่าถึงเธอจะถูกจับตัวไป แต่ก็ยังไม่ยินยอมที่จะเปิดเผยแม้กระทั่งร่องรอยใดๆ ของนักปราชญ์”

 “นางถูกตัดสะบั้นประสาทสัมผัสทั้งห้า ถูกนำไปบรรจุอยู่ภายในถุงอสูรวิญญาณ เพื่อสร้างเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน โดนกระทำถึงขนาดนั้นแต่ก็ยังไม่ยอมเอ่ยปาก” ในเวลานี้ ความเจ็บปวดพาดผ่านสีหน้าของห่านขาว

 กู่ฉิงซานกล่าวสรรเสริญ “นางช่างเป็นเด็กดีจริงๆ”

 ห่านขาวกล่าวต่อ “กว่านักปราชญ์จะฆ่าสังหารอริลงด้วยมือตนเองได้ในที่สุด และช่วยเหลือนางที่ถูกกักขังอยู่ในถุงวิญญาณอสูร วันเวลาก็ล่วงเลยไปกว่าห้าปีแล้ว”

 กู่ฉิงซานตกตะลึง “อย่าบอกนะว่านางอดทนต่อความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งห้าปีนั้น?”

 ความทรมานเช่นนี้มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทานทนได้ แม้กระทั่งครึ่งชั่วยาม หากเด็กสาวอายุเพียงเจ็ดถึงแปดปีนางนี้กลับสามารถทนมาได้ถึงหลายปี

 ในหัวใจของกู่ฉิงซานเกิดความเคารพนางอย่างสุดหัวใจ

 “เป็นเช่นนั้น ช่วงเวลาดังกล่าว กายหยาบและจิตวิญญาณของนางได้ล่มสลายลงไปแล้ว” ห่านขาวก้มหน้าลง ก่อนเอ่ยต่อ “นักปราชญ์ ได้ทุ่มเทอย่างหนัก และใช้เวลาไปมากมายเพื่อช่วยเหลือนางให้ฟื้นคืนกลับมาทีละนิด ทีละนิด”

 “เนื่องจากห้วงเวลาในถุงวิญญาณอสูรนั้นหยุดนิ่ง ทำให้ในยามที่ถูกช่วยเหลือนางก็ยังคงเป็นเพียงเด็กสาววัยเจ็ดขวบ”

 “ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ไม่เคยมีใครพบเจอกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้มาก่อน เกรงว่าสถานะร่างกายของนางจะยังคงอยู่ในช่วงวัยเจ็ดขวบต่อไป ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างกายและจิตใจจะฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์”

 กู่ฉิงซานนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานก่อนจะเอ่ยปาก “โปรดวางใจ นางคือศิษย์น้องเล็กของข้า ข้าจะพยายามดูแลนางอย่างดีที่สุด”

 ห่านขาวหันไปมองกู่ฉิงซาน และเขาก็พยักหน้าตอบอย่างหนักแน่น

 “ได้ยินเช่นนั้นข้าก็เบาใจ เอาล่ะ เรื่องกฎระเบียบเราไม่ค่อยจะมีมากมายนักหรอก เพียงแค่ดูแลซึ่งกันและกันกับตั้งใจฝึกยุทธ เท่านั้นก็นับว่าเติมเต็มความปรารถนาของท่านอาจารย์แล้ว”

 หากนิกายอื่นๆ รู้ว่านางเซียนไป่ฮั่วก่อตั้งนิกายร้อยบุปผาขึ้นมาเพียงเพราะความปรารถนาเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่ยินยอมเชื่อ

 อย่างไรก็ตามหลังจากที่กู่ฉิงซานได้พบปะและพูดคุยกับนางแล้ว เขาย่อมเชื่อไปโดยธรรมชาติ

 ในหัวใจของเขาปรากฏระลอกคลื่นแห่งความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างเงียบๆ

 “พื้นฐานวรยุทธของนางเซียนไป่ฮั่วนั้นนับว่าอยู่ในขอบเขตที่ลึกซึ้ง ทว่าการจัดการในนิกายกลับไม่เหมือนกับนิกายอื่น” ในหัวใจของกู่ฉิงซานคิดอย่างสงบ

 “ที่นี่แม้จะเป็นนิกายของผู้ฝึกยุทธ แต่หากมองกลับด้าน มันจะดูเหมือนการสร้างครอบครัวขึ้นมามากกว่า… ”

 “มาเถอะ! มาดูที่พักของเจ้ากัน!” ห่านขาวกระพือปีกและบินโฉบไปยังเบื้องหน้า

 “นั่นสินะ”

 กู่ฉิงซานแม้จะยังไม่สามารถบินได้ แต่เขาก็กระโจนติดตามหลังห่านขาวไปตลอดเส้นทางอย่างใจจดใจจ่อ

 ทั้งสองพุ่งเข้าไปในวังร้อยบุปผา ข้ามผ่านลานภายในพระราชวังลึกเข้าไปยังห้องโถงใหญ่

 เหนือขึ้นไปบนห้องโถงใหญ่ ปรากฏสามตัวอักษรขนาดใหญ่สลักเอาไว้ว่า

 “วังหลานเฉา” หญ้าฟ้า

 กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังสามตัวอักษรขนาดใหญ่ ก่อนจะหันไปถามห่านขาว “นี่คือที่พำนักของข้าอย่างงั้นหรือ?”

 “ถูกต้อง” ห่านขาวตอบ

 กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว

 หากต้องอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ ด้วยชื่อนี้ มันคงดูไม่สะดวกใจไปสักหน่อย

 “ข้าขอเปลี่ยนชื่อของมันได้หรือไม่” เขาถาม

 “เช่นนั้นเกรงว่าจะไม่สมควร ชื่อของมันท่านนักปราชญ์ลงทุนสลักด้วยตนเองเป็นการส่วนตัว มันมิใช่สิ่งที่เจ้าจะเปลี่ยนแปลงได้” ห่านขาวกล่าวด้วยอารมณ์เสียเล็กน้อย

 กู่ฉิงซานยอมแพ้ในทันใด

 แต่แล้วจู่ๆ เขาก็พลันนึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่างจึงเอ่ยถามอย่างกะทันหัน “แล้วสถานที่ที่ ศิษย์พี่สองอยู่เล่า เรียกว่าอะไร”

 ห่านขาว “วังโหยวฮั่ว” บุปผาหยก

 กู่ฉิงซานกลายเป็นบื้อใบ้ในทันที

 และจากนั้นทั้งคนทั้งห่านก็เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่

 กู่ฉิงซานมองไปไกลจนสุดสายตา ใช่ท่านอ่านไม่ผิด เขามองออกไปไกลจนสุดสายตาจริงๆ พื้นที่ในห้องโถงใหญ่นี้โอ่โถงมาก หากประมาณการคร่าวๆ มันมีเนื้อที่ราวๆ สองสนามฟุตบอลขนาดใหญ่เรียงชิดติดกัน

 “แน่ใจนะว่านี่คือที่พำนักของข้า?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่มั่นใจ

 เนื้อที่ของมัน เพียงพอที่จะจัดคอนเสิร์ตขึ้นได้เลย

 ห่านขาวกล่าว “ถูกต้อง นี่คือที่พำนักของเจ้าเพียงผู้เดียว”

 “ของข้าเพียงผู้เดียว?” กู่ฉิงซานถึงกับต้องเอ่ยทวนซ้ำ

 “เพียงผู้เดียว”

 “หมายถึงโดยลำพังน่ะหรือ”

 “โดยลำพังน่ะหรือ”

 “โดยลำพังน่ะหรือ”

 “โดยลำพังน่ะหรือ”

 เสียงสะท้อนดังก้องออกไปอย่างต่อเนื่อง และผ่านไปนานจึงจะเงียบลง

 กู่ฉิงซาน…

 ห่านขาว…

 “แค่กๆ” ห่านขาวกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายด้วยความขวยเขิน “ยามเมื่อมันถูกสร้างขึ้น ท่านนักปราชญ์คิดว่าสมควรจะให้โครงสร้างของมันดูยิ่งใหญ่สักเล็กน้อย เพื่อที่เวลามองจากภายนอก ผู้คนจะได้รู้สึกว่ามันน่าเกรงขาม”

 “…ที่แท้ก็เกิดจากแรงบันดาลใจเช่นนี้” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างยากลำบาก

 “เจ้าจงพักผ่อนเสียก่อน เมื่อถึงยามพลบค่ำ ศิษย์พี่และศิษย์น้องของเจ้าจะไปรวมตัวกัน เพื่อเป็นการเลี้ยงต้อนรับเจ้าเข้าสู่นิกาย”

 สิ้นคำกล่าว ห่านขาวก็ผันตัวกลับ กระพือปีกบินออกไปโดยไม่เหลียวกลับมามองอีกเลย

 กู่ฉิงซานยืนอยู่ชะงักงันตรงหน้าประตูทางเข้าอยู่สักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปในวังหลานเฉา

 เขาเดินไปทั่วห้องโถง

 หลังจากวนจนครบรอบหนึ่ง ทั่วร่างก็ร้อนผ่าว แผ่นหลังถูกปกคลุมด้วยชั้นเหงื่อเล็กน้อย

 รู้สึกว่าตนราวกับได้ออกกำลังกายอย่างแท้จริง

 วังหลานเฉา… 

 เอาเถอะ ถึงชื่อมันจะดูไม่น่าฟัง แต่อย่างน้อยมันก็ใหญ่โตล่ะนะ กู่ฉิงซานพยายามโน้วน้าวตนเอง

 ในมุมหนึ่งของห้องโถง พรั่งพร้อมไปด้วยเสบียงสำหรับฝึกยุทธที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างประณีต

 กู่ฉิงซานหยิบหนึ่งในขวดที่บรรจุเม็ดยารักษาขึ้นมาก่อนจะเปิดจุกเพื่อสูดดมกลิ่นของมัน

 กลิ่นพลังวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์เสียดแทงเข้าไปทางรูจมูก รูขุมขนกว่าสามหมื่นรูจากทั่วทั้งร่างกายถูกเปิดออก

 เม็ดยาที่ดี!

 กู่ฉิงซานเอ่ยชื่นชมออกมาคำหนึ่ง และหันไปดูอย่างอื่นต่อ

 กล่าวได้เลยว่าสวัสดิการนิกายร้อยบุปผาช่างยอดเยี่ยมจริงๆ  สิ่งของทุกอย่างเป็นของชั้นหนึ่ง ทั้งหมดล้วนเป็นเสบียงระดับสูง

 นี่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่านางเซียนไป่ฮั่วยังคงกังวลอยู่มากเกี่ยวกับการฝึกวรยุทธของเหล่าศิษย์ทั้งหลาย

 กู่ฉิงซานขบคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเหลือบไปเห็นผ้าไหมจิตวิญญาณที่ถูกถักทอเป็นฟูกวางอยู่ เขาเดินไปหยิบมัน จากนั้นมองหาพื้นที่ว่างๆ ซักจุดหนึ่งในห้องโถงและนั่งลง

 สองตาของกู่ฉิงซานค่อยหลับลง เริ่มควบคุมลมหายใจเพื่อพักผ่อน

 ตกกลางคืน

 ณ วังโหยวฮั่ว

 สองชาย หนึ่งหญิง และหนึ่งห่าน นั่งล้อมวงกัน

 เบื้องหน้าอุดมไปด้วยอาหารร้อนๆ ผลไม้นานาชนิด และเครื่องดื่มวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ

 ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “อะฮ่า! จงเพลิดเพลินกับมื้ออาหารให้เต็มที่ ต่อให้หลงเหลือเพียงก้นจาน ก็จงใช้ลิ้นลามเลียมันเสีย”

 เมื่อเห็นแบบนั้น ห่านขาวก็กล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า “เอาเถอะ  ในฐานะที่ข้าเป็นพี่ใหญ่ จึงขอพูดก่อนเป็นคนแรกก็แล้วกัน‘

 ห่านขาวกระแอมเล็กน้อย และกล่าวอย่างจริงจัง “ยินดีต้อนรับฉิงซานและซิวซิวเข้าร่วมนิกาย ข้าหวังว่า นับจากนี้และตลอดไป ทุกๆ คนจะอยู่ร่วมกันดั่งพี่น้อง”

 ซิวซิวเอ่ยถามเบาๆ “แล้วท่านอาจารย์ไม่มาอย่างนั้นหรือ?”

 ห่านขาวกล่าว “ท่านอาจารย์คือนักปราชญ์ ท่านย่อมมีพันธกิจเป็นธรรมดา และที่สำคัญพวกเราสามารถทำกิจกรรมนี้ร่วมกันได้ด้วยตัวเอง ไม่นับว่าเป็นปัญหาใดๆ”

 ‘โกหกชัดๆ คุณก็นั่งหัวโด่อยู่ที่นี่ไม่ใช่รึไง’

 กู่ฉิงซานลอบกลอกตาอย่างลับๆ

 ซิวซิวดูจะค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย

 ฉินเซี่ยวโหลวเหลือบมองเธอและกล่าว “น้องซิวซิว อาจารย์กล่าวสั่งว่านับจากพรุ่งนี้ไป เจ้าจะต้องเริ่มฝึกฝนวรยุทธ ดังนั้นคืนนี้ ก่อนที่จะตกอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจร้าย จงทำตัวสบายๆ ปล่อยวางอย่างมีความสุขเสีย”

 ระหว่างกล่าว เซี่ยวโหลวก็ตัดน่องไก่ และนำไปวางลงบนจานของซิวซิว “เอาล่ะ นี่คือขาไก่ที่ข้าทั้งปรุงทั้งตุ๋นมันมาอย่างยาวนาน รับประกันได้เลยว่ารสชาติของมันจะต้องทำให้เจ้าพึงใจ”

 จมูกของซิวซิวฟุดฟิดๆ ใบหน้าของเธอเผยให้เห็นถึงความสุขและกล่าว “งั้นข้าไม่เกรงใจละนะ”

 ห่านขาวกระโจนขึ้นไปยืนบนไหล่ของฉินเซี่ยวโหลว ก่อนจะใช้ปีกฟาดตบลงบนหัวเขาและกล่าวอย่างไม่พอใจ “เงื้อมมือชั่วร้ายปู่เจ้า! เงื้อมมือชั่วร้ายหมายความว่าสิ่งใด! ดูตัวเจ้าซี! มีศิษย์ที่ไหนบ้างกล้ากล่าวลับหลังอาจารย์เช่นนี้”

 “ศิษย์พี่ใหญ่โปรดให้อภัย ข้าจะรีบไปเตรียมสุราหลากหลายชนิดให้ท่าน!” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวขอความเมตตา

 “เหอะ! ยังไม่รีบไปอีก” พอได้ยินแบบนั้น ห่านขาวก็บินกลับไปยังที่นั่งของตน

 ฉินเซี่ยวโหลดจัดทรงผมให้เป็นระเบียบ ก่อนจะหยิบถุงสัมภาระออกมา และล้วงขวดสุราหลายสิบขวดวางลงบนโต๊ะ

 “ฉิงซาน มาเถอะ มาลิ้มลองรสสุราของข้ากัน” เซี่ยวโหลวกล่าวเชิญชวน แต่ไม่ได้หันไปเชิญห่านขาว

 “ตกลง” กู่ฉิงซานเห็นขวดสุรามากมาย ในหัวใจเขาคันยิบๆ และหยิบมันไปหนึ่งขวดอย่างกระตือรือร้น

 “จอกนี้เพื่อแสดงความเคารพต่อศิษย์พี่ใหญ่” กู่ฉิงซานกล่าวพลางยกจอกขึ้น

 ห่านขาวดูจะพอใจไม่น้อย มันยกซดจนหมดจอกและกล่าว “เอิ๊ก สุราที่ดี! เจ้าก็ลองดื่มดูบ้างซี”

 “ทราบแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวรับคำ

………………………………….